หนุ่มสาวดัดจริต > บทเรียนจากศรีลังกากรณีตากใบ
 

ดร. จำนง สรพิพัฒน์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์รายวันมติชน ฉบับประจำวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗

               นับแต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้เรียกกลุ่มโจรก่อการร้ายที่เผาโรงเรียนในสามจังหวัดภาคใต้เมื่อสองปีก่อนว่าเป็นโจรกระจอก  และได้ยุบศูนย์ ศอบต.และพตท. 43  เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป  สถานการณ์ได้เลวร้ายลงเป็นลำดับ  ทางรัฐบาลได้ใช้ยุทธการใบไม้ร่วงเพื่อดับชีพผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองตามที่รัฐกล่าวอ้าง  แต่กลายเป็นว่าสถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้น  มีเหตุการณ์ลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธ์ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์กรือเซะและล่าสุดคือกรณีตากใบ  จำนวนประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารโดยผู้ก่อการร้ายกลับเพิ่มเป็นทวีคูณ  จนอาจกล่าวได้ว่าเกือบจะเป็นสงครามกลางเมืองไปแล้ว  ทั้งที่รัฐบาลอ้างอยู่ตลอดเวลาว่าได้ดำเนินการมาถูกแนวทางแล้ว  แต่ประจักษ์พยานที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างแต่อย่างใด  ทั้งที่ได้เปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบทุกระดับคนแล้วคนเล่า  จึงสรุปได้ว่านโยบายที่กำหนดโดยผู้นำสูงสุดที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องตามที่อ้าง                

เหตุการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้ขณะนี้  มีความละม้ายคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับชนวนสงครามกลางเมืองในประเทศศรีลังกาที่ประทุขึ้นเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว   ทำให้มีคนตายหลายแสนคน  การสู้รบยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการเจรจาสงบศึกชั่วคราวก็ตาม  และอยู่ระหว่างการเจรจาสร้างสันติภาพระหว่างรัฐบาลศรีลังกาและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนขบวนการพยัฆทมิฬอีแลมในขณะนี้  โดยมีรัฐบาลนอร์เวย์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย               

เมื่อประมาณสองร้อยปีที่แล้วประเทศศรีลังกามีประชากรชาวสิงหลซึ่งนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่  ประมาณหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาศรีลังกาและอินเดียตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ  เจ้าอาณานิคมอังกฤษได้เปลี่ยนพื้นที่การเกษตรของศรีลังกาให้เป็นไร่ชาขนาดใหญ่  ทำให้ต้องการใช้แรงงานจำนวนมาก  จึงมีการนำแรงงานชาวอินเดียเชื้อสายทมิฬ ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูอพยพข้ามช่องแคบเพื่อมาเป็นแรงงานในไร่ชาของประเทศศรีลังกาบริเวณคาบสมุทรจาฟนา  ต่อมาชุมชนดังกล่าวได้ขยายตัวใหญ่ขึ้น มีประชากรหลายล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ประเทศศรีลังกา  แต่ก็ถือเป็นชนชาติส่วนน้อยเมื่อเทียบกับชาวสิงหลพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิม  หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ จนในที่สุดประเทศอังกฤษได้ให้เอกราชแก่ชาวศรีลังกา  อย่างไรก็ตามชนชาติทั้งสองฝ่ายกลับมีข้อขัดแย้งในเรื่องการใช้ภาษาทางราชการเพื่อแทนภาษาอังกฤษ  ขณะที่ชาวสิงหลต้องการให้ใช้ภาษาของตนเป็นภาษาราชการ เพราะถือว่าตนเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ  ส่วนชาวทมิฬต้องการใช้ภาษาทมิฬเป็นภาษาราชการอีกภาษาหนึ่งให้เท่าเทียมกับภาษาสิงหล  ความขัดแย้งนี้นำไปสู่ความรู้สึกอื่นๆที่ชาวทมิฬรู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองชั้นสอง เนื่องจากมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานน้อยกว่า  ทำให้ชาวทมิฬมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ  การเรียกร้องเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสันติวิธี  แต่ถูกปราบปรามและจับกุมจากรัฐบาล  ทำให้มีกลุ่มชาวทมิฬจำนวนน้อยอันมีนายวีลุพิไล พิราหารัน เป็นหัวหน้าจัดตั้งขบวนการผู้ก่อการร้ายพยัฆทมิฬอีแลม  เพื่อแบ่งแยกดินแดนด้วยแนวทางการก่อการร้ายและกำลังอาวุธ  ซึ่งนายวีลุพิไล พิราหารัน กล่าวอ้างต่อผู้สื่อข่าวเมื่อปี 2527 ว่าถ้านายจายีวอดีน นายกรัฐมนตรีศรีลังกาสมัยนั้น เป็นชาวพุทธที่แท้จริงเขากับเพื่อนร่วมชาติก็ไม่ต้องจับปืนขึ้นต่อสู้  

วิธีการของผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้อาศัยการลอบสังหารผู้นำทางการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้นำชาวทมิฬที่ดำเนินการต่อสู้อย่างสันติวิธีหรือมีแนวคิดร่วมมือกับรัฐบาลประเทศศรีลังกา  เหยื่อการก่อการร้ายที่มีชื่อเสียงได้แก่ นายราจีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียซึ่งต้องเสียชีวิตจากระเบิดพลีชีพ  เพราะกลุ่มกบฏไม่พอใจที่นายราจีฟ คานธีให้การสนับสนุนรัฐบาลศรีลังกา โดยการส่งกองทหารอินเดียเข้าไปเพื่อรักษาเสถียรภาพในภาคเหนือของศรีลังกา  กลุ่มผู้ก่อการร้ายพยัฆทมิฬยังเป็นผู้ก่อการร้ายกลุ่มแรกที่คิดค้นวิธีวางระเบิดแบบพลีชีพมนุษย์  อันเป็นแบบอย่างให้กลุ่มก่อการร้ายอื่นๆนำไปใช้ในปัจจุบัน               

กลยุทธอย่างหนึ่งที่ได้ผลมากในทางการเมือง  ที่กลุ่มพยัฆทมิฬนำมาใช้คือการสังหารเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวสิงหลในพื้นที่ที่มีชาวทมิฬอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่  เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวสิงหลจนอพยพออกจากพื้นที่  และการสังหารเจ้าหน้าที่รัฐรวมทั้งนักการเมืองระดับสูงเพื่อสร้างความโกรธเคืองให้แก่เจ้าหน้าที่จนเกิดความหวาดระแวงต่อชาวศรีลังกาเชื้อสายทมิฬโดยไม่มีการแยกแยะระหว่างผู้ร้ายกับคนบริสุทธิ์  และตอบโต้กลับไปยังประชาชนชาวทมิฬที่ไม่มีส่วนรู้เห็น   ทำให้ประชาชนทมิฬที่เป็นกลางเกิดความเคียดแค้นต่อเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อหนึ่ง   นอกจากนี้นักการเมืองที่เป็นชาวทมิฬที่เคลื่อนไหวด้วยสันติวิธีก็จะถูกลอบฆ่าด้วย  เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ชาวทมิฬได้เลือกการต่อสู้ด้วยสันติวิธี               

เหตุการณ์สลายการชุมนุมประท้วงของประชาชนมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ตากใบ  ซึ่งรัฐบาลแจ้งว่าเกิดจากการจัดตั้งและระดมพลโดยกลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดน  จึงต้องสลายการชุมนุมประท้วงด้วยความรุนแรง  ทั้งยังมีประชาชนชาวไทยที่อยู่นอกพื้นที่สามจังหวัดรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่งต่อการปราบปรามของรัฐบาล  เพราะคนกลุ่มนี้ได้ฆ่าสังหารโหดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและผู้บริสุทธิ์ไปเป็นอันมากอันเป็นการยั่วโทสะแห่งชาติ  รัฐบาลคงพูดไม่ได้ว่าผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมจำนวนพันสามร้อยกว่าคนเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งหมด แต่มีประชาชนมุสลิมที่เป็นเพียงมุสลิมมุงหรือต้องการมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเพื่อนบ้านอย่างบริสุทธิ์ใจอยู่จำนวนหนึ่ง  ดังนั้นหากมองในมุมกลับกันผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ที่ต้องเสียชีวิตหรือถูกจับกุม  ทั้งที่มีสิทธิชุมนุมโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มีหรือที่จะไม่เคียดแค้นและชิงชังต่อเจ้าหน้าที่และคนไทยส่วนใหญ่  เป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาเป็นพลเมืองชั้นสองจริงตามข้ออ้างของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน  และญาติพี่น้องของคนเหล่านี้คงมีความไม่พอใจเช่นกัน  เข้าทำนองตายสิบเกิดแสน  มีรายงานตรงกันดังที่ปรากฎเป็นข่าวว่าพิธีการฝังศพผู้เสียชีวิตในวันนั้น  ศพผู้เสียชีวิตไม่ได้ถูกชำระร่างกายก่อนฝัง  อันเป็นพิธีการฝังศพเยี่ยงวีระบุรุษที่เสียชีวิตในการสงคราม               

การที่พลเมืองของประเทศหนึ่งๆมีความยินดีที่จะสังกัดกับประเทศนั้น  เนื่องมาจากเหตุปัจจัยหลายประการ  ที่สำคัญคือความภาคภูมิใจในสิทธิและโอกาสของความเป็นพลเมืองแห่งตนที่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ  การต่อสู้ทางการเมืองของแนวคิดอุดมการณ์ที่ต่างกันคือการเอาชนะจิตใจประชาชนเป็นตัวชี้ขาด  หาใช่ชัยชนะทางการทหารไม่  การที่สามจังหวัดใต้สุดของประเทศไทยจะดำรงคงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศขึ้นอยู่กับจิตใจของประชาชนจำนวนหกล้านคนในพื้นที่นั้นยังมีความจงรักภักดี และภูมิใจในความเป็นไทยอยู่หรือไม่  หากเขารู้สึกคับแค้นในใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกตราหน้าจากเพื่อนร่วมชาติว่าเป็นผู้ก่อการร้าย  อะไรจะเกิดขึ้น  นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่งและสภาทนายความแห่งประเทศไทยพยายามตีแผ่ความจริงและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น  มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้สัมภาษณ์ผู้นำท้องถิ่นจังหวัดปัตตานี  ซึ่งกล่าวว่า “เหตุการณ์ที่ตากใบทำให้ชาวมุสลิมในสามจังหวัดถูกตราหน้าว่าเป็นพวกยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทั้งที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ต้องการคือความยุติธรรมและความเห็นอกเห็นใจต่อเหยื่อที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้  และนี่จะเป็นสถานการณ์ที่นำไปสู่การก่อการร้ายที่รุนแรงยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ปัญญาชนท้องถิ่นไม่มีเวทีที่จะพูด  พวกนักการเมืองจากกรุงเทพไม่เคยรับฟังเสียงจากชาวบ้านอย่างแท้จริง  มีแต่พูดและพูด พอจิบกาแฟเสร็จก็เดินทางกลับ”               

สิ่งที่ผู้เขียนเป็นห่วงก็คือนโยบายรัฐบาลที่ไม่เข้าใจว่าในยามนี้มีความเปราะบางอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องเอาชนะใจประชาชนชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในสามจังหวัดภาคใต้ที่เป็นกลุ่มพลังเงียบ  ให้มีใจเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล  ซึ่งจะทำได้ด้วยอาศัย  1) ยุติการปราบปรามเหวี่ยงแหทุกรูปแบบ 2) ยึดถือหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ในการปราบปรามผู้กระทำผิด และให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาตามหลักกฎหมาย  3)ประชาชนชาวไทยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศทุกหมู่เหล่า ควรศึกษาทำความเข้าใจต่อปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ให้ถ่องแท้ และมีท่าทีที่ถูกต้องต่อปัญหาดังกล่าว การใช้อารมณ์และวิพากษ์วิจารณ์เป็นเชิงเห็นชอบและสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาที่ตากใบ นอกจากจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและให้สัญญาณอย่างผิดๆต่อรัฐบาลในวิถีทางและนโยบายที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้แล้ว ยังเป็นการขับไล่ไสส่งให้ชาวมุสลิมกลุ่มพลังเงียบซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดดังกล่าว มีใจเอนเอียงสนับสนุนต่อฝ่ายก่อการร้ายโดยไม่รู้ตัว เท่ากับเป็นแนวร่วมในมุมกลับของผู้ก่อการร้ายอย่างไม่รู้ตัว

การแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติเดียวกันจะทำได้ต้องมีความรักความเข้าใจต่อเพื่อนร่วมชาติที่มีภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกันโดยปราศจากอคติ  การจับกุมฆ่าล้างผู้บริสุทธิ์โดยความผิดพลาดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์แม้แต่คนเดียว รังแต่ทำให้สถานการณ์ทวีความเลวร้ายยิ่งขึ้น  ในปัจจุบันอำนาจรัฐยังไม่สามารถให้ความคุ้มครองชีวิตของประชาชนในสามจังหวัดได้  ยิ่งไม่สามารถทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือและให้ข่าวสารแก่ทางราชการ  หากรัฐทำให้ประชาชนเกลียดชังอำนาจของบ้านเมือง การสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ  ทั้งทำให้ชาวไทยพุทธในสามจังหวัดตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น  ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบเหมือนศรีลังกา

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗