ความตายของผู้คน 84 ราย ที่ตากใบ
ได้พัดพาให้กระแสความรุนแรง ที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
พุ่งสู่จุดที่คุระอุที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน นำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด
และการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างคนกลุ่มต่างๆ อย่างกว้างขวาง
จนยิ่งคิดไป ก็ยิ่งมองเห็นโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในบ้านเมืองมากขึ้นทุกที
แน่นอนว่ามนุษย์เกิดมาก็ต้องตาย แต่ไม่มีสังคมที่มีอารยธรรมสังคมไหน ที่จะยอมรับว่าความตายจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องปกติ
ทำให้แม้ในความเป็นจริงแล้ว
ทุกสังคมจะกำเนิดขึ้นจากสงคราม, ความรุนแรง และความตาย หากทุกสังคมก็ล้วนมีกระบวนการจัดการกับความตายด้วยวิธีต่างๆ
นานา
อนุสาวรีย์เป็นตัวอย่างของการจัดการความตาย เพราะอนุสาวรีย์คือถาวรวัตถุ ที่จารึกชื่อเสียงเรียงนาม
และใบหน้าของผู้คน ซึ่งได้ทำในเรื่องยากที่คนทั่วไปจะทำได้ นั่นก็คือการตายในนามของเป้าหมายที่สูงส่งบางอย่าง คนตายในอนุสาวรีย์จึงเป็นคนตายที่สมควรตาย เพราะความตายของเขาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสละชีวิตเพื่อความใฝ่ฝันของสังคม
ข้อความในย่อหน้าที่แล้วแสดงให้เห็นความจริงที่น่าเศร้า เพราะคนตายที่ได้รับการจารึกในอนุสาวรีย์
คือคนตายที่ปัจเจกภาพของเขาไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ไม่มีใครสนใจว่าคนตายเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน
มีความใฝ่ฝันอย่างไรในชีวิต
และ ณ วินาทีที่ลมหายใจใกล้แตกดับนั้น เขามีความคิดและความรู้สึกอย่างไร
พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เหตุผลเดียวที่ทำให้สังคมให้ค่ากับความตายของคนเหล่านี้ ก็คือพวกเขาตายเพื่อเป้าหมายบางอย่างที่สังคมต้องการ
แน่นอนว่าไม่มีมนุษย์คนไหนปรารถนาความตาย และความจริงข้อนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนอยู่ในอนุสาวรีย์มีสถานะที่พิเศษกว่าคนปกติ เพราะการสละชีวิตเพื่อเป้าหมายบางอย่างนั้น
เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้ไม่กลัวความตาย จึงแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป กลายเป็นตัวแบบให้ผู้พบเห็นต้องแสดงความเคารพและปฏิบัติตาม
ในขณะที่สังคมโบราณรำลึกความตาย
โดยเชื่อว่าผู้ตายกลายเป็นวิญญาณที่สิงสถิตในมิติซึ่งมองเห็นไม่ได้
อนุสาวรีย์ก็เป็นวิธีการที่สังคมสมัยใหม่ทำให้ผู้ตายมี จิตวิญญาณ อันสิงสถิตในสิ่งก่อสร้างที่จับต้องและสัมผัสได้ทุกขณะ
ด้วยเหตุดังนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างคนตายกับโลกจึงไม่ได้สิ้นสุดพร้อมกับอวสานของชีวิต แต่อวสานของชีวิตคือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เป็นนิรันดร์
ความตายของผู้คนทั้ง 84 คน ที่ตากใบ
แตกต่างจากความตายในลักษณะนี้
เพราะไม่เพียงแต่คนเป็นอันมากในสังคมจะลงความเห็นว่าคนเหล่านี้สมควรตาย หากแม้แต่คนผู้ซึ่งขุดคุ้ยและเรียกร้องให้ไต่สวน
ความจริง ในกรณีนี้ ก็ยังกลายเป็นเป้าของความเกลียดชังในระดับที่ลึกซึ้งและกว้างขวาง
ถึงบัดนี้ ความตายก็ถูกกดดันให้แปรเป็นความเงียบ และความหมายของความเงียบ ก็คือการทำให้ความตายของคนเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา
แน่นอนว่า มนุษย์ที่มีมโนธรรมสำนึกทุกคน
ย่อมรู้ว่าปริมาณความตายขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ ความตายในกรณีนี้จึงยังผลให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมขึ้นอย่างมหาศาล บ้างก็สาสมใจ บ้างก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บ้างแปรความเสียใจเป็นความคับแค้น และคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นความตายของผู้คนในปริมาณนี้ยังน้อยเกินไป
ภายในเงื่อนไขทางสังคมแบบนี้ การแทนที่ความตายด้วยความเงียบไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะความเงียบ หมายความถึงการปิดปาก
และปิดกั้นความรู้สึกนึกคิด หลากรูปหลายแบบที่ผู้คนมีต่อความตาย โดยตัวความเงียบจึงเป็นเครื่องหมายของอำนาจอย่างหนึ่งในสังคม
ความเงียบทำงานอย่างไร?
ในระดับผิวเผินที่สุด ความเงียบเปรียบเทียบความตายของผู้คนที่ตากใบ
กับความตายในกรณีอื่นๆ เพื่อชี้ชวนให้เห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมกัน
(reciprocity) ระหว่างความตายเหล่านี้
วิธีการเปรียบเทียบแบบนี้มีปัญหาอย่างน้อย
4 ข้อ
ข้อแรก สมควรหรือที่จะลดทอนชีวิตของมนุษย์ให้มีฐานะเป็นแค่
จำนวนนับ และ ข้อมูล ที่ปราศจากความหมายทางสังคมและจิตวิญญาณ
ข้อสอง ต่อให้เชื่อว่าการลดทอนชีวิตมนุษย์ให้เป็นแค่
จำนวนนับ และ ข้อมูล เป็นวิธีการคิดที่ถูกต้อง
แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า จำนวนนับ และ ข้อมูล ที่อาศัยเป็นฐานในการเปรียบเทียบความตายในกรณีตากใบ
และในกรณีอื่นๆ วางอยู่การจัดระเบียบข้อมูลที่เที่ยงธรรม
ปัญญาชนหลายรายบอกว่าตากใบตายไป
84 ราย ขณะที่ ฝ่ายเรา ตายไปแล้วหลายร้อย
แต่วิธีการอธิบายแบบนี้วางอยู่บนกรอบเวลาที่แตกต่างกัน จนน่าตั้งข้อสงสัย
ถึงสติสัมปชัญญะของผู้ที่ทำการเปรียบเทียบ โดยไม่คำนึงถึงฐานคิดเรื่องเวลา
ข้อสาม ความตายในกรณีตากใบนั้น เป็นความตายที่มีรัฐเป็นผู้กระทำให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ขณะที่ความตายในกรณีอื่นนั้น ยังไม่ปรากฎว่าใครคือบุคคลผู้กระทำเลยแม้แต่น้อย ผู้กระทำในกรณีอื่นจึงเป็นไปได้ที่จะมาจากคนหลายฝ่าย ซึ่งหมายความต่อไปว่า คนตายที่ตากใบอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับความตายในกรณีอื่นแต่อย่างใด
ข้อสี่ ถ้าถือว่าความตายในกรณีอื่น เกิดจาก
พวกมัน ซึ่งได้แก่ผู้ก่อการร้าย การเปรียบเทียบวิธีนี้ย่อมเท่ากับเห็นว่ารัฐและผู้ก่อการร้ายมีระดับขันติธรรม
ศีลธรรม สติปัญญา และความรู้สึกนึกคิดในระดับที่เท่าเทียมกัน
ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นไป ความเงียบทำงานบนความรู้สึกนึกคิดสาธารณะ
ว่าตากใบเป็นความตายที่สัมพันธ์กับความผิดปกติในหลากมุมหลายแง่ เช่น เสพยาเสพติด รับเงินต่างชาติ มีชื่อตนเป็นมลายู ชุมนุมไม่สิ้นสุด ฯลฯ จึงเป็นคนกลุ่มที่เต็มไปด้วยคุณลักษณะของความผิดแปลก
และเบี่ยงเบนในหลายลักษณะ ทำให้สมควรตาย
ในกรณีแบบนี้ ความเงียบสัมพันธ์กับสภาวะของการครอบงำ
และบิดเบือนข้อมูลข่าวสารโดยรัฐ เพราะประมุขของรัฐบาลคือผู้ที่ประกาศตลอดเวลา
ถึงความผิดแปลกเบี่ยงเบนของผู้คนที่ตากใบ ในลักษณะต่างๆ
ส่งผลให้เกิดตีประทับภาพลักษณ์ทางสังคมเหนือคนเหล่านั้น ว่าเป็นอาชญากรวิกลจริต จึงชอบด้วยเหตุผลที่จะถูกปราบด้วยวิธีการรุนแรง
อย่างไรก็ดี ถึงบัดนี้ ก็ปรากฎหลักฐานว่าคำประกาศเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ เพราะพบสารเสพติดเพียง 14 ราย จากผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมราว
1,300 ราย ขณะที่ในกรณีพบเงินต่างชาตินั้น
ก็เพียงพราะคนเหล่านั้นเป็นแรงงานข้ามชาติที่ไปทำงานรับจ้างในประเทศใกล้เคียง
โดยปกติของการกล่าวหานั้นต้องแสดงหลักฐานให้ปรากฎ แต่ในกรณีตากใบนั้น ผู้นำของประเทศได้กล่าวหาคนทั้งหมด โดยไม่ได้แสดงหลักฐานผ่านสื่อสาธารณะเลยแม้แต่น้อย คำกล่าวหาจึงมุ่งปลุกปั่นความคิดเห็น
เพื่อจูงใจให้สาธารณะละทิ้งมโนธรรมสำนึก รับรองวิธีอนารยะว่าถูกต้อง รวมทั้งเห็นความตายของคนบางกลุ่มเป็นสภาวะปกติธรรมดา
แต่ในกรณีตากใบนั้น ความเงียบไม่ได้ทำงาน
ด้วยวิธีปลุกระดมความเห็น แบบนัก
การเมืองการตลาดเพียงอย่างเดียว
หากยังทำงานบนปฏิบัติการที่ลึกซึ้ง เยือกเย็น และแนบเนียนกว่านั้นอีกมาก
หนึ่งในวิธีสำคัญ ซึ่งทำให้คนตาย
กลายเป็นตัวแทนของความผิดแปลกเบี่ยงเบนมากที่
สุด จึงสมควรตาย ก็คือการทำให้คนเหล่านั้น ไม่ไทย เมื่อมองจากกรอบคิดเรื่องความ
เป็นไทย ในเงื่อนไขของสังคมและวัฒนธรรมแบบไทยๆ
นั้น ความ ไม่ไทย เป็นคำคุณศัพท์ที่ห่อหุ้มความหมายซ่อนเร้นเอาไว้หลายแง่ เพราะ ไม่ไทย แสดงตำแหน่งแห่งที่ของผู้พูดซึ่งถือว่าตัวเอง
เป็นไทย และทึกทักอย่างแน่นแฟ้นว่าผู้ฟังต้องคิดถึงความ
เป็นไทย ในความหมายเดียวกับที่ผู้พูดเข้าใจด้วย
มองในแง่นี้ เป็นไทย จึงเป็นคำคุณศัพท์ ที่มาพร้อมกับอำนาจเชิงกดบังคับระหว่างผู้พูดที่
เป็นไทย กับผู้ฟังที่ ไม่ไทย อยู่ตลอดเวลา
กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ความ เป็นไทย ในที่นี้มีความหมายซ่อนเร้นที่สำคัญอย่างน้อย
2 ลักษณะ นั่นคือ
หนึ่ง เป็นไทย ในความหมายของเชื้อชาติ
สอง เป็นไทย ในความหมายของศาสนา
/ วัฒนธรรม
พูดง่ายๆ ปฏิบัติการที่จะ เป็นไทย หมายถึงการมีเชื้อชาติไทยแต่กำเนิด
รวมทั้ง ยอมรับวัฒนธรรมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่จารีตทางศาสนาแบบพุทธเถรวาท ขณะที่ความ ไม่ไทย ก็หมายความถึงการประกาศว่าตนเองไม่ได้มีเชื้อชาติไทยมาตั้งแต่ต้น แต่มีเชื้อชาติอื่น เช่น มลายู และไม่ต้องการปฏิบัติตามระบบวัฒนธรรมแบบพุทธเถรวาทของสังคมไทย
ความ เป็นไทย นำไปสู่ความเงียบ เพราะหากถูกจัดระเบียบว่า ไม่ไทย ย่อมหมายความถึง การถูกผลักไสให้เป็นอื่นจากผู้คนในชาติอย่างอุกฉกรรจ์ ถึงขั้นที่พูดได้ว่าความ ไม่ไทย เป็นปทัสถานเบื้องต้นอันอาจนำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิต
ดังเคยเกิดในกรณี 6 ตุลา
และเคยปรากฎมาแล้วในกรณี กรือเซ๊ะ , ตากใบ, ทนายสมชาย และการอุ้มฆ่ารายวัน
ที่รุนแรงโหดร้ายก็คือผู้คนมากหลายซึ่ง
เป็นไทย กระทำนาฏกริยาว่าด้วยความ เป็นไทย โดยไม่อ่อนไหวถึงนัยเหล่านี้ เพราะเขาเหล่านั้น เป็นไทย มีเชื้อสายไทย และนับถือพุทธมาแต่กำเนิด
จึงไม่ตระหนักว่าชาติไทยประกอบไปด้วยคนที่ ไม่ไทย และไม่ได้นับถือพุทธเถรวาทแบบนี้อีกมาก
กิจกรรมพับนกทำงานบนความคิดว่าความ
เป็นไทย นั้นมีแบบเดียว คือแบบคนเชื้อชาติไทยที่นับถือพุทธเถรวาท จึงไม่คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย
แต่ ไม่ไทย ในความหมายแบบนี้ ทำให้มองไม่เห็นว่าความรุนแรงและความตายในสามจังหวัดภาคใต้นั้น
เป็นความรุนแรงที่มี โจทก์ ชัดเจนอย่างน้อยสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือฝ่ายรัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ
กับฝ่าย ผู้ก่อการร้าย ที่เรายังไม่เคยรับรู้ว่าคือใคร
ความหมายของการพับนกคือการให้อภัย
และโดยปกติของการให้อภัยนั้น
ผู้ให้อภัยคือฝ่ายเหยื่อซึ่งมีขันติธรรมและความอดกลั้นเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงเห็นว่าการให้อภัย คือสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามตระหนักในความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้ หรืออย่างน้อย ก็เตือนให้เห็นความโหดร้ายของการฆ่าฟัน
ในกรณีของสังคมไทย คำประกาศให้อภัย ถูกเอ่ยเอื้อนจากฝ่ายซึ่งเป็นเหตุแห่งความตายของคนที่
ไม่ไทย จำนวนมาก ทำให้ความหมายของอภัยกลับตาลปัตรจากเดิมอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นการลืมเลือนและยอมรับความตายซึ่งรัฐเกี่ยวข้อง เพราะถ้าไม่ยอมรับ ก็เท่ากับ ไม่ไทย และกลายเป็นคนกลุ่มที่ มันเป็นใครมาจากไหนไม่ทราบ ซึ่งเป็นเหตุให้ตกเป็นเป้าหมายของความเกลียดชังและประทุษร้ายทางการเมือง
ในนามของความเงียบและสันติภาพ เรากำลังรับรองการทำลายชีวิตและความตายของคนอีกกลุ่มในทางการเมือง
ศิโรตม์
คล้ามไพบูลย์
|