จารุพรรณ
กุลดิลก
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ตีพิมพ์ครั้งแรกในมติชนรายวัน
ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗
ก่อนที่จะพูดถึงกระบวนการสร้างสันติภาพ
เราต้องทำความเข้าใจความหมายของการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ที่พูดถึงกันอยู่ในปัจจุบันเสียก่อน
การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีหมายถึงการนำวิธีทางวัฒนธรรม
การศึกษาศาสนาการต่างประเทศ
การเศรษฐกิจ
สังคม
ฯลฯ
มานำการแก้ปัญหาโดยรวม อย่างมีหลักการและเหตุผล โดยไม่มีการสูญเสียทรัพยากรของชาติ
เช่น
ประชาชน เป็นต้น และนโยบายการสร้างสันติภาพนี้ ต้องทำให้ชัดเจน และมีพื้นฐานมาจากความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่นการสร้างสันติภาพมี
100 วิธีการปราบปรามก็เป็นเพียงหนึ่ง
100 วิธีเท่านั้นส่วนที่เหลือ
99 วิธี
จะช่วยแยกแยะผู้ก่อการร้าย ออกจากชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ได้อย่างชัดเจน
รวมทั้งอาจจะทำให้ผู้หลงผิดกลับใจ
และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมในระยะยาว
โดยหลักการแล้ว
ก็คือการนำคนทุกคนกลับมาสู่
"เวลาปัจจุบัน"
ให้มากที่สุด
ตระหนักถึงความจริงที่ว่า
ในสถานการณ์โลกขณะนี้
ประเทศต่างๆ
ควรจะรวมตัวกันให้ได้
ยกตัวอย่างเช่นสหภาพยุโรป
ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกที่มีความขัดแย้งกันทางประวัติศาสตร์
มาเป็นเวลายาวนาน แต่ทุกวันนี้สามารถรวมตัวกันได้
เพราะพบสัจธรรมที่ว่า
"รวมกันเราอยู่แยกกันเราตาย"
จึงปลดเปลื้องความแค้นในอดีต
และเริ่มต้นใหม่ด้วยการแบ่งปันทรัพยากรในด้านต่างๆ
ทำให้กลายเป็นกลุ่มประเทศมหาอำนาจ
ซึ่งมีอำนาจต่อรองกับนานาประเทศ
โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาได้อย่างน่าเกรงขาม
เช่นเดียวกันกับประเทศในแถบเอเชีย
ที่ควรจะรวมตัวกัน
และคิดที่จะเกื้อหนุนกัน ทางด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรให้ได้
ทั้งนี้
ก็เพื่อความอยู่รอดของประชาชนทุกหมู่เหล่า
เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ
ในแถบเอเชีย
ประชากรทั้งประเทศก็มีไม่มาก
แต่ยังมีความขัดแย้งไม่จบสิ้นดังเช่นปัญหาในภาคใต้
ที่ยืดเยื้อยาวนาน
จนกระทั่งมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้เกิดความโกรธแค้นในวงกว้าง
โดยเฉพาะความโกรธแค้นของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต
แต่หากลองศึกษาประวัติศาสตร์
จะพบว่าการฆ่ากันไปฆ่ากันมานั้นกินเวลาร่วม
100 ปีแล้ว
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครฆ่าใครก็รังแต่จะสะเปะสะปะ
ไร้ทิศทาง
หาความสาสมไม่เจอสักที และรังแต่จะหมักหมมเป็นความทุกข์โศกไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งที่ร้ายกาจขึ้นไปอีกคือ
อนาคตของชาติที่ล้มตายร่อยหรอ แทนที่เด็กเหล่านั้นจะมีอนาคตที่สดใส
เป็นคนเก่งบนสังคมแห่งความรู้
กลับจับอาวุธแลกกับสิ่งที่ไม่ควรแลกอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม
เราสามารถร่วมกันสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้ที่นี่
และเดี๋ยวนี้
โดยทุกฝ่ายร่วมมือกัน
น้อมนำให้ทุกคนกลับมาสู่ปัจจุบัน เริ่มต้นใหม่ ใช้พลังในการสื่อสารจากคนในครอบครัวสู่คนในครอบครัว
จากเพื่อนสู่เพื่อน
จากผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารสู่ผู้รับสารในทุกๆ
ส่วน
การสูญเสียในอดีต
จักถูกทดแทนด้วยความเอื้อเฟื้อให้แก่กันและกัน และจะนำพาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่สังคม
เป็นพลังในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพอย่างแท้จริง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้
ก็จะเป็นแนวทางให้กับผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา นำไปปฏิบัติบนพื้นฐานความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการที่สร้างความเข้าใจให้กับสังคมโดยรวม
รวมทั้งกระบวนการตัดสินใจ
ในการแก้ปัญหาบนพื้นฐานของความจริงและความยุติธรรม
ซึ่งประกอบด้วย
1.การจัดการความขัดแย้ง
(Conflict Management)
คือ
กระบวนการที่ประกอบด้วย การนิยามชนิดของปัญหาให้ชัดเจน บนพื้นฐานความรู้ที่หลากหลาย
ซึ่งต้องการนักวิชาการจำนวนมาก
มาร่วมกันรวบรวม
แยกแยะ จัดลำดับวิเคราะห์และยืนยัน
เช่น ข้อมูลทางประชากร วัฒนธรรม ภาษา การศึกษา ศาสนา การต่างประเทศ
จิตวิทยา กระบวนการยุติธรรม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ เป็นต้น
ซึ่งจะสามารถแบ่งกลุ่มปัญหาออกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น ขบวนการแบ่งแยกดินแดนดั้งเดิม
กลุ่มอุดมการณ์เยาวชน กลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มค้าของเถื่อน และกลุ่มพวกฉวยโอกาส
เป็นต้น
รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าประเด็นอะไรที่สังคมสับสนไม่ชัดเจน เช่น ประเด็นทางวัฒนธรรม
ภาษา การศึกษา เศรษฐกิจและศาสนา โดยนำข้อมูลนี้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็ว
เพื่อลดความขัดแย้งในประเด็นดังกล่าว
ขั้นต่อไปคือ การอธิบายให้ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน
ถึงการนิยามปัญหา และกระบวนการตัดสินใจ ในการสร้างสันติภาพ จะทำให้ได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง
หลังจากนั้น จึงทำการหาตัวกลางในการไกล่เกลี่ย และสื่อสารข้อมูลในเชิงให้ความรู้ต่อสาธารณชน
เพื่อให้ข่าวสารนี้กระจายไปถึงกลุ่มอุดมการณ์ทั้งหลาย ให้ชัดเจนถึงความจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน
และสร้างเวทีในการเรียกร้อง ตามกระบวนการประชาธิปไตยโดยสันติวิธี
การให้ความรู้เช่นนี้จะลดการจ้างวานการกระทำผิด และจะทำให้กลุ่มโจรและกลุ่มฉวยโอกาสโดดเดี่ยว
ง่ายต่อการจับกุมตัวตามกระบวนการยุติธรรม
2.การทำให้เกิดสันติภาพ (Peace Making) เป็นกระบวนการที่ประชาชนส่งสัญญาณต่อผู้นำ
และผู้นำส่งสัญญาณต่อผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา ว่าจะร่วมกันแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
หากคนค่อนประเทศยังอยากที่จะเห็นการปราบปรามอย่างรุนแรงแล้ว รัฐและสื่อย่อมจะคล้อยตามในที่สุด
ซึ่งพบแล้วว่า การปราบปรามเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสร้างสันติภาพในระยะยาวได้
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการแก้ปัญหา คือ "ประชาชน"
ดังนั้น จงร่วมกันส่งสัญญาณสันติภาพให้กับทุกฝ่าย ใช้ความสามารถในการสื่อสารที่มีอยู่
บอกปากต่อปาก ทั้งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอด และอนาคตของลูกหลานในระยะยาว
3.การสร้างสันติภาพในระยะยาว (Peace Building)
จะเห็นได้ว่า การระงับ และการหยุดยั้งความรุนแรงนั้น ไม่เพียงพอ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ การที่ประชาชนสามารถหาหนทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดในระดับการปฏิบัติจริงๆ ต้องอาศัยความร่วมมือ
และความจริงใจ รายบุคคล โดยสร้างระบบความยุติธรรมที่น่าเชื่อถือ
ทำให้ผู้คนศรัทธาด้วยใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ยากที่สุด
เพราะฝ่ายปกครองไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของคนในพื้นที่ ยิ่งสื่อสารกันไม่ได้
ยิ่งง่ายต่อความขัดแย้ง รวมทั้งบุคลากรที่เข้าใจปัญหายังมีอยู่น้อย
ดังนั้น มาตรฐานของความยุติธรรมที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
จำเป็นอย่างยิ่ง ที่รัฐและประชาชนต้องแสดงความจริงใจต่อกัน และหาหนทางที่จะนิยามปัญหานี้และร่วมกันแก้ไขให้เร็วที่สุด
ด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตย
นอกจากประเด็นที่คลุมเครือดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1 เช่น ประเด็นด้านวัฒนธรรม
ภาษา การศึกษา และศาสนา จำเป็นต้องมีการอธิบาย สิ่งที่เคลือบแคลงในใจเล็กๆ
น้อยๆ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง หากมีการอธิบายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เห็นใจกัน
ส่งเสริมให้เกิดเวทีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายโดยสันติ
เป็นเวทีที่ไม่ได้ด่าทอกัน แต่นำความรู้มาพูดกัน จะทำให้เข้าใจว่า
คนเราคิดต่างกันแต่อยู่ร่วมโลกกันได้ โดยเฉพาะเวทีของนักวิชาการหลากหลายสาขา
มีโทรทัศน์ที่นำเสนอวัฒนธรรมอันงดงามของแต่ละท้องที่ เพื่อสื่อให้เห็นถึงความลึกซึ้ง
และความหมายของวัฒนธรรม ที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนาน สร้างคุณค่าและความภูมิใจให้กับคนในพื้นที่
นอกจากนี้กระทรวงต่างๆ ควรมีนโยบายในการจัดทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาฯ ร่วมกับครูสอนศาสนาหรืออุสตาซในการจัดทำหลักสูตรร่วมกัน
กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับชาวบ้าน และผู้นำเสนอแง่มุมทางวัฒนธรรมอย่างมืออาชีพ
กระทรวงแรงงานร่วมกับโรงเรียนสอนศาสนา หาทางสร้างอาชีพ ให้เหมาะสมกับคำสั่งสอนของศาสนา
เป็นต้น
นโยบายเหล่านี้ต้องประณีต และถือประเด็นวัฒนธรรม และจริยธรรมเป็นตัวตั้ง
ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีวิทยาลัยอิสลามยะลา กล่าวไว้ว่า
"รัฐบาล และกลไกรัฐ จะต้องทำความเข้าใจอิสลามอย่างถี่ถ้วนและถูกต้อง
พร้อมทั้งนำหลักการ และวิธีการอิสลาม มาแก้ปัญหาต่างๆ และนำมาเป็นแนวทาง
ในทุกมิติของการพัฒนา พื้นที่แห่งนี้มีความละเอียดอ่อน เป็นสังคมศาสนา
การแก้ปัญหา ก็ต้องเป็นไปอย่างละมุนละม่อม"
4.การป้องกันความขัดแย้ง (Conflict Preventive) เป็นงานที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างมีสติ
ทั้งฝ่ายรัฐและประชาชน เสมือนการทำงานในตอนท้ายของพนักงานดับเพลิง
ที่จะช่วยกันกำจัดเขม่าควันและเชื้อเพลิง เพื่อไม่ให้เกิดการลุกไหม้ติดไฟขึ้นมาอีก
เช่น การทำให้กระบวนการยุติธรรมโปร่งใส ชัดเจน ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรทรัพยากรอย่างยุติธรรม
มีที่ปรึกษาทางด้านการพัฒนามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวทีและกระบวนการเรียกร้องอย่างสันติ
เช่น การทำข้อตกลงร่วมกันเรื่องการประท้วงอย่างเป็นสากล ต้องส่งชื่อกลุ่มและแกนนำผู้ชุมนุมประท้วง
และมีการลงทะเบียนรายชื่ออย่างเป็นระบบ มีการนัดหมายเวลาให้เป็นเรื่องเป็นราว
ส่วนหน่วยงานที่รักษาความปลอดภัย ต้องเป็นกลุ่มที่มีความรู้และได้รับกาาฝึกฝนมาอย่างชำนาญ
เป็นต้น
ท้ายที่สุด สิ่งที่ต้องระวังก็คือ กระบวนการการสร้างสันติภาพ จะต้องไม่เป็นกระบวนการที่เพิ่มเติม
หรือส่งเสริมความขัดแย้ง และหัวใจของกระบวนการ
ก็คือ การสื่อสาร และการตีความ ในระหว่างการประสานงาน จำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความชำนาญ
และผู้ที่มีจิตใจสมานฉันท์อย่างจริงจัง
ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน หยุดการทะเลาะวิวาทะกันชั่วคราว ให้อภัย
ยกประเด็นการเมืองเป็นเรื่องรอง หันมาให้ความรู้แก่สังคม
และร่วมกันยับยั้งการตายรายวันของผู้บริสุทธิ์ในทุกพื้นที่กันอย่างจริงจัง
จักแสดงถึงพลังของประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้อำนาจรัฐใด นำกระบวนการประชาธิปไตยมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
บนพื้นฐานของปัญญา และขันติธรรม
|