หนุ่มสาวดัดจริต > สันติวิธีตามวิถีพุทธ

ชลนภา อนุกูล
ตีพิมพ์ครั้งแรกในจุลสารเพื่อนไทย ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๓ เดือนกันยายน ๒๕๔๗

ความรุนแรงและข่าวสารของความรุนแรงรอบตัวทำให้ต้องตั้งคำถามว่ามนุษย์มาถึงจุดอับทางปัญญาในเรื่องสันติวิธีแล้วหรือ แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีศรัทธาในสันติภาพ เคยได้ยินคำว่าสันติวิธีมามาก แต่เมื่อถามตนเองว่าสันติวิธีหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็พบว่ามีคำถามมากมายที่ต้องตอบ สันติภาพนั้นเป็นทั้งเป้าหมายและมรรค มรรควิธีของสันติภาพก็คือสันติวิธีนั่นเอง การไปถึงสันติภาพอันเป็นจุดหมายจึงต้องเข้าใจเรื่องสันติวิธี

สันติวิธีเป็นกระบวนการแก้ไขความรุนแรงและความขัดแย้ง การดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางของสันติวิธีจำต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือ ทัศนคติที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาโทษและเหตุของความรุนแรงจนเกิดปัญญา เข้าใจโทษของความรุนแรงอย่างลึกซึ้ง เห็นคุณประโยชน์ของสันติวิธี จนกระทั่งสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยความมีสติรู้อยู่ทุกขณะเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง

      ก้าวแรกของการสร้างความเข้าใจเรื่องสันติวิธีจึงเริ่มจากการทำความรู้จักความรุนแรง ต่อด้วยเหตุแห่งความรุนแรง และการแก้ไขความรุนแรงด้วยสันติวิธี

 

      ความรุนแรงคือภาวะบีบคั้น ประกอบด้วยความอยุติธรรม นอกเหนือจากความรุนแรงในรูปแบบของการใช้กำลังแล้ว ยังมีความรุนแรงเชิงโครงสร้างซึ่งเป็นความรุนแรงในรูปแบบที่มองเห็นได้ยากและก่อให้เกิดโทษมากที่สุด

      ตัวอย่างความรุนแรงทั่วไป ได้แก่ การทำสงคราม การก่อการร้าย การยกพวกตีกันของเด็กนักเรียน การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว เป็นต้น

     เมื่อพิจารณาดูในกรณีของการทำสงคราม นอกจากจะก่อให้เกิดความสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สินแล้ว ยังก่อให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง อดหยาก หิวโหย สภาพครอบครัวแตกสลาย ญาติพี่น้องจากพราก ดังในสงครามเวียดนาม ซึ่งมีการทิ้งระเบิดเป็นจำนวนมากกว่าที่ใช้ไปในสงครามโลกครั้งที่สองทั้งหมดด้วยซ้ำ และแม้ในปัจจุบันซากระเบิดยังเหลือตกค้างอีกเป็นจำนวนมาก แม้ผ่านยุคสงครามไปแล้ว ก็ยังมีเหยื่อระเบิด ร่างกายพิกลพิการ แขนขาด ขาขาด จากซากระเบิดตกค้างเหล่านี้ นอกจากจำนวนคนเจ็บและตายจำนวนมากแล้ว ผู้หญิงเวียดนามก็ถูกกระทำไม่ต่างกับผู้หญิงในสมรภูมิอื่น ๆ คือถูกกระทำชำเรา แม้แต่พระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีก็ถูกเพ่งเล็งและถูกฆ่า มีความหวาดกลัวและหวาดระแวงอยู่ทั่วไป แม้ฝ่ายทหารอเมริกันที่รอดชีวิตกลับไปบ้านเกิดของตน ก็ประสบปัญหาทางจิต ฆ่าตัวตายไปไม่น้อย หลังสงคราม ประเทศเวียดนามต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างมาก ไม่เพียงแต่ในทางบูรณะบ้านเมือง จิตวิญญาณและขวัญของผู้คนก็ยังต้องกอบกู้ให้คืนมา สภาพเช่นนี้ย่อมไม่ต่างจากบ้านเมืองที่ประสบภัยสงครามอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในอัฟกานิสถาน สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ หรือสงครามอิรัก หรือหากมองใกล้ตัวเข้ามา สงครามระหว่างราชอาณาจักรพม่าและอยุธยาเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ก็ยังก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนพม่าและไทยมาจนถึงปัจจุบัน

           ดูเผิน ๆ แล้ว ความรุนแรงในครอบครัวดูเล็กน้อยกว่าการทำสงครามระหว่างประเทศ แต่การเลี้ยงดูย่อมมีผลในการหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์เสียยิ่งกว่าพันธุธรรม เด็กที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ความรุนแรง เห็นการทะเลาะเบาะแว้ง โต้เถียงด่าทอ และถูกทุบตี ย่อมเกิดความคุ้นชินกับความรุนแรง เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ย่อมมีความโน้มเอียงที่จะใช้ความรุนแรงในการจัดการกับปัญหา จากผลงานวิจัย ผู้ประกอบอาชญากรรมเกือบทั้งหมดต่างเคยเป็นเหยื่อของความรุนแรงในวัยเด็กทั้งสิ้น

            ส่วนตัวอย่างของความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ได้แก่ ปัญหาความยากจน โสเภณี ยาเสพติด การพนัน อาชญากรรม การทุจริตฉ้อฉล เป็นต้น โดยเหตุที่ความรุนแรงเหล่านี้ผู้คนไม่ค่อยรู้ว่าเป็นความรุนแรง จึงเรียกได้ว่าเป็นความรุนแรงที่มองไม่เห็น

          ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างอันซับซ้อน อยุติธรรม มิได้เกิดจากการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่ทั้งโลก ทั้งสังคม และทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ดังเช่น การที่ประชากรในประเทศร่ำรวยมีพฤติกรรมในการบริโภคเนื้อมาก ก็จะผลักดันให้มีการทำปศุสัตว์มากขึ้น พื้นที่เกษตรกรรมก็จะลดลงไป พื้นที่ป่าก็จะถูกบุกรุกถากถางมากขึ้น และเนื่องจากที่ดินและค่าแรงในประเทศร่ำรวยมีราคาสูง การบุกรุกป่าและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติก็ย่อมเกิดขึ้นมากในประเทศยากจน ประชากรของประเทศยากจนก็จะถูกผลักดันทางอ้อมให้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ เศรษฐกิจของประเทศยากจนก็จะขึ้นกับการส่งออก เมื่อมีเหตุโรคระบาดในปศุสัตว์ ผู้คนที่ยากจนก็ยิ่งจะยากจนลงยิ่งขึ้น โดยเหตุที่ขาดหลักประกันและอำนาจต่อรองในการประกอบอาชีพ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกับหลายประเทศในโลก ที่ปลูกข้าว กล้วย ชา ใบยาสูบ ฯลฯ เพื่อส่งออก

ความยากจนมิใช่เรื่องของความขาดแคลนวัตถุ ทั้งยังมิใช่เรื่องของเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนของคนจน หากแต่เกิดจากโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ในการเข้าถึงโอกาสและทรัพยากร ความหมายของความยากจน ก็คือ การขาดแคลนโอกาส ต้องคอยพึ่งพาผู้อื่น การแก้ไขปัญหาความยากจนหรือปัญหาโครงสร้างจึงไม่สามารถแก้ได้ด้วยการบริจาคทาน ให้วัตถุสิ่งของ แต่ต้องจัดโครงสร้างสังคมให้เกิดความเท่าเทียมกัน

เรื่องราวการต่อสู้ ๒๗ ปี ของแม่เฒ่าไฮ ขันจันทา เป็นตัวอย่างอันดีของความรุนแรงของโครงสร้างสังคมและอำนาจรัฐ บางคนว่าการที่แม่เฒ่าไฮไปทุบเขื่อนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะไปทำลายทรัพย์สินของแผ่นดิน และเป็นการใช้ความรุนแรง แต่หากเทียบกับการที่รัฐได้ฉ้อฉลเอาที่ดินของแม่เฒ่าไฮไปโดยมิชอบ มีการปลอมแปลงเอกสาร ครอบครัวแม่เฒ่าต้องสูญเสียที่ดิน สูญเสียอาชีพเกษตรกร ลูกหลานต้องไปทำงานรับจ้าง ต้องทิ้งหมู่บ้าน เดินทางเข้ามาหางานในเมือง การเรียกร้องตามลำดับขั้นตอนที่ใช้เวลายี่สิบเจ็ดปี ตามกติการัฐที่เขียนไว้ในรูปกฎหมาย เป็นพยานสำคัญของความรุนแรงที่มีอำนาจร้ายแรงต่อชีวิตของมนุษย์เสียยิ่งกว่าการไปนั่งทุบเขื่อนตามมีตามเกิดเสียอีก

ความเฉยชาต่อปัญหาสังคมก็เป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง การไม่กระทำอะไร ก็เป็นการปฏิเสธความเกี่ยวข้อง คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตน และนำพามาซึ่งความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังเช่น การใช้น้ำหรือไฟฟ้าอย่างฟุ่มเฟือยของคนเมือง เพราะคิดว่ามีความสามารถพอที่จะจ่าย ทั้งที่บ้าน หรือผ่านพฤติกรรมบริโภคอย่างการเดินห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นตัวการในการใช้พลังงานและสร้างขยะปริมาณมาก โดยมิได้คำนึงถึงว่า น้ำหรือไฟฟ้านั้นมาจากไหน ขยะจะไปอยู่ที่ใด ต้องใช้พื้นที่ป่าหรือเบียดบังทรัพยากรจากคนต่างจังหวัดมาเพียงไร จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับครอบครัวของแม่เฒ่าไฮอีกจำนวนเท่าใด และหากคนในเมืองซึ่งมีโอกาสได้รับการศึกษาสูงกลับไม่อาจตระหนักรู้ถึงสายโซ่แห่งความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับคนต่างจังหวัดหรือธรรมชาติ การศึกษาที่หล่อหลอมผู้คนเหล่านี้ขึ้นมาก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงเช่นเดียวกัน

ความรุนแรงที่มองไม่เห็นเหล่านี้ เป็นรูปแบบของการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง การเบียดเบียนนั้นก่อให้เกิดทุกข์ เมื่อผู้คนไม่รู้ว่าการดำเนินชีวิตของตนเบียดเบียนใครหรือโลกอย่างไรบ้าง ก็ย่อมจะแก้ปัญหาได้ยาก และยังก่อให้เกิดการเบียดเบียนมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

เหตุที่แท้ของความรุนแรงนั้นก็คือ อวิชชา นั่นเอง ได้แก่ ความไม่รู้จักความรุนแรง มองไม่เห็นโทษ ไม่รู้เหตุหรือสายโซ่ของการเบียดเบียน ไม่รู้วิธีแก้ไข หรือไม่ยินดีที่จะแก้ไข อำนาจของอวิชชาจึงก่อให้เกิด โลภะ โทสะ และโมหะ

สงครามอิรักเป็นสงครามผลประโยชน์ การเข้ายึดครองอิรักทำให้อเมริกาเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันปริมาณเกินครึ่งหนึ่งของโลก รองประธานาธิบดีก็มีหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและการค้าอาวุธ การทำสงครามจึงเกิดจากอำนาจของความโลภ อยู่บนพื้นฐานของความเห็นแก่ตนเป็นหลัก แม้อเมริกาจะได้ชื่อว่าชนะสงคราม แต่ปัจจุบันก็ยังมีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทหารอเมริกันที่ประจำการในอิรักเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเสียยิ่งกว่าก่อนยึดอิรักได้ ประชาชนอเมริกันเองก็ตกอยู่ในความหวาดผวาของการตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายในบ้านเมืองของตน แม้สถานทูตหรือธุรกิจของชาวอเมริกันในต่างประเทศก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตี บ้านเมืองที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวจึงไม่อาจนับว่ามีความผาสุกอย่างแท้จริง

          เมื่อข่าวเชลยชาวอิรักที่ถูกทรมานในค่ายทหารอเมริกันเผยแพร่ออกไปผ่านสื่อมวลชน กลุ่มกบฏหัวรุนแรงชาวอิรักก็ตอบโต้ด้วยการจับตัวประกันชาวต่างชาติมาตัดศรีษะ แถมบันทึกภาพวีดีโอถ่ายทอดทางอินเทอร์เนตเสียอีก อำนาจของโทสะ หรือความโกรธนี้ ย่อมไม่อาจแก้ปัญหาสงครามให้หมดสิ้นลงไปได้ เช่นเดียวกันกับความโกรธของรัฐสภาอเมริกันที่แสดงออกมาทันทีหลังจากเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยายน และก่อให้เกิดการทำสงครามในอัฟกานิสถานและอิรักในที่สุด จักเห็นได้ว่า แม้ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่ามีปัญญาในสังคม เมื่อความโกรธจู่โจมเข้ามาถึงตัว ก็บดบังสติปัญญานั้นไปเสียสิ้น

           โมหะ หรือความหลง ก็คือความหลงผิด ดังที่มีผู้หลงผิดคิดว่าความรุนแรงจะใช้แก้ไขปัญหาได้ โดย มองไม่เห็นสายโซ่แห่งการเกิดของเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องกัน มองไม่เห็นว่าเวรย่อมก่อให้เกิดเวร ความรุนแรงย่อมก่อให้เกิดความรุนแรงต่อเนื่อง ดังเช่น ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตของพลเมืองทั้งสองประเทศแบบรายวัน ก่อให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างคนทั้งสองชนชาติเป็นกระแสต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

 

เมื่อเห็นโทษภัยอันร้ายกาจของความรุนแรง มองเห็นเหตุแห่งความรุนแรงว่าเกิดจากโลภะ โทสะ โมหะ ทำให้เกิดสายโซ่แห่งความรุนแรงต่อเนื่องกัน การแก้ไขความรุนแรงจึงต้องรำงับความรุนแรงนั้นให้หมดสิ้นไป ในที่นี้ก็คือหลักใหญ่ใจความของสันติวิธีนั่นเอง

           ในขณะภาวะสงครามกลางเมืองนั้น ท่านติช นัท ฮันห์ พระภิกษุชาวเวียดนาม ต้องประสบกับความพลัดพรากสูญเสียของพี่น้องชาวเวียดนามทั้งสองฝ่าย หัวใจท่านก็โศกเศร้าเช่นเดียวกับชาวเวียดนามทั่วไป แต่ท่านก็พยายามที่จะเตือนสติผู้คนให้ตระหนักรู้ว่า ศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์มิใช่มนุษย์ด้วยกันเอง หากเป็นความโกรธความเกลียดภายในใจ ชัยชนะที่แท้ก็คือการชนะความโกรธความเกลียดในใจของตนนั่นเอง ท่านเป็นผู้มีบทบาทอย่างยิ่งในการนำสันติภาพกลับมาสู่เวียดนาม แม้ท่านจะสูญเสียกัลยาณมิตรจำนวนมากในระหว่างสงคราม โดยเหตุที่ทางการเวียดนามทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจคำสอนว่าด้วยสันติภาพของท่าน และได้ทำการปรามปรามภิกษุและภิกษุณีที่ดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามและเรียกร้องสันติภาพ จนเป็นเหตุให้ภิกษุและภิกษุณีดังกล่าวเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ท่านก็ยังคงดำรงความหนักแน่นมั่นคง และมีเมตตาแม้แต่ผู้ที่ประกาศตนเป็นศัตรู

           ท่านทะไล ลามะก่อนจะลี้ภัยออกมาจากทิเบต ได้ประสบกับเหตุการณ์ที่จีนส่งกองทัพเข้ามายึดครองทิเบต แทรกแซงการปกครองในรัฐบาล และกระทำทารุณกรรมต่อประชาชนชาวทิเบตหลายประการ แต่ท่านก็ยังประกอบด้วยเมตตายิ่ง มีความเข้าใจในการกระทำด้วยความไม่รู้ของรัฐบาลจีน และตระหนักว่าวิถีแห่งความรุนแรงไม่อาจจะช่วยเหลือให้ประชากรชาวทิเบตพ้นจากความทุกข์ยากได้ ดังนั้น แม้จะมีกองกำลังทิเบตรวมตัวกันต่อสู้กับกองทัพจีน ท่านก็ยังขอร้องให้วางอาวุธ ด้วยเหตุที่เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจจะชนะได้ และรังแต่จะก่อให้เกิดการกดขี่พลเมืองทิเบตรุนแรงขึ้น ท่านยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการควบคุมความโกรธความเกลียดชัง แต่ท่านก็เชื่อมั่นในอหิงสธรรมอย่างยิ่ง ทั้งยังถือว่าศัตรูก็เป็นครูที่ดี ดังนั้น ภายหลังการลี้ภัย แม้จะได้ข่าวคราวความกดขี่ที่จีนกระทำต่อพลเมืองของท่าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดหัวคนทิเบตที่ต่อต้านรัฐบาลจีนประจานในที่สาธารณะ การจับกุมภิกษุและภิกษุณีด้วยเหตุที่คอมมิวนิสต์จีนเชื่อว่าศาสนาเป็นยาพิษ และบังคับให้ละเมิดพรหมจรรย์ซึ่งกันและกัน การบุกรุกวัดต่าง ๆ ยึดและเปลี่ยนไปทำโรงงาน โรงเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ท่านก็ยังดำรงอยู่บนหนทางของอหิงสธรรมอย่างหนักแน่น มิได้กล่าวประนามรัฐบาลจีน แต่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทิเบตจากนานาประเทศ ท่าทีเช่นนี้ทำให้ประชาคมโลกให้การยอมรับนับถือ และให้ความช่วยเหลือต่อทิเบตนานับประการ

           ปีพ.ศ. ๒๕๔๗ นี้ แอฟริกาใต้เพิ่งฉลองทศวรรษแห่งอิสรภาพไป เนลสัน แมนเดลลา ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชนั้นมีอายุแปดสิบกว่าปี เขาเคยถูกขังคุกนานถึง ๒๗ ปี แต่ก็มิได้ท้อถอยในการต่อสู้ ทั้งยังหนักแน่นกับหนทางแห่งสันติวิธี มิได้เลือกหนทางของการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น ผลของการต่อสู้อันยาวนาน ภายหลังรับอิสรภาพ เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ทั้งยังกลายเป็นรัฐบุรุษ ศูนย์รวมจิตใจของพลเมืองแอฟริกาใต้ และสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ทางสันติภาพมาถึงบัดนี้ ในอีกแปดปีข้างหน้าแอฟริกาใต้จะได้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก เพื่อแสดงความพร้อมและประกาศศักดิ์ศรีของทวีปอาฟริกาต่อประชาคมโลก จะเห็นได้ว่าขันติหรือความอดทนอดกลั้น ต่อความทุกข์ยากอันยาวนานนั้น ต้องอาศัยความเข้มแข็งอย่างยิ่ง กล้าหาญอย่างยิ่ง แต่ทำให้ได้รับดอกผลอันงดงามและยั่งยืนอย่างยิ่ง

 

           จะเห็นได้ว่าสันติวิธีไม่ได้แปลว่า การอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร หากแต่เป็นการปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ให้เกิดการเบียดเบียนหรือความรุนแรงน้อยที่สุด ด้วยอำนาจของปัญญา คือเข้าใจโทษภัยของความรุนแรง อันเกิดจากการมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างตนกับโลก

          การปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องก็คือเมตตาภาวนานั่นเอง คำว่าภาวนาในที่นี้ หมายถึงการทำให้เกิดขึ้นเป็นจริง มิได้หมายถึงการท่องมนต์ เมตตาภาวนาจึงมิได้หมายถึงการสวดแผ่เมตตา หากแต่หมายถึงการทำให้เกิดความเมตตาขึ้นภายในจิตใจ ประกอบอยู่ในความคิด คำพูด และการกระทำ อยู่ในวิถีชีวิตทุกลมหายใจ ความเมตตานี้ไม่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการคิด จำเป็นต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยอาจจะถือตามแนวทางปฏิบัติในมรรคแปดก็ได้ หรือตามหลักไตรสิกขาก็ได้

           ปัญญานั้นทำให้มีทัศนคติและความคิดที่ถูกต้อง มองเห็นโทษของความรุนแรง เข้าใจเหตุที่มาของความรุนแรง รู้วิธีระงับความรุนแรง เนื่องจากมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่าง ๆ ไม่มองตนเองแยกจากโลกหรือสังคม

           ความมีศีลทำให้การพูด การกระทำ และการประกอบอาชีพเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง คือพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉาน มีความเป็นอยู่ง่าย บริโภคตามความจำเป็น ลดภาวะการทำลายสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการเบียดเบียนวิถีชีวิตผู้อื่น ไม่ประกอบอาชญากรรม ไม่ทุจริตฉ้อฉล มีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อคู่สมรส เป็นต้น

          ส่วนหลักสมาธิ ประกอบด้วย ความพากเพียร ความมีสติรู้ทั่ว และภาวะจิตใจที่เหมาะกับการประกอบการงาน คือการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ให้ประสบผลสำเร็จลุล่วงไปด้วยอำนาจของความบากบั่น มีจิตใจเบิกบาน เป็นสุข

          จะเห็นได้ว่า สันติวิธีหรือเมตตาภาวนาก็คือการดำเนินชีวิตอันประกอบด้วยความมีศีล สมาธิ และปัญญา จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้ ปัญญาทำให้มองเห็นความรุนแรงทั้งแบบทั่วไปที่เป็นการใช้กำลัง และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง อันเกิดจากการมองสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน และโดยเหตุที่ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ จึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงขึ้นได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หลักของศีลจึงเป็นแนวปฏิบัติที่ให้ลดละความรุนแรง มีการเบียดเบียนน้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ การดำเนินชีวิตตามหลักของศีล มิใช่การปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกสอนตามกันมา หากแต่เป็นผลอันเกิดจากวิปัสสนา หรือการพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จนเกิดปัญญานั่นเอง ส่วนพลังสมาธิก็เป็นเครื่องสนับสนุนให้ความตั้งใจในดำรงชีวิตที่หลีกเลี่ยงความรุนแรงประกอบด้วยความแน่วแน่ และประสบผลสำเร็จในที่สุด

            ธรรมชาติประกอบด้วยความแตกต่างหลากหลาย มนุษย์นั้นมีความแตกต่างหลากหลายในเรื่องของความเชื่อ ความคิด ดังนั้น ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องปรกติธรรมดา แต่เราย่อมสามารถเลือกจัดการกับความขัดแย้งได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง โดยการพิจารณาว่าแม้มนุษย์มีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังดำรงความเป็นมนุษย์เหมือนเรา คือล้วนไม่อยากจะเป็นทุกข์ และอยากจะเป็นสุข เมื่อมองเห็นความเป็นมนุษย์ที่เหมือนกันนี้ได้ ก็ย่อมบังเกิดความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ปฏิบัติกับผู้ที่คิดต่างจากเราได้อย่างถูกต้องด้วยความเมตตา

           ในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้งรุนแรง แม้เราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง เราย่อมต้องเฝ้าระวังความรุนแรงภายในจิตใจของเรา ไม่ให้ความโกรธหรือความเกลียดชังต่อความรุนแรงหรือผู้ใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นมาได้ ดังเช่น ในกรณีของความไม่สงบในสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย หากเราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ก็ต้องตระหนักว่าหมายถึงความรุนแรงในนัยยะของพฤติกรรม หรือโครงสร้าง ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ ฉะนั้น แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปรามของฝ่ายรัฐ และไม่เห็นด้วยกับการก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นการลอบทำร้ายพระสงฆ์ ข้าราชการ หรือบุคคลทั่วไป เราย่อมไม่โกรธเกลียดทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ก่อความไม่สงบ เพราะประกอบด้วยความเข้าใจถึงเหตุที่มาของความรุนแรงเหล่านั้น นั่นคือ เราต้องเฝ้าระวังเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธความเกลียดภายในจิตใจ โดยนัยยะเช่นนี้ ความเมตตาหรือสันติวิธีได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วภายใน และถือได้ว่ามีท่าทีที่ถูกต้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            ความคิด การพูด และการกระทำของผู้ที่ประกอบด้วยเมตตานั้นไม่อาจจะประกอบด้วยความรุนแรงขึ้นมาได้อีก ดังเช่น การเรียกร้องเอกราชอินเดียจากอังกฤษของมหาตม คานธี การเรียกร้องสิทธิมนุษยชนคนผิวสีในอเมริกาของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ และมัลคอล์ม เอ็กซ์ การดำเนินการหยุดยั้งสงครามในเวียดนามของท่านติช นัท ฮันห์ การเรียกร้องอิสรภาพทิเบตของท่านทะไล ลามะ การเรียกร้องอิสรภาพแอฟริกาใต้ของเนลสัน แมนเดลา แม้ใกล้ตัวขึ้นมา ก็คือ การเรียกร้องขอสิทธิที่ดินของตัวเองคืนมาของแม่เฒ่าไฮ การเรียกร้องให้เปิดประตูเขื่อนของชาวบ้านปากมูล การประท้วงโครงการท่อกาซของชาวบ้านชุมชนจะนะ สงขลา การเรียกร้องให้ใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของคณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษาไทยในต่างประเทศ เป็นต้น

            เมื่อในหมู่เพื่อนหรือคนทำงานมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็สามารถพูดคุยเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันได้ ไม่ใช่แบ่งพรรคแบ่งพวกออกเป็นฝักฝ่าย ไม่ยอมพูดจากัน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู และหากอีกฝ่ายหนึ่งตะโกน อีกฝ่ายก็ควรจะนิ่งฟัง เพราะถ้าตะโกนทั้งสองฝ่าย ก็จะไม่มีใครฟังเลย นั่นคือ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีสัมมาทิฎฐิร่วมกันว่าความขัดแย้งไม่อาจจะแก้ไขด้วยความรุนแรง ตกลงกันว่าจะแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็นกัน ก็ทำไปด้วยอำนาจของปัญญา โดยมีศีลและสมาธิประกอบ การพูดจาย่อมเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะประกอบด้วยความจริงใจในการแก้ไขความขัดแย้ง ไม่เกิดการพูดจาถกเถียง โต้แย้ง ถากถาง มุ่งเอาชนะคะคานกัน มีการพิจารณาไตร่ตรองความเห็นที่แตกต่างกันได้ด้วยความเป็นเหตุเป็นผลและด้วยใจที่เป็นธรรม เช่นนี้แล้ว ความขัดแย้งใด ๆ ก็ย่อมถูกแก้ไขให้ลุล่วงไปได้

           

           ความเจริญของมนุษยชาตินั้นมิได้อยู่ที่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันยาแก้ปวดหัวเป็นยาที่ขายดีมากที่สุดในโลก ความเครียดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น แม้มนุษย์ได้รับการศึกษามากขึ้น รู้มากขึ้น แต่กลับเป็นทุกข์ และเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณมากขึ้น ยาแก้ปวดอาจจะเยียวยาความป่วยทางกายได้ แต่ไม่อาจจะเยียวยาอาการเจ็บป่วยของจิตวิญญาณด้านใน ดังนั้น หากเราสามารถประยุกต์ใช้ศาสนธรรมในการดำเนินชีวิต พิจารณาจนเห็นโทษของความรุนแรง เข้าใจคุณค่าของสันติวิธี และด้วยเมตตาภาวนา จักนำมาซึ่งศานติภายในของปัจเจกบุคคลและสันติภาพของสังคมโดยรวมได้

 

           ความรู้เรื่องสันติวิธีดังที่กล่าวมาล้วนได้มาจากความกรุณาของท่านอาจารย์ทางฝ่ายพุทธศาสนาเสียมาก จึงถือได้ว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานทางพุทธศาสนาเป็นหลัก ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็มีความเห็นว่า ศาสนิกชนในศาสนาอื่นก็ย่อมอาจจะเรียนรู้หลักของศาสนาอื่นได้เช่นกัน หรือแม้แต่ผู้ไม่มีศาสนา และมีความปรารถนาซึ่งสังคมอันประกอบด้วยสันติสุข หากพบว่าสันติวิธีตามวิธีพุทธเป็นประโยชน์ จะนำไปปรับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสร้างวัฒนธรรมสันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคมก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗