คำภาษาเยอรมันที่ใช้เรียกอนุสาวรีย์นั้นมีอยู่สองคำ
คือ Denkmal เดงค์มาล และ Mahnmal มาห์นมาล คำแรกนั้นใช้เรียกอนุสาวรีย์ที่ใช้ระลึกถึงคุณงามความดี
เป็นแบบอย่างควรค่าแก่การกระทำตาม ส่วนคำหลังนั้นใช้เรียกอนุสรณ์สถานที่ใช้ระลึกถึงความไม่ดีไม่งามที่เคยเกิดขึ้น
และให้จดจำไว้ที่จะไม่กระทำผิดซ้ำอีก เปรียบเสมือนกับแผลเป็นที่มีอยู่
แม้จะน่าเกลียดก็ต้องยอมรับในความมีอยู่ไม่อาจจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีได้
ในเยอรมันนั้นมีทั้ง Denkmal และ Mahnmal
อยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสรณ์สถานที่เกี่ยวเนื่องกับสงคราม
โบสถ์ เฟราเอนเคียร์เช Frauenkirche
ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมืองเบอร์ลินนั้น เป็นโบสถ์ยอดหัก
โบสถ์หลังนี้เคยเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ และได้รับความเสียหายจากระเบิดในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๒ โบสถ์นี้มิได้รับการบูรณะให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมทั้งที่อยู่ในภาวะที่สามารถจะทำได้
โดยเหตุที่ชาวเมืองประสงค์จะให้สภาพโบสถ์ยอดหักนั้นเป็นเครื่องรำลึกถึงผลร้ายของการก่อสงคราม
จะได้ไม่ทำผิดซ้ำอีกดังที่เคยเป็นมาถึงสองครั้งสองครา
ลานหินกว้างแห่งหนึ่งในเมืองซาร์บรึคเคน เมืองหลวงของรัฐซาร์ลันท์ที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนเยอรมัน-ฝรั่งเศส
มีชื่อว่าDas
unsichtbare Mahnmal -
อนุสรณ์สถานที่มองไม่เห็น
โดยเหตุที่ก้อนหินที่ใช้ปูทำลานจำนวน ๒,๑๔๖ ก้อน นำมาจากสุสานของชาวยิวที่มีอยู่ในเยอรมันทั้งหมด
สลักชื่อแต่ละสุสานไว้ วางคว่ำหน้าปูร่วมกับก้อนหินอื่น อยู่เบื้องหน้าวัง
ซึ่งเคยถูกใช้เป็นที่ทำการของเกสตาโปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
อนุสรณ์สถานที่มองไม่เห็นนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุคของเผด็จการฮิตเลอร์
ให้ระลึกว่าเราไม่ควรแบ่งแยกเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง จนเกิดเป็นความโกรธความเกลียดชัง
และก่อให้เกิดฆาตกรรมในหมู่มนุษยชาติขึ้นได้ บริเวณใกล้กันนั้นมีหินแท่งใหญ่สลักตัวข้อความว่า
Nie Wieder Faschismus อย่านิยมเผด็จการอีก
อนุสรณ์สถานลักษณะดังกล่าวมีอยู่ทั่วไปในเยอรมัน ไม่ว่าจะในรูปของพิพิธภัณฑ์ค่ายกักกันชาวยิวที่เมืองดัคเคา
ซึ่งว่าด้วยการนำเสนอเรื่องราวของโทษทัณฑ์และทารุณกรรมต่าง ๆ ที่ชาวยิวได้รับ
หรือในรูปของกำแพงเบอร์ลินซึ่งหลงเหลือไว้เป็นการบันทึกถึงประวัติศาสตร์ช่วงสงครามเย็นที่ทำให้แผ่นดินเยอรมันรวมทั้งนครหลวงถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน
ญาติพี่น้องต้องถูกแยกจากกันเป็นเวลาหลายสิบปี หรือในรูปของประติมากรรมเชิงนามธรรม
ที่กำลังจะสร้างขึ้นในบริเวณด้านหน้าของรัฐสภาเยอรมันกลางกรุงเบอร์ลิน
ก็เพื่อระลึกถึงความเลวร้ายของการก่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ผ่านมา
ดังนี้ จะเห็นได้ว่าแผลเป็นอันไม่งดงามทางประวัติศาสตร์นี้
ยังมีพื้นที่ในความทรงจำของชาวเยอรมันอยู่ มิได้ถูกปฏิเสธหรือแกล้งลืม
ท่าทีของชาวเยอรมันที่มีต่อแผลเป็นทางประวัติศาสตร์ของตนนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมิได้อยู่ในลักษณาการของการประจานตนเอง หรือรำเลิกให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
หากแต่เป็นความฉลาดและกล้าหาญที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ด้วยการเผชิญหน้ากับความจริง
ทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผิดพลาดได้อย่างไร
เพื่อที่จะก้าวพ้นจากความผิดพลาดเหล่านั้นไปสู่ความดีงามได้ แม้ในยุคปัจจุบันที่ประเทศเยอรมันได้รับการยอมรับจากนานาประเทศและก้าวสู่ความเป็นผู้นำในยุโรป
ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีเยอรมัน แกร์ฮาร์ด ชเรอเดอร์ หลุดปากออกมาว่า
ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในความเป็นเยอรมัน
ก็เป็นไปในบริบทของความรักชาติเสียยิ่งกว่าความคลั่งชาติ ดังที่โยฮันเนส
เรา อดีตประธานาธิบดีเยอรมันได้อธิบายไว้ว่า พวกคลั่งชาติจะรักเพียงประเทศบ้านเกิดตนแต่เหยียดหยามประเทศอื่น
คนรักชาตินั้นรักประเทศของตนแต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจและเคารพความรักชาติของผู้อื่นด้วย
คนไทยจัดการกับแผลเป็นทางประวัติศาสตร์ของตนอย่างไร?
อ.ธงชัย วินิจจะกูล เคยเขียนไว้ในบทความว่าด้วยประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคมไทยเมื่อหลายปีก่อนว่า
สังคมไทยไม่ประสงค์จะศึกษาประวัติศาสตร์บาดแผล ดังเช่น เหตุการณ์
๑๔ ตุลา และเหตุการณ์ ๖ ตุลา เอาเสียเลย ทั้งยังกล่าวประนามผู้ที่พยายามนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องว่าเป็นพวกชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ทำลายความสามัคคีของคนในชาติ น่าสนใจที่ว่าผู้ที่หวั่นเกรงความแตกแยกมิได้ยั้งมือเลยในการกล่าวโจมตีผู้ที่มิได้เห็นด้วยกับตน
อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา จึงยังมีความหมายคลุมเครืออยู่มากในสังคมไทย
ว่าจะให้จดจำอะไร ซึ่งที่จริงแล้ว ชะตากรรมของอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
ก็มิได้ต่างไปจากอนุสาวรีย์อื่นสักเท่าไหร่
บ้างก็กล่าวว่า อนุสาวรีย์มิใช่สิ่งที่อยู่ในสังคมไทยมาแต่ก่อน
แต่จะว่าไป คนไทยก็มีวัด เจดีย์ สถูป ศาลเจ้า และอะไรต่อมิอะไรที่สร้างขึ้นโดยมีความหมายเช่นเดียวกับอนุสาวรีย์
ทั้งคนไทยสมัยก่อนก็มีความเชื่อที่ว่า ผิดถูกก็เป็นครู
นั่นคือ
มิได้ปฏิเสธความผิดพลาด ดังตำนาน ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ก็มีการสร้างสถูปให้ระลึกถึงโศกนาฏกรรมนี้
เพราะหากเลือกที่จะจดจำประวัติศาสตร์แต่ด้านดีงาม เหตุใดคนไทยจึงมีความทรงจำต่อโบราณสถานเมืองอยุธยาในแง่ของความเกลียดชังต่อพม่า
และเมื่อเห็นพระเจดีย์ชเวดากองก็ก่นแค้นแต่ว่าพม่ามาเผาเอาทองอยุธยาไปทำ
ทั้งที่น่าจะทำให้ปลงสังเวชในโทษของสงครามที่ทำลายล้างศิลปะวัฒนธรรมอันล้ำค่าของมนุษย์ที่สั่งสมกันมาสามร้อยกว่าปี
ความทรงจำในประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการช่วงชิงพื้นที่ของการให้ความหมายเสียมากกว่า
ดังเช่น อนุสาวรีย์ของ ส. ธนะรัชต์ กลางเมืองขอนแก่น หากเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ระลึกถึงสภาพฉ้อฉลยุคสมัยเผด็จการทหารครองเมือง
ปราศจากความรุ่งโรจน์ทางปัญญา สังคมเต็มไปด้วยความประหวั่นกลัว ก็คงจะทำให้สังคมไทยระมัดระวังมิให้เกิดสภาพเช่นนั้นขึ้นมาได้อีก
หากจัดการบาดแผลทางประวัติศาสตร์ไม่ดี ความทรงจำบาดแผลที่ดูเหมือนจะตกสะเก็ดไปแล้วก็จะกลายเป็นแผลเปิดเรื้อรังขึ้นมาอีกได้โดยง่าย
ดังเช่น หากไม่ทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่ผู้แทนราษฎรสี่คน ได้แก่
นายเตียง ศิริขันธ์ ทองอินทร์ ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดม นายฟอง สิทธิธรรม
ถูกฆาตกรรมโดยผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในยุคเผด็จการทหารเป็นใหญ่ หรือการฆาตกรรมหะหยีสุหรง
ผู้เป็นตัวแทนของพี่น้องอิสลามในการเสนอความคิดเห็นการปกครองพื้นที่ภาคใต้
ด้วยการจับถ่วงน้ำที่ทะเลสาบสงขลา ว่าเป็นการกระทำอันไม่ชอบธรรมภายใต้อำนาจรัฐซึ่งปราศจากการตรวจสอบควบคุม
ก็จะเกิดประวัติศาสตร์เช่นนี้ซ้ำซาก ดังที่เกิดขึ้นกับทนายสมชาย
นีละไพจิตร ผู้ซึ่งต่อสู้รักษาความยุติธรรมให้กับคนเล็กคนน้อยที่ถูกกระทำโดยอำนาจรัฐ
หากเรามีท่าทีที่ถูกต้องต่อการให้ความหมาย ความทรงจำในประวัติศาสตร์ย่อมเป็นฐานรากทางปัญญาอันเข้มแข็ง
เราย่อมก้าวไปข้างหน้าได้ผิดพลาดน้อยลง เมื่อสมองไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อม
เพราะเราย่อมแยกแยะหนทางอันนำไปสู่ความดีงามออกจากความหายนะได้
๑๑ กันยา และกรือเซะ
เหตุการณ์ ๑๑ กันยา ผ่านพ้นไปได้สามปีแล้ว พื้นที่ส่วนที่เรียกว่า
กราวน์ซีโร ตรงตำแหน่งที่เคยเป็นตั้งของตึกเวิร์ลเทรดทั้งสองเป็นเสมือนช่องว่างโหวงในความรู้สึก
ปีนี้ในงานแสดงความรำลึกมีป้ายข้อความขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า We will
never forget -
เราจะไม่ลืม ที่น่าสนใจก็คือ ประวัติศาสตร์ที่พึงจดจำคืออะไร คงเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้ามากทีเดียวหากจะเลือกจดจำแต่เพียงว่า
มีคนบ้าคลั่งชั่วร้ายจี้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารอยู่เต็ม
แล้วบังคับให้มาชนตึกใหญ่ทำให้มีคนตายเรือนพัน
โดยไม่สืบสาวถึงที่มาของนโยบายการเมืองที่ผิดพลาด แทนที่จะมองเห็นความโกรธเกลียดอันเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมดังกล่าว
กลับสั่งสมความโกรธเกลียด ซึ่งเป็นเสมือนมะเร็งร้ายในหัวใจ ก่อให้เกิดบาดแผลใหม่เพิ่มขึ้น
ดังที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน และอิรัก เหตุการณ์ ๑๑ กันยา ก็คงต้องเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชีวิตประจำวันของผู้คนก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความหวั่นไหวหวาดกลัว เรียกได้ว่าตายไปครึ่งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ ๒๘ เมษา ที่กรือเซะ ภาคใต้ของไทย คงเป็นเรื่องน่าเสียใจ
หากเลือกจดจำแต่เพียงว่า เป็นเรื่องของเยาวชนมุสลิมคลั่งศาสนา
ถูกยั่วยุโดยผู้ใหญ่ชั่วร้าย ด้วยเป้าหมายทางการเมือง โดยใช้ประวัติศาสตร์พร่องแพร่งและความศรัทธาเป็นเครื่องมือ
โดยไม่สืบสาวถึงรากที่มาของปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ การปกครอง
ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ อคติ จิตวิทยา อย่างรอบด้าน ตลอดจนมองข้ามศัตรูที่แท้จริง
คือ ความโกรธเกลียด ความอยุติธรรม และอคติสั่งสมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน
ก็ย่อมไม่อาจแก้ไขปัญหานี้ได้ หากไม่ถอนรากปัจจัยอันเป็นเครื่องก่อให้เกิดความโกรธเกลียด
อคติ ความอยุติธรรม ออกไปให้หมดสิ้น
กรือเซะจะมีความเป็นมาในอดีตอย่างไรก็ตาม แต่เหตุการณ์วันที่
๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ น่าจะทำให้มนุษย์ระลึกถึงกรือเซะในฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
ถึงความผิดพลาดในการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ระลึกถึงความพ่ายแพ้และสูญเสียร่วมกันอันเกิดจากความไม่เข้าใจในสันติวิธี
และให้ตระหนักถึงปัญหายิ่งใหญ่เบื้องหน้าว่า หากไม่อาจยอมรับความแตกต่างระหว่างความคิด
ความเห็น ความศรัทธา ของมนุษย์ด้วยกันได้ หากไม่อาจมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ไม่เชื่อมั่นในหนทางของการเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจ ความวิบัติก็ย่อมรอเราอยู่ที่เบื้องหน้านั่นแล้ว
ชลนภา อนุกูล
|