ช่วงเวลาที่ผ่านมาเมืองไทยได้ผจญกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์
หากนับจากเหตุการณ์ไข้หวัดนกหรือซาร์สระบาด
ต่อด้วยเรื่องข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่วไหลหรือกรณีอุ๊งอิ๊ง
ตามด้วยความร้อนแรงของปัญหาในเขตสี่จังหวัดภาคใต้
และล่าสุดก็เรื่องการเข้าไปถือหุ้นในทีมฟุตบอลระดับโลกท่ามกลางอาการคิดไม่ทันรัฐบาลของชาวไทย
แต่ละปัญหาดูเหมือนจะเริ่มจางหายไปจากพื้นที่การนำเสนอของสื่อมวลชนไปในชั่วเวลาไม่นานนัก
คำถามที่น่าสนใจเห็นจะเป็นว่าเราได้เรียนรู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
ปัญหาเหล่านั้นได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยหรือไม่
อย่างไร และมีการป้องกันที่จะไม่ให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกหรือไม่
และถ้าเกิดขึ้นจะมีทางเลือกในการแก้ไขกี่แบบ
น่าเสียดายที่ว่าสังคมไทยดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการผจญปัญหาแต่ปัญหาด้วยอาการเหมือนคนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา
พอนั่งหมดรอบของตัวเองแล้ว
หัวเราะหัวใคร่พอแล้ว
ก็กลับบ้านนอน
โดยไม่ยอมเสียเวลาไปนั่งคิดต่อว่าความตื่นเต้นในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นนั้นมีรูปแบบซ้ำซากอย่างไรบ้าง
ปัญหาหลายปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากความไม่รู้
ทั้งในรูปแบบของ
การมองไม่เห็นปัญหา
หรือการมองว่าไม่ใช่ปัญหา
ไปจนถึงการมองปัญหาว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
ปัญหาซาร์สจึงเป็นปัญหาของคนเลี้ยงไก่
ของคนขายไก่
ของรัฐบาล
แต่ไม่ใช่ของคนกินไก่
หรือซื้อไก่
จึงไม่มีการตั้งคำถามว่า
การติดเชื้อนั้นเป็นไปอย่างปรกติหรือไม่
เกิดขึ้นได้อย่างไร
จะป้องกันได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่เพียงว่า
พอไก่เป็นโรคก็ฆ่าทิ้งให้หมดเล้า
คนเคยกินไก่ก็เลิกซื้อไก่เสีย
ต้องระวังไม่ให้ตัวเองเป็นโรคและแพร่เชื้อต่อไปยังมนุษย์ในประเทศร่ำรวย
โดยไม่ดูดำดูดีว่า
แล้วคนเลี้ยงคนขาย
ที่เขาเลี้ยงเขาขายให้คนกินไก่จะอยู่หรือตายยังไงต่อในปัญหาเหล่านี้
ประเทศรับซื้อไก่จำนวนมากนอกจากการประกาศงดรับซื้อไก่จากประเทศไทย
จะแสดงความรับผิดชอบใดได้บ้างในฐานะมีส่วนทางอ้อมที่ทำให้มีการเลี้ยงไก่เป็นอุตสาหกรรมจำนวนมากในประเทศไทย
และหากมีกรณีไก่เป็นโรคอีก
ยังคุ้มหรือไม่กับการเลี้ยงเพื่อส่งขาย
คำถามว่าด้วยเศรษฐกิจเพื่อส่งออก
หรืออุตสาหกรรมเชิงเดี่ยว
จึงยังมิได้รับคำตอบอย่างจริงจัง
ปัญหาอุ๊งอิ๊งก็เป็นปัญหาของพ่อแม่ที่คิดว่าลูกตัวเองน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในปีนี้
แทนที่จะเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมของการจัดโอกาสทางการศึกษาสำหรับคนทั้งสังคม
หรือค่านิยมในการให้คุณค่ากับใบรับรองทางการศึกษาเสียยิ่งกว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์
ฉะนั้นเมื่อผู้ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเข้าคณะที่มุ่งหวังไม่ได้
การตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงกระทำได้แต่เพียงผิวเปลือกของปัญหาว่าด้วยการเสียผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง
มิได้เข้าไปที่แก่นใจกลางของปัญหาใหญ่
ไม่มีการตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้เพียงพอ
เมื่อไหร่จึงจะไม่มีการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
แต่เปิดโอกาสให้ผู้คนศึกษาได้ตลอดชีวิต
หรือแม้แต่ทำไมจึงยอมให้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นหนทางในการตัดสินอนาคตของลูกหลาน
ในเมื่อเหตุที่เกิดขึ้นได้แสดงถึงความฉ้อฉลของระบบตั้งแต่ปากทางเดินเข้าไป
ปัญหาภาคใต้ได้รับความสนใจน้อยกว่าปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว
ด้วยเหตุผลง่ายที่สุด
เพราะความไม่รู้และไม่เห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์
แต่เมื่อมีเหตุที่ผู้คนตายจำนวนมากภายในหนึ่งวัน
ผู้คนที่ไม่รู้เหล่านี้
กลับสามารถแสดงความเห็นและตัดสินได้ว่า
เหตุและความผิดทั้งหลายเกิดจากโจรใต้
ปัญหาซับซ้อนที่แก้ไม่ได้มาหลายยุคหลายสมัยมีคำตอบอยู่ในบทสรุปแบบรวบยอดอยู่เพียงแค่ว่า
ใครสักคนผิด
หากยอมรับกันได้ว่าปัญหาของสังคมไทยหรือสื่อมวลชนไทยเกี่ยวกับภาคใต้คือ
ความไม่รู้
เราอาจจะหาวิธีแก้ความไม่รู้ของตนเองได้ดีกว่านี้
ด้วยการค้นหาสาเหตุและทำความเข้าใจว่า
เหตุใดชาวไทยมุสลิมในภาคใต้กลุ่มหนึ่งจึงได้แสดงความไม่พอใจต่อรัฐไทยด้วยการทำร้ายพระภิกษุสงฆ์
เจ้าหน้าที่รัฐ
และทำลายสถานที่ราชการ
เหตุใดชาวบ้านจึงขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกถอนทหารออกไปจากท้องที่
แทนที่จะขอให้มีการปราบปรามกลุ่มคนที่ถูกเรียกจากนายกรัฐมนตรีแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า
โจรใต้
การตั้งคำถามว่า
การกระทำของเจ้าหน้าที่ต่อเหตุการณ์ในวันที่
๒๘ เมษายน ที่ผ่านมานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่นั้น
จึงเป็นการตั้งคำถามผิดที่ผิดทาง
เพราะไม่ก่อให้เกิดสติปัญญา
ไม่ทำให้เห็นเหตุที่มาแห่งปัญหาหรือหนทางแก้ไข
ทั้งยังเป็นการชี้นำทางอ้อม
โดยแบ่งแยกผู้คนในสังคมออกเป็นฝักฝ่ายเพียงแค่ฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
เกิดสงครามความคิดเห็นที่มองสิ่งต่าง
ๆ เพียงแค่ขาว-ดำ
ผิด-ถูก ราวกับว่าปัญหาซับซ้อนเหล่านั้นตอบได้เหมือนข้อสอบปรนัย
คือมี ก. ข. ค.
ง. ให้เลือกได้เพียงข้อที่ถูกที่สุดเท่านั้นจึงจะได้คะแนน
การเข้าไปซื้อหุ้นทีมฟุตบอลลิเวอร์พูลของรัฐบาลเป็นปัญหาหรือไม่นั้น
ก็ยังเป็นปัญหา
เรื่องของเรื่องไม่มีอะไรมากไปกว่าว่า
อยู่ ๆ ก็มีเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
คนไทยเพิ่งประสบความสูญเสียญาติพี่น้องทางใต้ไปร้อยกว่าคน
และสาเหตุของเรื่องราวต่าง
ๆ ก็ยังไม่แน่ชัด
วันถัดมาก็มีเรื่องซื้อทีมฟุตบอลยอดนิยมระดับโลก
เรื่องมันคล้ายกับว่า
ลูกตายไปคนหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นพ่อก็ประกาศว่าจะซื้อรถแข่ง
สังคมไทยเหมือนจะไม่เคยรับรู้เหตุที่มาของความคิดและการตัดสินใจของรัฐบาลในระดับนโยบายหรือแม้แต่โครงการที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
การอุบไต๋ข้อมูลและปล่อยออกมาเป็นระยะนั้น
หากสื่อมวลชนไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยการทำตัวไม่รู้เท่าทัน
หรือทำตัวเป็นลูกนกรอแม่นกเอาอาหารมาป้อนเข้าปาก
ก็ต้องเรียกได้ว่าสังคมไทยอยู่ในภาวะวิกฤตของการขาดความรู้และข่าวสาร
โดยเหตุที่ช่องทางแห่งความรู้และข่าวสารนั้นถูกควบคุมด้วยคนบางกลุ่มบางพวก
และผู้คนในสังคมไม่มีพลังในการค้นหาความจริง
ทั้งที่การเมืองไทยอยู่ในภาวะปลอดไร้เผด็จการ
และปริมาณของสื่อตลอดจนช่องทางในการเข้าถึงนั้นมีมากยิ่งกว่ายุคสมัยใด
เป็นไปได้ไหมว่า
การบริโภคข่าวสารข้อมูลจำนวนมากโดยปราศจากการไตร่ตรองทำให้ผู้คนเข้าใจไปว่าตนได้กลายเป็นผู้รู้ในปัญหา
ก็ในเมื่อปัญหาทุกปัญหามีคำตอบสำเร็จรูป
การตั้งคำถามที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อค้นหาสัจจะความจริงจึงถูกละเลย
เมื่อมีทัศนะต่อปัญหาไม่ถูกต้อง
มองเห็นปัญหาไม่ครบทั้งโครงสร้าง
ก็แก้ปัญหาได้แต่เพียงผิวเผิน
การเลือกใช้เครื่องมือในการแก้ปัญหาจึงพลาดผิดได้
การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมากระทำแต่เพียงผิวเผิน
เพราะขาดการมองโดยรวม
จึงทำได้แต่เพียงแก้ปัญหาเป็นจุด
ๆ ไป แต่ไม่อาจแก้ขุดรากถอนโคนของปัญหาได้
ดังเช่น ปัญหาความยากจนก็มองแต่เพียงว่า
เป็นปัญหาของการไม่มีเงิน
ก็แก้ด้วยการแจกเงินบ้าง
ขึ้นทะเบียนคนจนบ้าง
ทั้งที่ปัญหาความยากจนที่แท้อยู่ที่ความขาดแคลนเรื่องโอกาส
การต้องพึ่งพาผู้อื่น
การสร้างระบบที่ให้คนจนต้องพึ่งพาอาศัยคนรวย
ทำให้ฝ่ายหนึ่งต้องคอยเรียกร้อง
ลดศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของตนลง
อีกฝ่ายหนึ่งก็คอยแต่เล่นบทเศรษฐีใจบุญ
ที่ไม่สามารถสร้างความเห็นอกเห็นใจ
ความถ่อมตน
และเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายขึ้นมาได้
ปัญหาภาคใต้ก็มองแต่เพียงว่า
เป็นเรื่องในสี่จังหวัดภาคใต้
สิ่งที่ถูกมองข้ามไปก็คือ
เหตุใดคนไทยในอีกเจ็ดสิบสองจังหวัดที่เหลือจึงไม่รู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับปัญหานี้เอาเสียเลย
ปัญหานี้กลายเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวที่จะต้องทำการแก้ไขปัญหาที่คนใต้เป็นคนก่อในจังหวัดตัวเอง
คำถามที่ต้องถามก็คือ
ผู้คนในสังคมไทย
ไม่ว่าจะเป็น
นักเรียน นักศึกษา
ครู อาจารย์
หมอ พยาบาล
นักกฎหมาย
ข้าราชการ
ฯลฯ เกี่ยวข้องกับปัญหานี้อย่างไรบ้าง
หากมองไม่เห็นความเชื่อมโยง
การทำตนเพิกเฉยต่อปัญหาของคนในสังคมแม้จะอยู่คนละท้องถิ่น
ก็นับได้ว่าสังคมตกอยู่ในภาวะวิกฤติของการมีจิตสำนึกทางสังคมร่วมกัน
วิกฤติของสังคมไทยทุกวันนี้เกิดจากความไม่รู้หรืออวิชชาเป็นหลัก
ไม่รู้ในที่นี้
คือไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณค่าแท้
หรือคุณค่าเทียม
เมื่อยกย่องให้เงินตราเป็นใหญ่อยู่เหนือคุณภาพชีวิต
ความมีทรัพย์ก็กลายเป็นศาสนาใหม่
เพราะคนเชื่อว่ามีทรัพย์แล้วจึงจะมีสุข
ก็ทุรายอยู่บนหนทางของการครอบครองทรัพย์
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่เพียงแต่ธนบดีผู้กลายเป็นอัครเสนาบดีให้เหตุผลว่า
การซื้อทีมฟุตบอลระดับโลกจะเป็นช่องทางในการทำเงินของประเทศ
ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลิกตั้งคำถามว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องชอบธรรมเพียงไหน
และให้ความสนใจเพียงว่ารูปแบบของการออกหวยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนซื้อหุ้นนั้นจะเป็นอย่างไร
ไม่ต่างกับการสร้างความรับรู้ให้กับผู้คนว่าคาสิโนหรือบ่อนการพนันเป็นช่องทางสร้างรวย
เหล่าแมงเม่าทั้งหลายก็พร้อมจะบินเข้าหากองไฟ
ดังนี้ คาสิโนก็ได้ลูกค้า
คือแมงเม่า
ส่วนแมงเม่าจะมีสติปัญญามากขึ้นหรือไม่
มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่
หรือแม้แต่จะไปเกิดใหม่ในชาติที่ดีกว่าหรือไม่นั้น
ไม่มีใครถามต่อ
ปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีรูปแบบไม่แตกต่างกันมากนัก
และคงจะเกิดขึ้นซ้ำซากไม่มีที่สิ้นสุด
ความพยายามหาคำตอบปัญหาสังคมว่า
มีสาเหตุมาจากระบบการศึกษาบ้าง
เทคโนโลยีบ้าง
เอ็นจีโอบ้าง
รัฐบาลบ้าง
ก็เป็นวิธีคิดแบบแยกส่วน
และตกเข้าสู่หลุมพรางของวิธีคิดแบบโยนผิดให้ผู้อื่นอยู่ดี
เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล
นักการเมือง
นักวิชาการ
เอ็นจีโอ นักเรียน
นักศึกษา ต่างก็เป็นผลผลิตของสังคมทั้งสิ้น
ความแย่หรือความเป็นเลิศนั้นต่างก็เป็นผลจากห่วงโซ่ของกระบวนการต่อเนื่องอันยาวเหยียด
ทรรศนะเกี่ยวกับปัญหาต่าง
ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังมีอีกมาก
แม้ท่านอาจารย์ประเวศ
วะสีจะกล่าวว่าสังคมไทยมีความเห็นมากกว่าความรู้
แต่หากกลั่นกรองแยกแยะความเห็น
ความเห็นที่มีคุณภาพก็เป็นความรู้ได้
ขณะเดียวกันความเห็นที่ไร้คุณภาพก็เป็นดรรชนีแสดงความไม่รู้ได้
โดยเหตุนี้
แม้จะมีปริมาณความเห็นอย่างน่าสำลักในการบริโภค
แต่การมีทางเลือกที่จะเชื่อนั้นย่อมดีกว่าการมีเผด็จการทางความรู้และหรือเผด็จการทางความเห็นอย่างแน่นอน
ในยุคสมัยที่ความเห็นหรือข้อมูลข่าวสารหลากหลาย
ความสามารถในการกลั่นกรองคุณภาพความเห็น
และหรือความรู้ที่เหมาะสมนั้น
ย่อมมีความสำคัญไม่แพ้ความสามารถในการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
ตลอดจนความเข้าใจที่ว่าความแตกต่างขัดแย้งนั้นย่อมเกิดขึ้นได้
และมีทางเลือกที่จะจัดการได้ด้วยวิถีทางที่นำมาสู่ความสงบสุขเรียบร้อยระยะยาว
มีศานติ และเป็นธรรม
ชลนภา อนุกูล
|