ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
มีจดหมายฉบับหนึ่งจากทหารเยอรมัน
ซึ่งอยู่ในเขตสมรภูมิรบอันหนักหน่วงส่งมาถึงทางบ้าน เนื้อความในจดหมายมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า
ทุกวันนี้
ผมสวดมนต์ภาวนา ขออย่าให้ตนเองได้หมดความเชื่อมั่นในมนุษยชาติ
สภาพเดียวกันนี้ เป็นเช่นเดียวกับพระภิกษุชราชาวทิเบตรูปหนึ่ง ซึ่งถูกทหารจีนจับไปขังและทรมานนับสิบปี
เมื่อถูกปล่อยตัวเดินทางออกจากทิเบต มาพบกับท่านทะไลลามะ ท่านกล่าวว่า
สิ่งที่ท่านหวาดกลัวที่สุดมิใช่ทัณฑกรรมที่ทหารจีนกระทำต่อท่าน หากแต่เป็นจิตใจของท่านเอง
ท่านต้องต่อสู้และอดทนอย่างมากที่จะไม่ให้ความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังมนุษย์เกิดขึ้นภายในใจ
ปัญญาญานเช่นเดียวกันนี้ ได้เปล่งประกายฉายชัดในช่วงสงครามเวียดนาม
เมื่อพระติช นัท ฮันห์ พยายามกล่าวย้ำเตือนกับทุกฝ่ายว่า ศัตรูที่แท้จริงของเราไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันเอง
หากแต่เป็นความโกรธเกลียดภายในจิตใจ ดังที่ปรากฎอยู่ในบทกวี ในมือสองของฉัน
ซึ่งท่านเขียนขึ้นหลังจากได้ฟังข่าวเมืองเบ็นตรีถูกทิ้งระเบิด และเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันแถลงว่า
เราจำต้องทำลายเมืองเพื่อรักษามันไว้
ฉันปิดหน้าด้วยมือสอง
เปล่า
ฉันมิได้ร้องไห้
ฉันปิดหน้าด้วยมือสอง
เพื่อความอ้างว้างได้อบอุ่น
สองมือปกป้อง
สองมือถนอมเลี้ยง
ดวงวิญญานฉัน
มิให้โกรธเกรี้ยว
จาก
เรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง โดย ติช นัท ฮันห์ แปลโดย ร. จันเสน
ปัจจุบัน สังคมไทยก็กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอันยิ่งใหญ่
วิกฤติการณ์ในภาคใต้ได้นำพาชาวไทยมาประจันหน้ากับสัตว์ร้ายในตัว
นั่นคือ ความโกรธเกลียด ซึ่งทำให้มองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
มองผู้ที่เห็นต่างจากตนเป็นดังศัตรู และต้องกำจัดไปให้พ้นแผ่นดิน
ให้พ้นจากอิสรภาพ และจากความมีชีวิต
อย่างไรก็ตาม
แถลงการณ์ของกลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเรียกร้องให้ชนชั้นปกครองเปลี่ยนทัศนคติในการมองปัญหา
ยกเอาความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง และเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายในสังคมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
ถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดี เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของวัฒนธรรมการแสดงความคิดเห็น
ครั้นเมื่อรัฐบาลเปิดหัวใจที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่างจากกลุ่มนักวิชาการ
ก็ถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งในการเรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน ด้วยการลดการเผชิญหน้า
หันหน้ามาเจรจากัน แทนการกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง
เหล่านี้แหละ
คือตัวอย่างของสันติวิธี ที่หลายคนกำลังตั้งคำถามอยู่ ว่าจะเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ไขวิกฤติการณ์ภาคใต้ได้อย่างไร
สันติวิธีหรืออหิงสธรรมเป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง
สันติวิธีต้องใช้ปัญญามาก ต้องใช้กระบวนการคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก
ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุและผลมาก เพราะหากมนุษย์ขาดสติปัญญา
เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ก็ย่อมมิอาจใช้เหตุผลแยกแยะการกระทำที่ต่ำช้าออกจากความดีงามได้
รูปธรรมของสันติวิธีนั้นมีมากหลาย
เพราะสิ่งที่ปราศจากความรุนแรง มิได้เป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความบีบคั้นเบียดเบียนทางโครงสร้าง
ก็ถือว่าเป็นสันติวิธีทั้งสิ้น ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า non-violence สันติวิธีก็คือ
มรรคาที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณานั่นเอง
การสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
การกำจัดความโกรธเกลียด การสร้างความปึกแผ่นสมานฉันท์ของผู้คน การเยียวยารักษาบาดแผลทางประวัติศาสตร์
ก็เป็นหนทางของสันติวิธี
มีผู้เสนอหนทางแก้ไขปัญหาภาคใต้มากมายที่อยู่บนมรรควิถีของสันติวิธี
ดังเช่น การรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่เพื่อทำนโยบายสาธารณะ
การเปิดเวทีให้พูดประเด็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ การกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น
การจัดหลักสูตรการศึกษาที่อิงวัฒนธรรมท้องถิ่น การสร้างความเป็นธรรม
ฯลฯ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ตามความต้องการของผู้คนในพื้นที่เอง
อันจะนำประโยชน์สูงสุดมาสู่ท้องถิ่นและสังคมโดยรวม
การประนามผู้ที่เห็นแตกต่างจากตนว่าเป็นศัตรู
ความรู้สึกสะใจในความตายของมนุษย์ด้วยกัน และการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างไร้มนุษยธรรม
ด้วยเหตุผลที่ว่า เขามีความคิด ความเชื่อ และปฏิบัติผิดแผกไปจากกติกาและมาตรวัดของเรา
นั้นย่อมเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง
ความคิดเห็นสาธารณะที่แสดงต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ภาคใต้
และต่อบทบาทในการแสดงความเห็นของกลุ่มนักวิชาการ นั้นถือได้ว่าเป็นดรรชนีแสดงความรุนแรง
อันเกิดจากอำนาจแห่งความโกรธเกลียดในสังคมไทย ความเห็นที่รุนแรงย่อมไม่อาจแก้ปัญหาได้
เราต้องสำเหนียกว่า วิถีพุทธนั้นมิได้ถือว่าเสียงข้างมากเป็นสัจจะความจริง
มิฉะนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คงกลายเป็นคนขี้ฉ้อ ประชาธิปไตยก็มิได้ถือว่าเสียงข้างมากคือความถูกต้อง
หากแต่ถือว่าเป็นการให้พื้นที่กับทุกเสียง หัวใจของประชาธิปไตยก็คือการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
สุภาพชนนั้นแม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน
แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ทุรชนนั้นมีความเห็นเหมือนกัน แต่อยู่ร่วมกันไม่ได้
ดังนี้ กลุ่มนักวิชาการ ๑๔๔ คน แม้จะเป็นผู้ชำนาญการในสาขาที่แตกต่างกัน
มีความเห็นแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดยืนอยู่บนความกล้าหาญทางจริยธรรมร่วมกัน
มองเห็นผลประโยชน์ของบ้านเมืองร่วมกัน เขาจึงลงชื่อร่วมกันในจดหมายฉบับเดียวได้
เรียกได้ว่ามีความสง่าห้าวหาญดังราชสีห์ จะย่างเยื้องไปทางใดก็เต็มไปด้วยความโอ่อ่าผ่าเผย
และยิ้มรับอวิชชาเดรัจฉานได้ด้วยอำนาจแห่งกรุณา
จะเกิดอะไรขึ้น
หากเราคิดว่าปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว จะเกิดอะไรขึ้น
หากนักวิชาการขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ไม่ให้ความสนใจกับปัญหานี้
ไม่รวมกลุ่มกันเสนอหนทางแก้ไขปัญหาต่อสังคม จะเกิดอะไรขึ้น หากสังคมไทยทำลายต้นทุนทางปัญญาของตน
ด้วยการขังนักศึกษาและนักวิชาการไว้ในห้องเรียน ขังผู้นำทางจิตวิญญานไว้ในวัดหรือโบสถ์
จะเกิดอะไรขึ้น หากสื่อมวลชนขาดสติปัญญา มุ่งเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นไปเพื่อความเกลียดชัง
มากเสียยิ่งกว่าการสร้างความเข้าใจต่อปัญหา ซึ่งเป็นหนทางในการเข้าถึงสัจจะความจริง
และจะเกิดอะไรขึ้น หากสังคมไทยเลือกที่จะประหารความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
เหยียบย่ำความคิดเห็นที่ไม่ถูกจริตของตน แทนที่จะประหารสัตว์ร้าย
คือ ความโกรธเกลียด ในหัวใจของตน
วาระนี้
ประวัติศาสตร์และกาลเวลาจะเป็นผู้บันทึกไว้
ช. อนุกูล |