นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แปรสภาพเป็นพื้นที่ซึ่งรุนแรง อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ดังปรากฎว่าได้เกิดการเข่นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน
และในขณะเดียวกัน ก็เกิดการอุ้มฆ่า
และหายสาบสูญ ของราษฎรไม่เว้นวันด้วย
นำไปสู่ความไม่พอใจของราษฎรต่อรัฐบาลอย่างกว้างขวาง
ส่วนรัฐบาล ก็ไม่ไว้วางใจประชาชนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
หากเชื่อคำที่หมอประเวศ
วะสี กล่าวไว้ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็กำลังดำเนินเข้าสู่สถานการณ์สงครามจรยุทธ์โดยตรง
เฉพาะจากตัวเลขที่รัฐบาลประกาศไว้
ภายในช่วงเวลาเพียง 10 เดือน ได้เกิดเหตุการณ์
ความไม่สงบ ขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ทั้งสิ้นถึง 906
ครั้ง
ยังผลให้มีผู้เสียชีวิต 270 ราย
และบาดเจ็บ 423 คน โดยมีผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐถึง
46 ราย และมีเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บอีก
91 ราย
อย่างไรก็ดี
ตัวเลขของทางการนั้น แสดงยอดรวมของผู้เสียชีวิต ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ต่ำกว่าความจริงไปมาก เพราะไม่ได้รวมผู้เสียชีวิตในวันที่
28 เมษายน
ทั้งที่ในบริเวณมัสยิดกรือเซ๊ะ
และบริเวณอื่น ดังมีกรณีเด็กนักเรียน 12 คน จากอำเภอสะบ้าย้อย
เป็นตัวอย่าง รวมทั้ง
ไม่ได้รวมผู้เสียชีวิต จากการสลายการชุมนุม และจับกุมที่อำเภอตากใบในวันที่
25 ตุลาคม
หากคำนึงถึงคนตายในกรณีเหล่านี้
ก็สรุปได้ว่าในรอบไม่ถึงหนึ่งปี สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
มีผู้เสียชีวิตจาก ความไม่สงบ ไปแล้วอย่างน้อย 467
ราย
โดยเป็นพลเรือนจำนวนไม่ต่ำกว่า 416 คน
การเสียชีวิตของผู้คนจำนวนนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า
แต่ความจริงที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตัวเลขนี้ยังไม่ได้รวมผู้คนที่เสียชีวิตจากการ
อุ้มฆ่า
และ หายสาปสูญ เอาไว้ด้วย ทั้งที่คนกลุ่มนี้มีปริมาณมาก
จนทำให้รองนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งยอมรับว่า เป็นต้นตอของการขยายตัวของความรุนแรงในพื้นที่โดยตรง
ทนายสมชาย
นีละไพจิตร เป็นตัวอย่างของบุคคลที่เชื่อได้ว่าเสียชีวิตด้วยเหตุจากการ
อุ้มฆ่า และ หายสาปสูญ
แบบนี้ แต่นอกจากทนายสมชายแล้ว ยังมีบุคคลที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกันนี้อีกมาก
เพียงแต่เขาเหล่านั้นเป็นพลเรือนที่ปราศจากชื่อเสียง
อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้การหายสาปสูญและล้มตายของเขาไม่มีค่าพอจะเป็นข่าวในสังคม
(แต่แม้การหายสาปสูญของทนายสมชายจะเป็นข่าวใหญ่ในสังคม
เขาก็ไม่ได้มีชะตากรรมแตกต่างจากพลเรือนที่เป็นเหยื่อของการ
อุ้มฆ่า รายอื่นมากนัก เพราะรัฐไม่สนใจจะจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีได้
ซ้ำยังปราศจากความละอายต่อบาป ถึงขั้นมอบรางวัลข้าราชการดีเด่น
ให้แก่นายตำรวจที่เป็นจำเลยของคดีนี้ไป เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา)
ไม่มีใครรู้ชัดว่ามีผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูก
อุ้มฆ่า และ หายสาปสูญ
ไปแล้วเท่าไร เพราะทางราชการไม่เคยยอมรับว่ามีปัญหานี้
จึงไม่มีตัวเลขในเรื่องนี้ออกมาอย่างเป็น ทางการ ถึงแม้ตัวนายกรัฐมนตรี
และรองนายกรัฐมนตรี จะรับรู้และแถลงอยู่บ่อยครั้งว่ามีปัญหานี้ในอัตราที่สูงมากก็ตามที
หากเชื่อตามที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งระบุไว้
เฉพาะในรอบปีนี้ ก็มีคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หายตัวโดยลึกลับไปแล้วไม่น้อยกว่า
2,000 ราย
อย่างไรก็ดี
ถ้าไม่เชื่อข้อมูลนี้ แล้วลองสมมติว่า มีผู้คนเผชิญชะตากรรมแบบนี้
อย่างน้อยที่สุดวันละหนึ่งราย ก็หมายความว่าถึงตอนนี้
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีพลเรือนที่เสียชีวิตโดยทุกสาเหตุ
รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 720 คน
คำถามคือรัฐคิดอย่างไรต่อความตายของผู้คนทั้ง
720 คน?
หากพิจารณาท่าทีของรัฐในช่วงที่ผ่านมา
ก็จะเห็นว่ารัฐมุ่ง จัดการ แต่ความตาย ซึ่งเกิดจาก ความไม่สงบ
จนนำไปสู่การตั้งหน่วยเฉพาะกิจ เพื่อปราบปรามผู้ต้องสงสัย ว่าเกี่ยวข้องกับความตายเหล่านี้ขึ้นอย่างกว้างขวาง
โดยอาศัยกำลังพลของกองทัพ, ตำรวจท้องที่
, หน่วยข่าวกรอง
และการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจของพลเรือนขึ้น ในพื้นที่ห่างไกล
แต่ ความตาย
จาก ความไม่สงบ เป็น ความตาย ที่ครอบคลุมชีวิตผู้คนเพียงส่วนเดียว
เพราะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้เสียชีวิตในปริมาณที่กว้างขวางกว่านั้นไปมาก
การมุ่งแก้ปัญหาแต่ ความตาย อันเกิดจาก ความไม่สงบ จึงหมายความว่ารัฐจงใจเพิกเฉย
ความตายของคนอีกกลุ่ม ทำให้แม้ผู้ตายจะเป็นพลเมืองของรัฐเดียวกัน
อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัo แต่ก็ได้รับการปฏิบัติจากรัฐผิดแผกไปจากกัน
สำหรับรัฐแล้ว
ปฏิกริยาต่อ ความตาย ของผู้คน ดูจะสัมพันธ์กับ ผู้กระทำ
ความตายนั้น
กล่าวคือ
รัฐสนใจแต่ความตาย ที่เกิดจากบุคคลซึ่งรัฐเห็นว่า เป็นศัตรูของความสงบเรียบร้อย
แต่ไม่สนใจความตายที่เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ความตายของผู้คนในวันที่
28 เมษายน
เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นสภาวะข้อนี้
เพราะแม้จะมีหลักฐานที่ชวนให้เห็นความบริสุทธิ์ของผู้ตาย ดังปรากฎในนิตยสาร
ฟ้าเดียวกัน
ว่าหลายคนเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย บ้างเป็นเยาวชนดีเด่น
และบ้างคือชายชราอายุกว่า
60 ปี
แต่ถึงบัดนี้ คนเหล่านี้ก็ตายไป โดยที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด
น่าสนใจว่าหลังความตายของพลเรือน
107 คน ไม่นาน
รัฐบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่เมื่อกรรมการมีข้อสรุปว่า
เจ้าหน้าที่กระทำการรุนแรงเกินกว่าเหตุ รัฐบาลก็ไม่ได้พิจารณาความผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องอีกต่อไป
อันเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเชื่อว่า เจ้าหน้าที่สามารถละเมิดชีวิตของราษฎรได้โดยเสรี
แน่นอนว่าในสังคมที่อยู่ในระบอบการเมืองแบบราชาธิปไตย,
อำนาจนิยม
หรือสังคมชนเผ่า
ย่อมไม่แปลก
ที่รัฐจะมีอำนาจวินิจฉัยชีวิตพลเมืองในลักษณะนี้ แต่หลักการของสังคมเสรีประชาธิปไตยนั้น
ไม่อนุญาติให้รัฐละเมิดชีวิตพลเมืองได้แบบนี้ ยกเว้นแต่ในกรณีที่กระบวนการยุติธรรมวินิจฉัยแล้วว่าพลเมืองรายนั้น
เป็นอันตรายร้ายแรงต่อส่วนรวม
อย่างไรก็ดี
ในสถานการณ์ภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา รัฐไม่เคยแสดงหลักฐานว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นบุคคลอันตรายร้ายแรง
ถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรีเอง ก็ไม่เคยแม้แต่จะประกาศว่า คนตายทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการก่อการร้าย
จึงพูดได้อย่างชัดเจนว่า คนเหล่านั้นตายจากการใช้อำนาจ และพละกำลัง
โดยอำเภอใจของรัฐบาล
กระบวนการทั้งหมดนี้นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองที่สำคัญสองข้อ
ข้อแรก
รัฐบาลมีความผิดทางการเมืองฐานฆาตกรรมพลเรือนในชาติ
ข้อสอง
รัฐบาลล้มเหลวทางการทหาร ในการต่อต้านขบวนการก่อการร้ายที่มีอยู่จริง
แรงเหวี่ยงจากปัญหาทั้งสองข้อ
นำสังคมไปสู่สภาวะการณ์อันตราย
เพราะการละเมิดชีวิตพลเรือน
เป็นแรงกดดันให้รัฐต้องปกป้องตัวเองทางการเมือง
จึงจำเป็นต้องทำให้คนตายกลายเป็นบุคคลผู้เป็นภัยอย่างยิ่งยวด
ยังผลให้เกิดความคิดเรื่องปีศาจวิทยาแห่งการก่อการร้าย
ซึ่งในท้ายที่สุด
ก็นำไปสู่การสร้างความรับรู้รวมหมู่ว่าคนบางกลุ่มบางอัตลักษณ์มีสถานะเป็น
ปีศาจ
ของสังคม
สภาวะการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้ปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมจนเห็นได้ชัด
จึงไม่มีใครหรือหน่วยงานไหนทำหน้าที่ผลิตและตอกย้ำความเป็น ปีศาจ
ของสังคม
ในทางตรงกันข้าม
สภาวะการณ์ทั้งหมดนี้
บังเกิด และพัฒนาขึ้น ในระดับของความคิดอ่านและความรับรู้
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็นำไปสู่การก่อรูปขึ้นของ
ระเบียบตรรกะแห่งความรุนแรง
กล่าวอย่างรวบรัดแล้ว
ระเบียบตรรกะแห่งความรุนแรง ดำรงอยู่ในเชิงวิภาษ เป็นสามลำดับขั้น
ขั้นตอนแรกคือความเชื่อว่าการมีอยู่ของ ปีศาจ
นั้นเป็นอันตราย ต่อมา จึงเริ่มเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกำจัด
ปีศาจ ไปให้หมดสิ้น และขั้นตอนสุดท้าย คือยอมรับการขจัด
ปีศาจ ด้วยกำลัง และความรุนแรง ชนิดที่เป็นรูปธรรม
ระเบียบตรรกะแบบนี้ส่งผลให้สังคมสนับสนุนการต่อต้าน
ปีศาจ ด้วยวิถีทางรุนแรง และขณะเดียวกัน ก็กดดันให้ ปีศาจ
ต้องกันตัวเองออกจากรัฐและสังคมมากขึ้น รวมตัวกันเหนียวแน่นมากขึ้น
และแข็งกร้าวมากขึ้นด้วย ยังผลให้ทุกฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่นใด
นอกจากต้องเคลื่อนไหว ภายใต้ ตรรกะแห่งความรุนแรง
ที่ยิ่งนานก็ยิ่งขยายตัว
ทั้งหมดนี้
คือเงื่อนไขของสงคราม ที่กำลังเติบโตขึ้น ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน
เป็นสงครามที่มีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่า สงครามระหว่างคนต่างเชื้อชาติ
ต่างศาสนา ในสังคมอื่น เป็นสงครามซึ่งอคติต่อผู้คนที่ เป็นอื่น
ถูกขับดันให้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ และเป็นสงคราม
ที่ไม่มีฝ่ายไหนเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นคน และเป็นเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป
พูดให้ถึงที่สุดแล้ว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีความเป็นไปได้ทางตรรกะเป็นอย่างมาก
ที่จะนำไปสู่สงครามระหว่างชาติพันธุ์ (ethnic war)