ดร.วิลาสินี
พิพิธกุล
“...คลื่นยักษ์สึนามิไม่ได้นำมาแต่ความวินาศและความเจ็บปวด
แต่มันยังมีอีกด้านที่งดงามและสร้างสรรค์ เพราะมันได้เอาความดีงามของผู้คนออกมาให้ได้ประจักษ์กัน...”
นี่เป็นข้อความตอนหนึ่งของพระไพศาล วิสาโล ที่ไปปรากฏอยู่บนแผ่นประชาสัมพันธ์งานสนทนา
และนิทรรศการซึ่งจัดโดยกลุ่มนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ในชื่องานที่ผู้เขียนหยิบยืมมาเป็นชื่อบทความในครั้งนี้
นิสิตกลุ่มนี้
คือกำลังอาสาสมัคร ที่เข้ามาทำงานในศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อผู้ประสบภัยสึนามิ
ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม และยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
พวกเขาได้จัดเวทีถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของการทำงานอาสาสมัคร และถ่ายทอดเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ
จากบันทึกความทรงจำ ที่พวกเขาได้ไปสัมผัสพูดคุยกับผู้ประสบภัย และคนหนุ่มสาวที่เป็นอาสาสมัครในพื้นที่
สิ่งที่ได้บอกเล่ากันในวงสนทนาวันนั้น
ก็คือ ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าจิตสำนึกสาธารณะคืออะไร พลังอาสาสมัครเกิดขึ้นได้อย่างไร
และที่สำคัญก็คือ ทุกคนมองเห็นความงดงามที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกผูกพันที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน
ไม่ว่าจะต่างชาติ ต่างศาสนา หรือต่างความเชื่อ ความโหดร้ายของธรรมชาติไม่สามารถทำลายความงดงามในจิตใจของพวกเขาได้
มีเรื่องเล่าของคนดีจำนวนมากมายที่นิสิตกลุ่มนี้นำมาถ่ายทอดในวงสนทนา
เช่น อาสาสมัครสาวร่างเล็กที่ชื่อว่าจอย ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมจัดการศพที่สุสานบางม่วง
และยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่วันแรกที่มาปักหลักพร้อมๆ กับการตั้งศูนย์ของคุณหมอพรทิพย์
จอยบอกว่า ‘...เราต้องมาดูแลเขาเพื่อให้เขาทุกคนได้กลับบ้าน เพราะทุกคนที่นอนอยู่ในหลุมคือคนที่เสียภาษีส่งให้เราได้เรียน...’
นอกจากเรื่องของคนดีที่บอกเล่ากันในวงสนทนาแล้ว
ตามเว็บไซด์ต่างๆ ก็จะมีเรื่องราวของคนดีถูกบอกเล่าต่อๆ กัน เช่น
เว็บไซด์ชื่อ www.tsunamivolunteer.net
และเว็บไซด์ www.budpage.com ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาสาสมัครหลายคนบันทึกความดีงามที่พวกเขาประสบ
อาสาสมัครคนหนึ่งที่วัดย่านยาวเล่าว่าท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย ความหดหู่และความเครียด
พวกเขาได้สัมผัสกับหัวใจอันงดงามและยิ่งใหญ่ของคนอาสาสมัครด้วยกัน
รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ เขาเล่าถึงยายแก่ๆ คนหนึ่งที่มาพร้อมด้วยตะกร้าเปล่า
เพื่อขอเอาเสื้อผ้ากองโตของอาสาสมัครทุกคนไปซักทุกวัน ทั้งๆ ที่ยายก็สูญเสียลูกสาวไปจากภัยครั้งนี้
เด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่วิ่งเอาเงิน 5 บาทมายัดใส่มือเขา และผู้ที่อาสาสมัครทุกคนเอ่ยถึงอย่างซาบซึ้งใจคือ
คุณหมอพรทิพย์ ที่สอนให้พวกเขาเข้าใจพลังแห่งความเมตตาจากการลงมือทำให้เห็น
นอกจากนี้ยังมีแหล่งรวมคนดีอีกมากมาย
เช่นที่มูลนิธิกระจกเงาซึ่งได้จัดตั้งศูนย์ Tsunami volunteer ขึ้นที่เขาหลัก
ศูนย์แห่งนี้ได้กลายเป็นที่ทำงานของอาสาสมัคร ทั้งไทยและต่างชาติ
ในการจัดทำระบบข้อมูลคนสูญหาย และการจัดกำลังอาสาสมัครออกช่วยตามพื้นที่ต่างๆ
ตั้งแต่การเก็บขยะตามชายหาดและหมู่บ้านที่ประสบภัย ไปจนถึงการทำรายการวิทยุท้องถิ่นเพื่อสื่อสารกับคนในชุมชน
ปรากฏการณ์ของพลังอาสาสมัครที่กลายเป็นกำลังหลักในการทำงานนี้
เป็นมุมสะท้อนกลับที่ทำให้เห็นว่า มิติของการทำงานและวิธีคิดแบบราชการนั้น
ไม่สอดคล้องกับการสร้างสภาพแบบ “ร่วมคิด ร่วมทำ” เพราะเมื่อหน่วยงานราชการเริ่มลงมาในพื้นที่
การจัดวางโครงสร้างและแบ่งแยกความรับผิดชอบที่คิดตามแบบรัฐ (เพื่อไม่ต้องเหยียบตาปลาและแย่งงบประมาณกันนั้น)
กลับทำให้การทำงานช่วยเหลือสับสนวุ่นวาย และในไม่ช้าก็จะหมดแรง เพราะกระบวนการทำงานไม่เอื้อให้เกิดการหล่อเลี้ยงจิตใจ
หรือกระตุ้นความรู้สึกงดงามทางจิตวิญญาณ
แต่ประเด็นที่ชวนคิดก็คือ
ทำอย่างไรสังคมไทยจะโอบอุ้มพลังน้ำใจ และจิตสำนึกอาสาสมัครเหล่านี้
ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และถาวรได้ ทำอย่างไรจะเกิดคลื่นพลังที่ไปกระตุกความคิด
ของฝ่ายนโยบายและผู้บริหารของทุกสถาบันทางสังคม ให้เกิดการมองเห็นความเชื่อมโยงกัน
ของการพัฒนาประเทศที่อยู่บนฐานของวัฒนธรรมแห่งความดีงามแบบนี้ เพราะหากสังคมไทยมีโครงสร้างที่ส่งเสริมความแข็งแรงของเยาวชน
ทั้งทางสุขภาพกาย ใจ และจิตวิญญาณ เราจะไม่จูงมือกันเดินสู่หายนะอย่างที่เห็น
เราจะมีผู้คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
ปัจจัยแรกที่ผู้เขียนมองเห็น
คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของระบบการศึกษาในบ้านเราเสียก่อน รูปแบบการเรียนที่ยัดเยียดเนื้อหาให้มากเข้าไว้
มีจำนวนชั่วโมงเรียนมากๆ แถมยังมีการสอนเสริมนอกชั่วโมง เพราะครูอาจารย์มีฐานคิดว่า
ต้องให้เด็กเรียนหนักเข้าไว้ ทำการบ้านมากเข้าไว้ เพื่อไม่ให้มีเวลาว่างไปเที่ยวเตร่เสียคน
แต่หากไปดูหลักสูตรของต่างประเทศ เช่น ในอังกฤษ ออสเตรเลีย จำนวนชั่วโมงเรียนต่อเทอมจะน้อยกว่าของเรา
คืออยู่ที่ 11-13 สัปดาห์ และเน้นการเรียนรู้นอกห้องเรียนมากกว่า
เช่น จัดกลุ่มเดินป่า หรือส่งไปเป็นอาสาสมัครตามบ้านพักคนชราและผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ในขณะที่รูปแบบการเรียนของบ้านเรานั้น จำนวนชั่วโมงอยู่ที่ 15-17
สัปดาห์ต่อเทอม และเน้นการเรียนในห้องเรียน แม้แต่ในเวลานี้ เด็กๆ
หลายคนที่เป็นอาสาสมัครก็เริ่มพะว้าพะวัง เพราะถูกอาจารย์หลายคนใช้มาตรการหักคะแนน
และจัดสอบเป็นการลงโทษเด็กที่ขาดเรียน
ทำอย่างไร
จึงจะมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอน โครงสร้างหลักสูตร และวัฒนธรรมของสถาบันการศึกษาให้เอื้อต่อการเกิดพลังอาสาสมัคร
และมีส่วนเตรียมพื้นฐานจิตใจของเด็กให้เข้มแข็ง ไม่ถูกทำให้หมกมุ่นอยู่ในความประมาท
หรือแบ่งแยกตัวเองออกจากความเป็นไปของสังคมและโลก
นอกจากปัจจัยด้านการศึกษาแล้ว
ผู้เขียนเห็นว่าครอบครัวก็เป็นหน่วยย่อยที่สำคัญ ในการบ่มเพาะจิตสำนึกแห่งความเป็นคนกล้า
และเมตตาธรรมให้แก่เด็กๆ หากพ่อแม่ทุกคนบอกกับลูกว่า ความสูญเสียที่ภาคใต้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราแล้ว
วันนี้เราคงไม่ได้เห็นอาสาสมัครหนุ่มสาวจำนวนมากที่ผลัดเปลี่ยนกันลงพื้นที่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ครอบครัวสามารถทำได้มากกว่านี้คือ การสอนให้เด็กๆ
ตระหนักในเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพึ่งพิงระหว่างผู้คนที่แตกต่าง
และระหว่างคนกับธรรมชาติ
ผู้เขียนเชื่อว่าเด็กทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามนี้ตั้งแต่เกิด
ทำอย่างไรครอบครัว สถาบันการศึกษา และสังคม จะช่วยกันรดน้ำดูแลเมล็ดพันธุ์นี้ให้งอกงาม
และแข็งแรงพอที่จะต้านทานกระแสแห่งความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนที่แตกต่าง
หรือกระแสแห่งอวิชชาที่ขับเคลื่อนประเทศนี้อยู่
ข้อความสุดท้ายที่เหล่าอาสาสมัครทิ้งไว้ในวงสนทนาคือ
ทำอย่างไรความงามบนรอยทรายนี้จะดำรงอยู่ต่อไป...นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันคิด
|