ดร.
วิลาสินี พิพิธกุล
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์รายวันโพสต์ทูเดย์ ฉบับประจำเสาร์วันที่
๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗
ไม่ว่าจะเป็นนกกระดาษ เทียนไข
เสื้อสีขาว บทภาวนาว่าด้วยรักและเมตตา... ต่างถูกนำออกมาใช้สื่อสาร
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเพรียกหาสันติภาพ และการหยุดยั้งความรุนแรงที่ภาคใต้ด้วยสันติวิธี
แต่การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้
จะไม่สามารถเปลี่ยนกระแสสังคมได้เลย หากกลุ่มของผู้กระทำ หรือผู้นำที่ออกอุบายให้ทำ
ไม่ได้มี หัวใจ และ ปัญญา ที่อยู่บนฐานของศีลธรรม
หากไม่ใช้หัวใจและปัญญากำกับแล้ว
จะพับนกสักกี่ล้านตัว ก็ไม่สามารถสร้าง ปาฏิหาริย์ ได้จริง เพราะเรื่องของสันติวิธีนั้น
ไม่ใช่แค่มีความรู้ว่าทำอย่างไร แต่ต้องมีปัญญาที่จะน้อมรับ และซึมซับเอาความรู้สึกร่วมของเพื่อนมนุษย์ทุกคน
เข้ามาไว้ในใจเราด้วย
ถ้าตราบใดที่ผู้คนในสังคมนี้ยังรู้สึกเฉยชากับความสูญเสียของคนอื่น
ยังรู้สึกฮึกเหิมกับถ้อยคำปลุกปั่นให้เกิดความแปลกแยก และยังรู้สึกอดกลั้นไม่ได้ต่อความแตกต่างแล้วล่ะก็
ความสมานฉันท์ของคนในชาติย่อมเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไฟในใจยังลุกลามเผาไหม้ไม่มีที่สิ้นสุด
ดังที่พระไพศาล วิสาโล ได้ตั้งคำถามกับสังคมว่า วันนี้ถามตัวเองว่าไฟกำลังลุกไหม้กลางใจเราหรือไม่
ดูจากกระแสสังคมที่ออกมาตอบโต้นักวิชาการ
22 คนที่ไปเจรจากับนายกฯ นั่นปะไร ถ้าไม่วิจารณ์ว่านักวิชาการเหล่านี้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นรูปธรรม
ก็จะวิจารณ์ว่าล้ำเส้นไม่อยู่ในที่ในทางของตน หรือไม่ก็เป็นแค่มัสยาหลงเหยื่อ!
สรุปก็คือ การพยายามหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่ความรู้ในการจัดการกับปัญหานั้น
กลับถูกมองว่าไม่ใช่หน้าที่และบทบาทของนักวิชาการ
ถ้าเช่นนั้น
นักวิชาการที่มีไว้เพื่อ ผลิตซ้ำ ความรู้ชุดเดิมๆ ที่ทำให้สังคมยอมจำนนอยู่ในระบบอำนาจนิยม
และประชานิยมเท่านั้นล่ะหรือ จึงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของสังคม
ถ้าใครได้ดูรายการถึงลูกถึงคนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
คงได้เห็นกระแสถล่มนักวิชาการทั้ง 5 คนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มที่ร่วมลงชื่อทั้ง
160 คนซึ่งไปออกรายการในคืนนั้น คาดว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของ
SMS ที่ปรากฏบนจอทีวีที่แสดงอารมณ์โกรธแค้นนักวิชาการ ประเด็นที่ถูกโยนใส่และโหมกระหน่ำในวันนั้น
มีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่ม คือ 1.นักวิชาการดีแต่พูด ดีแต่ใช้ปาก 2.
นักวิชาการอยู่บนหอคอย ไม่รู้จริง 3. นักวิชาการอยากดัง สร้างภาพ
และ 4. นักวิชาการควรกลับไปสอนหนังสือ หน้าที่ปกป้องประเทศไม่ใช่ของนักวิชาการ
แม้กระแส SMS
ในรายการคืนนั้นจะส่อเป็นนัยว่ามีลักษณะจัดตั้งและมาจากกลุ่มเดียวกันก็ตาม
แต่สิ่งที่เราละเลยไปไม่ได้ ก็คือ กระแสนี้เล่นล้อไปกับโทนทางอารมณ์ของสังคมอยู่ด้วย
เมื่อพิจารณาจากกลุ่มประเด็นทั้ง
4 กลุ่มข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีลักษณะตอกย้ำความคิดแบบขั้วอำนาจ และยังเป็นความคิดที่อยู่บนฐานของความรู้แบบติดยึดในอัตตา
หรือตำแหน่งแห่งที่ของความรู้อย่างยิ่ง สังเกตได้จากการใช้ความหมายในเรื่องของการแบ่งแยก
ตีกรอบบทบาทหน้าที่ อันเป็นความรู้ทางสังคมวิทยาแบบเก่า ที่กำหนดบรรทัดฐานของสังคมตามบทบาทหน้าที่ของสมาชิก
ซึ่งความรู้แบบนี้ไปยืนยันความถูกต้องของวาทกรรมความมั่นคงของชาติ
ประกอบกับวิธีการจัดการความเห็นให้เป็นความรู้ของคนในสังคม
ได้ถูกทำให้หยาบลง ด้วยการผูกติดความรู้อยู่กับเรื่องของการทำให้เป็นรูปธรรม
(ที่จับต้องได้ และเสพได้ไวเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป) เฉกเช่นนโยบายประชานิยม
ที่นำเสนอทุกอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องมีการศึกษาวิจัยภูมิหลังของปัญหา
หรือผลกระทบที่จะตามมาในวันข้างหน้า จึงทำให้สังคมมองว่าสิ่งที่นักวิชาการเสนอนั้น
เป็นเพียงเรื่องที่ดีแต่ปาก และเก่งแต่ทฤษฎี
เมื่อความเห็นกับความรู้ไหลเลื่อนปนกันไปหมดเช่นนี้
สิ่งที่ออกมาจึงเป็นเพียงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยอวิชชาและกิเลส ซึ่งไปถูกจริตกับวัฒนธรรมการใช้อำนาจ
และการแก้ปัญหาที่ใช้ความรุนแรง สังคมไทยจึงเต็มไปด้วยความไม่อดทนต่อความแตกต่าง
การลงโทษผู้ที่ไม่อยู่ใน กรอบ และการแก้แค้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกอยู่ในระบบสังคมของเรา จึงเปิดโอกาสให้ผู้คนทำร้ายกันและกันได้ง่ายขึ้น
ชอบธรรมมากขึ้น และแผ่ขยายความเปราะบางไปทั่วหัวใจของคนทุกคน ชนิดที่ไม่ว่าจะแตะไปที่เรื่องไหน
ก็สั่นสะเทือนอารมณ์และสร้างความเกลียดชังต่อกันได้ที่นั้น
นี่คือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง
ที่กลายมาเป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่แทรกซึมเข้าไปทุกส่วนของสังคมนี้
และจะถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกต่อไปเรื่อยๆ
นึกถึงเรื่องเล่าของเพื่อนคนหนึ่งเมื่อเช้านี้
ที่บอกว่าพาลูกไปทานอาหารที่ร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง และในร้านนั้นมีครอบครัวมุสลิมนั่งทานอยู่ด้วย
1 โต๊ะ เมื่อเด็กๆ ที่สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม เพราะเพิ่งกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในวันฮารีรายอ
เดินไปเล่นเครื่องเล่นเด็กในสถานที่แห่งนั้น บรรดาพ่อแม่ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะอื่นๆ
ต่างรีบเรียกลูกของตัวเองกลับมาประจำที่กันยกใหญ่ เหลือแต่ลูกเล็กๆ
ของเพื่อนคนนั้น ที่วิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนตัวน้อยในชุดอันแตกต่าง
ในขณะที่พ่อแม่ของเด็กน้อยมุสลิมก็เฝ้าดูลูกอย่างไม่วางตา ว่าจะถูกรังแกหรือไม่
ปรากฏการณ์นี้บอกเล่าด้วยตัวมันเองว่า ความตึงเครียดที่เกิดจากความไม่ไว้วางใจกันและกันนั้น
มันรุนแรงและฝังลึก เราส่งกระแสของความกลัวและความเกลียดชังต่อกันออกไป
โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
หัวใจของคนไทยถูกทำให้สูญสิ้นความเป็นคนลงไปทุกที
ความรุนแรงที่ภาคใต้และการแบ่งแยกระหว่างเป็นไทยหรือไม่เป็นไทย จึงเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งที่สะท้อนปัญหาความรุนแรง
ที่ยึดโยงเกาะเกี่ยวไปกับปัญหาทุกอย่างในสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงทางเพศ
ความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ
หากในวันนี้ การแก้ปัญหาความรุนแรงยังไม่เข้าไปถึงการสร้าง หัวใจ
ดวงใหม่ที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม และยังไม่ได้ใช้ปัญญาที่พาตน ออกไปสู่อิสระจากความมีอคติต่อกันแล้วล่ะก็
การอ้างสันติวิธีที่มุ่งหวังแต่ปริมาณและการสร้างมวลชน ก็จะยิ่งทำให้รอยร้าวนั้นแตกแยกมากขึ้น
สันติวิธีของท่านมหาตมะ คานธี
จึงน่าจะเป็นสัจพจน์ที่สังคมรับฟัง ...ข้าพเจ้าเชื่อในสันติภาพ
แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการสันติภาพที่ได้มาด้วยราคา หรือสันติภาพที่อยู่ในหลุมฝังศพ
ข้าพเจ้าต้องการเห็นสันติภาพที่หลั่งออกมาจากไออกของมนุษย์ทุกคน...
|