ปัญหาภาคใต้เป็นตัวอย่างปัญหาที่ดีที่แสดงถึงภาวะความไม่รู้ของสังคมไทย
ทั้งไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร และไม่รู้ว่าจะวางท่าทีกับปัญหาอย่างไร
ที่ว่าไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไรนั้น
คือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร สาเหตุของปัญหามีอะไร
การข่าวจากรัฐบาลก็สับสน สื่อมวลชนก็ไม่ลงไปทำข่าว จึงไม่น่าแปลกใจว่า
เหตุใดปัญหาภาคใต้จึงได้รับความสนใจน้อยกว่าปัญหาข้อสอบรั่ว เพราะปัญหาหลังก็ถกกันแค่ว่าทุจริตหรือไม่ทุจริต
ซึ่งง่ายกว่า หรือกระทั่งเมื่อเป็นข่าวขึ้นมาต่อเมื่อมีข่าวมรณกรรมของผู้คนจำนวนมาก
ก็ถกกันแต่ว่าปัญหาอยู่ที่ควรยิงหรือไม่ควรยิง เพราะไม่มีกำลังที่จะมองปัญหาให้เห็นภาพโดยรวม
เพราะปัญหาโดยรวมนั้นซับซ้อนและยุ่งยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้
ส่วนท่าทีกับปัญหานั้นก็จะมีว่า
เมื่อปัญหาคือไม่รู้ ก็ยังเลือกที่จะกอดความไม่รู้ของตนเองต่อ ด้วยเหตุผลว่าไม่มีเวลา
ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของคนสามจังหวัด และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะแก้ไข
คนอื่นไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และเมื่อมีความเห็นต่างในเรื่องแนวทางแก้ไข
ก็ไม่อาจเปิดหัวใจรับฟัง
เมื่อกล่าวว่า
สาเหตุของปัญหา มีที่มาจากประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง เป็นต้น
คำใหญ่ ๆ เหล่านี้ยิ่งแสดงให้เห็นโจทย์แห่งความไม่รู้ในลำดับถัดมา
ในทางประวัติศาสตร์ก็คือ ไม่รู้ว่ารัฐปัตตานีมีมาก่อนสุโขทัย ไม่รู้ว่าประเทศไทยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
ไม่รู้ว่าคนในอุษาอาคเนย์อยู่รวมกันอย่างไรก่อนความเป็นประเทศทั้งหลายจะเกิด
ในทางวัฒนธรรมก็คือ ไม่รู้ว่าคนพูดภาษาท้องถิ่น แต่อ่านออกเขียนไทยไม่ได้
ก็เป็นคนไทยได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมมุสลิมถึงเคร่งครัดกับวิถีดำเนินชีวิตหลายอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น
ไม่รู้ว่าเขาไม่บูชารูปเคารพต่าง ๆ แม้อนุสาวรีย์ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มีปมด้อยของการเป็นคนกลุ่มน้อย
ขณะเดียวกันคนมุสลิมก็สับสนว่าทำไมพุทธศาสนิกชนจึงดื่มเหล้า จึงเสี่ยงเซียมซี
และยอมให้มีโสเภณีได้ เพราะเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เช่นเดียวกันคนอื่น
ว่าความเชื่อในอุษาอาคเนย์ดั้งเดิมนั้นนับถือผี ก่อนจะมารับพุทธ
แล้วก็มีหลักปกครองปนกับฮินดู และการเป็นศาสนิกชนตามใบเกิดไม่ได้แปลว่าจะแตกฉานในคัมภีร์
ในทางการเมืองก็คือ ความคิดในการแบ่งแยกดินแดนนั้นมีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองไม่อาจจะยอมรับ
ดังนั้นจึงไม่อาจจะนำมาเจรจาหรือพูดคุยกันได้ และยิ่งเพิ่มภาวะความไม่รู้โดยรวมมากยิ่งขึ้น
แล้วเมื่อสาวต่อไปว่า
ความไม่รู้ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมืองดังกล่าว เกิดขึ้นจากอะไร
หากโยนผิดให้ระบบการศึกษา ก็คงต้องโยนให้ตรงตัวว่า ระบบการศึกษาที่สอนให้คนไม่ใฝ่รู้
ท่องแต่เนื้อหา เป็นคนว่าง่าย จะแก้ด้วยการเพิ่มส่วนที่ขาดหายไปก็คงแก้ไม่ตรงจุดอยู่ดี
ชีวิตมนุษย์ก็คงจะต้องเจอปัญหาอยู่ไม่รู้จบ จะท่องตำราเพิ่มขึ้นมาอีกสิบเล่มก็คงช่วยไม่ได้
โจทย์ใหญ่ก็คือ จะจัดการศึกษาอย่างไรให้ได้ผู้คนที่ใฝ่รู้ รู้จักตั้งคำถาม
ไม่พอใจแต่เพียงคำตอบสำเร็จรูปที่มีผู้ป้อนให้ ทั้งยังรู้จักมองปัญหาโดยรวม
มองเห็นโครงสร้างของปัญหา ไม่แยกออกจากกันเป็นส่วน ๆ รู้วิธีแก้ปัญหาด้วยการค้นคว้าหาข้อมูล
กลั่นกรอง แยกแยะ ไม่เชื่อดายไป และสังเคราะห์สร้างความรู้ขึ้นมาได้เอง
โดยไม่รอแต่ผู้รู้ นี่เป็นหนทางหนึ่งของการแก้ไขด้านความคิด
ส่วนการสร้างจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมกับปัญหาของผู้คนในสังคมนั้น
นอกจากการฝึกมองที่มาของปัญหาว่าเป็นสายโซ่สัมพันธ์กันเป็นส่วน ๆ
ว่าแม้กระทั่งการเพิกเฉยกับปัญหาก็เป็นปัญหาได้ ดังที่อัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาสังคมทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากคนชั่วเพิ่มมากขึ้น
แต่เป็นเพราะคนดีไม่ทำอะไรต่างหาก หากใช้เมตตาเป็นเครื่องนำ ใช้หัวใจกำกับสมอง
ตั้งแต่ชนชั้นผู้นำมาถึงชนชั้นล่าง คำถามที่ว่าคนแต่ละคนในสังคมเกี่ยวข้องกันอย่างไรก็จะหมดไป
คำถามประเภทที่ว่า
เป็นนักเรียนมาเกี่ยวอะไรกับปัญหาภาคใต้ เป็นผู้พิพากษาไปยุ่งอะไรกับปัญหาคนใต้
เป็นพนักงานธนาคารเกี่ยวกับภาคใต้ตรงไหน เป็นนักวิทยาศาสตร์จะข้องแวะกับปัญหานี้ได้อย่างไร
เป็นคำถามที่ตั้งขึ้นผิดฝาผิดตัว เพราะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา ทั้งยังเป็นดรรชนีบ่งชี้ถึงความไม่รู้อย่างหนึ่ง
คือ การมองอะไรอย่างแยกส่วน ในที่นี้ คือการมองมนุษย์โดยมิติเดียว
คือมิติตามอาชีพ ตามสิ่งที่เรียนหรือทำ มนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์
หน้าที่เกิดขึ้นตามบทบาท คำถามก็คือหน้าที่ของความเป็นมนุษย์คืออะไร
มนุษย์มีบทบาทของการเป็นลูก เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพลเมืองของสังคม
ของประเทศ ของโลก เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย โดยนัยยะนี้มิติของความเป็นมนุษย์จึงกว้างขวางและลึกซึ้งในความหมาย
และมนุษย์ที่เกิดมาเพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องนั้นย่อมน่าเวทนายิ่ง
การขาดความเข้าใจเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ยังนำไปสู่การขาดความเข้าใจเรื่องความรุนแรง
ปรกติผู้คนจะมองเห็นความรุนแรงในรูปแบบของการใช้อาวุธเข้าทำร้ายหรือประหัตประหารกัน
แต่ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความรุนแรงที่มองไม่เห็นนั้นผู้คนแทบจะไม่รู้จักเอาเสียเลย
ความรุนแรงที่มองไม่เห็นได้แก่ ความอยุติธรรม ความบีบคั้นต่าง ๆ
โดยเหตุนี้ ปัญหาความยากจน ปัญหาโสเภณี ปัญหาความไม่เท่าเทียมของโอกาสในการศึกษา
เหล่านี้ ล้วนเป็นความรุนแรง ทั้งสิ้น เพราะเป็นเหตุปัจจัยที่นำมาสู่การปะทะขัดแย้ง
ดังในกรณีของปัญหาภาคใต้ ความรุนแรงเชิงโครงสร้างอยู่ที่การขาดความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาอย่างถ่องแท้
แนวทางการปฏิบัติงานก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจและปราศจากเมตตา
การแก้ไขปัญหาความรุนแรงย่อมแก้ไม่ได้ด้วยการเพิ่มกำลังทหารและตำรวจลงไปแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะผู้ถืออาวุธย่อมไม่มีหน้าที่และความชำนาญในการเจรจาและสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
ความรุนแรงจึงมิได้อยู่ที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอาวุธ หากอยู่ที่รัฐผู้กำหนดนโยบาย
ความเกลียดชังสั่งสมนั้นเปรียบเสมือนระเบิดเวลา
ดังเช่นที่ได้ปะทุออกมาในรูปแบบของการทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ พระภิกษุสงฆ์
การเผาทำลายสถานที่ราชการ และการวางแผนปราบของฝ่ายรัฐ เสียงปืนแม้จะหยุดลงแล้ว
แต่ระเบิดเวลาหลายลูกยังพร้อมที่จะรอการระเบิด หากเงื่อนไขของความเกลียดชังนั้นยังคงอยู่
ยังมิได้ถูกปลดชนวนด้วยการสร้างพื้นที่เจรจา สร้างความเข้าใจและไว้วางใจระหว่างกัน
ปัญหาความไม่รู้ก็ต้องแก้ด้วยความรู้แท้
คือประกอบด้วยความเข้าใจและกรุณา สงครามป้องกันและแก้ไขด้วยการเจรจา
การเจรจาไม่ใช่การพูดคุยเฉย ๆ หากต้องเปิดหัวใจกว้างในการรับฟัง
ปราศจากอคติ เคารพซึ่งกันและกัน ปราศจากอหังการและมมังการ ว่าตนเหนือกว่า
ส่วนอีกฝ่ายเป็นผู้หลงผิดหรือโง่
สันติวิธีนั้นต้องใช้ปัญญามาก
แต่หากยังไม่มองไม่เห็นความเชื่อมโยงของปัญหา ไม่เห็นโทษของความรุนแรง
และไม่เข้าใจเรื่องความเกลียดชัง ก็ยากที่จะไปสู่สังคมอันเป็นสุขในระยะยาวได้
ชลนภา อนุกูล
|