๐.
อารัมภกถา
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้านึกน้อยใจว่า
ประวัติศาสตร์นักศึกษาไทยในเยอรมันนั้นแหว่งวิ่นเป็นอย่างยิ่ง
สามัคคีสมาคมเป็นสมาคมนักเรียนไทยแห่งแรกโดยมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะที่ทรงเป็นมกุฏราชกุมาร
เป็นผู้ก่อตั้ง
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔
ส่วนสมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศส
ในพระบรมราชูปถัมภ์
มีท่านอาจารย์ปรีดี
พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสเป็นผู้ก่อตั้ง
ในปี พ.ศ ๒๔๗๙
ทั้งสมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษและฝรั่งเศสล้วนแล้วแต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าภาคภูมิ
ในขณะที่สมาคมนักเรียนไทยในรัฐเยอรมัน
ในพระบรมราชูปถัมภ์
เพิ่งตั้งขึ้นมาเมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๐๐ และไม่อาจสืบทราบได้เลยว่าใครเป็นผู้ก่อตั้ง
แม้เยอรมันได้ชื่อว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมของโลก
วิศวกรชาวเยอรมันมีชื่อเสียงยิ่ง
การแพทย์ของเยอรมันก็เด่นดัง
ด้านกฎหมายก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่ง
ทั้งปรัชญายุโรปและวิทยาการวิทยาศาสตร์หลายแขนงก็มีต้นกำเนิดในเยอรมันนี้เอง
นักศึกษาไทยมาศึกษาเล่าเรียนก็ไม่น้อย
แต่เรากลับไม่ทราบว่าวิศวกร
นายแพทย์ นักกฎหมาย
นักวิทยาศาสตร์
หรือนักวิทยาการแขนงอื่นในเมืองไทย
มีผู้ใดศึกษามาจากเยอรมันบ้าง
ในยุคสมัยของการส่งนักเรียนไทยมาศึกษายังต่างประเทศช่วงแรก
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ
กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี
นักศึกษาปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยทือบิงเงน
ก็ได้เป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของการเป็นผู้ศึกษาจบปริญญาดุษฎีบัณฑิตเป็นคนแรกของสยาม
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐
ด้วยวิทยานิพนธ์
“เกษตรกรรมในสยาม:
บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ”
ขณะนั้นมีพระชันษาเพียง
๒๓ ปีเท่านั้น
นักเรียนทหารเยอรมันอย่างพระยาพหลพลพยุหเสนา
ก็เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
บุคคลสำคัญทางสาธารณสุขอย่าง
นายแพทย์อวย
เกตุสิงห์
นักวิจารณ์วรรณกรรมอย่างเจตนา
นาควัชระ หรือหลักทางวรรณกรรมและภาษาเยอรมัน
อย่างอำภา
โอตระกูล เหล่านี้ก็เป็นนักเรียนเยอรมันที่ควรบันทึกนามไว้ในทำเนียบศิษย์เก่า
ให้นักเรียนเยอรมันรุ่นใหม่ได้เรียนรู้
ทำความรู้จัก
และตระหนักในศักยภาพของความเป็นคนหนุ่มสาวของตน
ที่จะทำประโยชน์ให้กับโลกได้เช่นเดียวกับท่านเหล่านั้น
ซึ่งก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา
อย่างไรก็ตาม
กาลเวลาได้ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างซื่อสัตย์
นักเรียนไทยที่มาศึกษาในเยอรมันได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี
และยังเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมพบปะสานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าชิ้นส่วนประวัติศาสตร์ของนักเรียนไทยในเยอรมันจะไม่เป็นชิ้นเป็นอันนักในช่วงแรก
แต่ประวัติศาสตร์ที่นักเรียนไทยในเยอรมันได้ร่วมกันเขียนขึ้นในทศวรรษล่าสุดนี้เป็นส่วนที่งามนัก
ดังผ้าทอมือที่มีลายละเอียดประณีตงาม
หากปราศจากความตั้งใจจริง
และความอดทนเป็นยอดยิ่งแล้ว
ยากนักที่จะปรากฎผ้าทอผืนยาวออกมาได้
ข้าพเจ้าเห็นควรว่าน่าจะบันทึกประวัติศาสตร์ความทรงจำส่วนนี้เก็บไว้บ้าง
ก่อนที่จะสาบสูญไปด้วยความไม่ใส่ใจอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี
ข้าพเจ้าต้องขอเตือนว่า
ประวัติศาสตร์เหล่านี้บางส่วน
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตนเอง
เกี่ยวข้องด้วยในลักษณาการใกล้บ้างไกลบ้าง
ตามแต่จังหวะของชีวิต
ข้อเขียนชิ้นนี้จึงยากที่จะหลุดพ้นจากภาวะอัตตวิสัยตลอดจนฉันทาคติและอคติของสามัญบุคคลไปได้
จึงได้แต่ขอให้อ่านโดยพิจารณาใคร่ครวญตามเหตุและผลอย่างแยบคาย
๑.
ภาวะทั่วไปในปี
พ.ศ. ๒๕๓๕
เยอรมันเพิ่งรวมประเทศมาได้
๒ ปี กรุงเบอร์ลินยังดูหม่นหมองหดหู่
สถานที่ราชการสำคัญ
ดังเช่น ทำเนียบรัฐบาล
ทำเนียบประธานาธิบดี
และสถานทูตประเทศต่าง
ๆ รวมทั้งสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทย
ยังตั้งอยู่ที่กรุงบอนน์
นักเรียนไทยในขณะนั้นมีอยู่ราวหกสิบคน
ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลและข้าราชการลาศึกษาต่อ
แม้ชาวไทยที่อยู่ในเยอรมันจะมีอยู่เป็นจำนวนค่อนข้างมาก
แต่การพบปะกันมีค่อนข้างน้อย
เนื่องจากไม่มีศูนย์กลางหรือผู้ประสานงาน
แม้วัดไทยก็มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งตามเมืองใหญ่
ดังเช่น เบอร์ลิน
มิวนิค บอนน์
เป็นต้น
งานเฉลิมพระชนมพรรษา
๕ ธันวาคมของทุกปี
นับได้ว่าเป็นงานชุมนุมชาวไทยที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน
โดยมีสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงบอนน์เป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ชาวไทยจากเมืองต่าง
ๆ ทั่วทั้งเยอรมัน
จะเดินทางมาร่วมงานนี้
แม้นักเรียนทหารจากฮัมบวร์กและมิวนิคก็มาร่วมงานด้วย
จึงเป็นโอกาสที่นักเรียนไทยในเยอรมันได้พบปะกันอย่างพร้อมหน้า
เพราะแม้แต่งานประชุมสามัญประจำปีของสมาคมนักเรียนไทยฯ
ก็ยังมีนักเรียนไทยมารวมตัวกันไม่มากเท่านี้
อย่างไรก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยก็ยังแยกเป็นส่วน
ๆ กล่าวคือ
นักเรียนไทยก็จะพบปะสัมพันธ์เฉพาะกลุ่มนักเรียนไทยด้วยกันเอง
ไม่ได้รู้จักกับชาวไทยที่อยู่ในเยอรมันมากนัก
และแม้ในหมู่นักเรียนไทย
ก็ยังถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนพลเรือนกับนักเรียนทหารอยู่ในระดับค่อนข้างห่างเหิน
ในส่วนของนักเรียนทหารนั้น
หลักสูตรการศึกษาจำกัดให้อยู่ในค่ายเป็นส่วนใหญ่
และธรรมเนียมแบบทหารนั้นเคร่งครัดตามลำดับอาวุโสรุ่น
โอกาสจะพบปะสังสรรค์ของกลุ่มกับบุคคลภายนอกจึงขึ้นกับบุคลิกลักษณะของรุ่นพี่เป็นสำคัญ
ในส่วนของชาวไทยเองยังไม่มีการรวมตัวเป็นสมาคมชาวไทยเลย
กระทั่งหนังสือพิมพ์ชาวไทย
อันมีศิริลักษณ์
ชมิตท์ และ
มะลิวัลย์
ซีมอน หรือ
“สีมน”
เป็นผู้ก่อตั้ง
ก็เพิ่งจะเริ่มพิมพ์แจกในปีต่อมา
สมาคมนักเรียนไทยฯ
ก็พิมพ์จุลสาร
“เพื่อนไทย”
แจกเฉพาะสมาชิก
ซึ่งมีอยู่ราวร้อยคนในยุคนั้น
ส่วนสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนก็พิมพ์วารสาร
“เพื่อน”
แจกเฉพาะนักเรียนนักศึกษาไทยที่อยู่ในความดูแล
๒.
สมาคมนักเรียนไทยในรัฐเยอรมัน
ในพระบรมราชูปถัมภ์
(พ.ศ. ๒๕๓๕
–
๒๕๔๖)
ข้าพเจ้ารู้จักสมาคมนักเรียนไทยในรัฐเยอรมัน
ในพระบรมราชูปถัมภ์
หรือ สนทย. เป็นครั้งแรก
ราวเดือนสิงหาคม
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยการไปร่วมงานกีฬาฤดูร้อนและประชุมสามัญประจำปี
ที่เมืองดาร์มชตัด
ซึ่งมีการเลือกนายกสมาคมฯ
และคณะกรรมการฯ
สำหรับปีต่อไป
ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า
พี่สมชาย ชัยเจริญสิน
เป็นนายกสมาคมฯ
ขณะนั้นข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนรุ่นเล็ก
จำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้สมัครเป็นสมาชิกของสมาคมฯ
จำได้แต่ว่าไปร่วมงานนี้เพราะอยากจะเจอเพื่อนฝูง
และค่าสมัครสมาชิกสมาคมฯ
เพียงยี่สิบมาร์กก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายอะไรในยุคสมัยนั้น
กับการมองว่าเป็นค่าสนับสนุนการทำกิจกรรมของนักเรียนนักศึกษาด้วยกันเอง
ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา
๕ ธันวาคม ณ
กรุงบอนน์
โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย
ณ กรุงบอนน์เป็นเจ้าภาพร่วมกับสนทย.
เด็กนักเรียนก็ไปช่วยยกโต๊ะจัดเก้าอี้ทำความสะอาดสถานที่ตามระเบียบ
โดยค้างคืนกันที่บ้านของผู้ดูแลนักเรียนซึ่งอยู่ด้านบนของสำนักงานผู้ดูแลฯ
นั้นเอง การพักค้างคืนนี้มิได้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
แม้อาหารการกินก็มีถูกจัดเตรียมไว้ตลอดเวลา
ถือได้ว่าเป็นความกรุณาส่วนตัวของผู้ดูแลนักเรียน
ศรีพนม บุนนาค
ในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ในงานวันพ่อนี้เอง
สนทย. ได้ริเริ่มขายฉลากการกุศล
เพื่อรวบรวมเป็นเงินบริจาคไปช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสที่เมืองไทย
โดยการติดต่อขอของบริจาคจากหน่วยงานและร้านค้าต่าง
ๆ มีการบินไทยให้ตั๋วเครื่องบินเป็นรางวัลใหญ่
ขายฉลากได้ราวห้าพันมาร์ก
ซึ่งถือได้ว่าเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมากในยุคนั้น
ทั้งนี้ ได้นำเงินรายได้ทั้งหมดไปทำการบริจาคที่เมืองไทย
ประเพณีได้ทำติดต่อกันมาอีกหลายปี
คณะกรรมการชุดนี้ถือได้ว่ามีการตื่นตัวทางการเมืองพอควร
เพราะในปีพ.ศ.
๒๕๓๕ นี้เอง
ได้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขึ้นที่เมืองไทย
นักเรียนไทยกลุ่มหนึ่งได้ไปรวมตัวกันประท้วงการก่อความรุนแรงของรัฐไทยที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตไทย
ณ กรุงบอนน์
และในวันที่
๑๒ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ได้จัดงาน
“วันรัฐธรรมนูญ
และรำลึก ๖๐
ปี ประชาธิปไตยไทย”
ที่มหาวิทยาลัยโยฮัน
โวล์ฟกัง เกอเธ่
แฟรงค์เฟิร์ต
เมืองแฟรงค์เฟิร์ต
โดยมีอาจารย์สุลักษณ์
ศิวรักษ์ เป็นองค์ปาฐก
และปีนี้เองที่ได้มีการนำข้อมูลทะเบียนสมาชิกเก็บไว้ในรูปแบบอิเลคทรอนิค
ผู้ออกแบบโปรแกรมเป็นนักศึกษาไทยด้านคอมพิวเตอร์ที่กำลังศึกษาอยู่ในเขตไรน์ไมน์
คอมพิวเตอร์ยุคนั้นยังเป็นรุ่น
286
er และใช้ระบบปฏิบัติการดอส
โปรแกรมที่ออกแบบเป็นโปรแกรมแบบง่าย
ๆ ใช้เก็บข้อมูลสมาชิกทั้งหมด
และเพิ่มความสะดวกในการพิมพ์ชื่อที่อยู่ของสมาชิกสำหรับจัดพิมพ์ส่งจดหมายและจุลสารได้
หน้าร้อนของปีถัดมา
พี่ตั้ว กอบชัย
ภัทรกุลวานิช
พี่ใหญ่ของนักเรียนทุนรัฐบาลในขณะนั้น
ปัจจุบันกลับไปเป็นอาจารย์ประจำอยู่คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ฯ
ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกฯ
ในงานประชุมฤดูร้อนวันนั้น
นายแพทย์ธัญญศิลป์
นิมิตธีรภาพ
ได้แนะนำสมาคมนักวิชาชีพไทยในยุโรปให้เป็นที่รู้จัก
ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า
อาจารย์กิตติศักดิ์
ปรกติ แห่งคณะนิติศาสตร์
ธรรมศาสตร์
ซึ่งขณะนั้นยังศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบอนน์ได้ตั้งคำถามว่า
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสมาคมนักวิชาชีพไทยในยุโรปจักไม่เป็นเพียงสถานที่สำเร็จความใคร่ทางวิชาการของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น
สิบกว่าปีที่ผ่านมาบทบาทและผลงานของสมาคมนักวิชาชีพไทยในยุโรปเป็นอย่างไรคงจะพอมองเห็นได้ไม่ยากนัก
อุปสรรคและปัญหาขององค์กรเป็นสิ่งที่น่าใคร่ครวญพิจารณายิ่งนัก
ในปีนี้
กิจกรรมหลักของสนทย.
ที่ถือว่าเป็นภาระประจำของคณะกรรมการในแต่ละปี
ได้แก่ การจัดงานห้าธันวา
งานสัมมนา
การออกเพื่อนไทยสามฉบับ
และงานกีฬาฤดูร้อนตลอดจนการประชุมสามัญประจำปี
ก็ได้จัดอย่างถูกต้องครบถ้วน
กรณีร้อนก็เห็นจะมีแต่จดหมายจากคุณสรพงษ์
ลิ้มสุวรรณ
เจ้าของร้านอาหารศาลาไทย
อดีตนายกสมาคมฯ
ในสมัยหนึ่ง
เขียนมาตัดพ้อเรื่องขาดการติดต่อสื่อสารจากสมาคมฯ
ทำให้กระทั่งข่าวงานประชุมสามัญประจำปีของสมาคมฯ
ก็ไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อมีการชี้แจงไกล่เกลี่ยจากหลายฝ่าย
คุณสรพงษ์
ก็ได้เขียนจดหมายแสดงความจำนงที่จะรับเป็นผู้บริจาคเงินให้กับสนทย.
ปีละห้าร้อยมาร์ก
และจากบริษัทเบียร์สิงห์อีกปีละหนึ่งพันมาร์ก
จดหมายลายมือคุณสรพงษ์นี้
ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาตนเอง
แต่ข้อบกพร่องในการจัดเก็บและส่งต่อเอกสารทำให้จดหมายฉบับนี้สูญหายไปในที่สุด
การบริจาคนี้อยู่ในช่วงระหว่างปีพ.ศ.
๒๕๓๗ –
๒๕๓๙
ในฤดูร้อนของปีพ.ศ.
๒๕๓๗ ภายหลังการประชุมสามัญประจำปีเสร็จสิ้น
โดยอาจารย์สัญชัย
พันธโชติ ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ
ในที่ประชุมกรรมการสมาคมครั้งแรกก็มีวิวาทะระหว่างคณะกรรมการชุดเก่าและชุดใหม่
จำได้ว่าพี่เอก
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
อดีตเลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยยุคพฤษภาทมิฬ
ได้เข้ามานั่งฟังด้วย
ในยุคนั้นเขาเป็นคนพูดน้อยจนถึงไม่พูดเลยด้วยซ้ำ
และแม้ผลการประชุมจะจบลงเรียบร้อยด้วยความพยายามไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจจากหลายฝ่าย
แต่ก็เป็นเหตุให้การทำกิจกรรมของคณะกรรมการฯ
ชุดนี้ถูกจับตามองในแทบทุกเรื่อง
แม้กระทั่งพฤติกรรมสูบบุหรี่หรือดื่มสุราของกรรมการบางคนก็ถูกตั้งแง่เป็นข้อรังเกียจได้
นอกเหนือการขายฉลากการกุศลดังที่เคยทำต่อเนื่องกันมาในงานเฉลิมพระชนมพรรษาห้าธันวาแล้ว
ในปีนี้อำนาจ
เจริญพักตร์ได้ริเริ่มความคิดในการหาเงินเข้าสมาคมฯ
นอกเหนือจากการขอเงินบริจาคแต่เพียงอย่างเดียว
โดยการออกแบบเข็มกลัดตราสมาคมฯ
ทั้งนี้เข็มกลัดร้อยชิ้น
ชิ้นละสิบมาร์ก
มีผู้สนับสนุนซื้อจนหมดภายในคืนเดียว
ทางสมาคมฯ
จึงได้จัดทำเสื้อยืดหาเงินเข้าสมาคมฯ
เพื่อเป็นทุนรอนในการทำกิจกรรมของคณะกรรมการฯ
ปีต่อไป ทั้งนี้ถือได้ว่าเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมความเชื่อที่ว่า
ไม่ควรจะเก็บเงินไว้ในบัญชีของสมาคมฯ
เป็นจำนวนมาก
เพราะเป็นโอกาสที่อาจจะมีการฉ้อโกงทรัพย์สินขึ้นมาได้
อย่างไรก็ดี
แนวคิดการหาเงินเป็นทุนรอนในการทำกิจกรรมสำหรับคณะกรรมการฯ
ปีต่อไปนั้น
เกิดขึ้นเนื่องจากการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา
กรรมการแต่ละคนต้องใช้จ่ายเงินส่วนตัวออกไปจำนวนไม่น้อย
ก่อนที่จะขอเบิกจ่ายได้ในภายหลัง
เพราะสมาคมฯ
ยังไม่สามารถหาเงินบริจาคมาไว้ในบัญชีได้เพียงพอกับรายจ่าย
เรื่องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการฯ
ในสมัยอาจารย์สัญชัยยังมีปลีกย่อยอีกมาก
แต่เป็นเรื่องจับผิดปรกติธรรมดา
เพราะในยุคสมัยนั้นนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเกี่ยวข้องกับสนทย.
ล้วนแล้วแต่มีอายุเฉลี่ยยี่สิบปีทั้งสิ้น
ยังไม่บรรลุเบญจเพศเลยด้วยซ้ำ
ในยุคนั้นยังถือว่านักศึกษาปริญญาเอกไม่ควรทำกิจกรรม
เพราะจำเป็นจะต้องทุ่มเวลาให้กับการศึกษาอย่างเต็มที่
เลยกลายเป็นว่านักเรียนรุ่นเล็กที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัยต้องกลายเป็นกำลังสำคัญในการทำกิจกรรม
นักศึกษาเหล่านี้
ซึ่งหมายรวมไปถึงข้าพเจ้าด้วย
ล้วนแต่ขาดประสบการณ์ในการทำกิจกรรม
เพราะต้องจากเดินทางจากบ้านมาเรียนในต่างแดนตั้งแต่อายุน้อย
วุฒิภาวะทางอารมณ์และปัญญายังอยู่ในระยะที่ห่างไกลกับความเป็นผู้ใหญ่มากนัก
ข้อบกพร่องในการทำงานกิจกรรมเห็นจะเป็นทัศนคติที่ถูกต้องในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
รวมทั้งการตีความหมายของการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
ดังนั้นการทำกิจกรรมที่มุ่งผลสำเร็จของงานมากกว่าสัมพันธภาพระหว่างบุคคลจึงยากที่จะก่อบรรยากาศของมิตรภาพขึ้นมาโดยรวมได้
หน้าร้อนของปีพ.ศ.
๒๕๓๘ ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ร่วมงานประชุมสามัญประจำปี
เพราะเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย
กลับมาก็ต้องรู้สึกปวดหัวอย่างยิ่งที่ทราบข่าวว่าพี่เมธา
คาห์ลได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ
ที่ปวดหัวเพราะพี่เมธานั้นอยู่เมืองเดียวกันกับข้าพเจ้า
ตัวข้าพเจ้ากับเขาเองนั้นรักและนับถือกันว่าเป็นพี่น้องนอกไส้
เที่ยวเล่นหัวหกก้นขวิดกันแต่ไหนแต่ไรมา
พี่เมธาทำท่าจะให้ข้าพเจ้ารับหน้าที่สาราณียกรอีกครั้ง
ซึ่งข้าพเจ้าปฏิเสธเด็ดขาดที่จะทำหน้าที่เดิม
และไม่ยินยอมรับตำแหน่งหน้าที่ใดทั้งสิ้น
ถึงกระนั้นก็ตามด้วยความรักและโมโหพี่ชายที่รักยิ่งที่รับตำแหน่งนายกฯ
มาหลายเดือนยังหากรรมการมารับตำแหน่งจนครบไม่ได้
เพราะพี่เมธานั้นไม่ได้เป็นนักศึกษา
สนิทสนมก็แต่นักศึกษารุ่นพี่สมชาย
เมื่อไปติดต่อให้รุ่นพี่มารับตำแหน่งกรรมการสมาคมฯ
อีกครั้งจึงไม่มีใครรับตำแหน่ง
เพราะต่างก็อยากจะให้รุ่นน้องได้ทำงานกิจกรรม
เมื่อจะติดต่อนักศึกษารุ่นเด็กจึงต้องเป็นธุระผ่านข้าพเจ้า
ดีที่ตำแหน่งสาราณียกร
ไกรสร ชัยซาววงศ์
ยินดีรับหน้าที่ไปทำ
ซึ่งเขาทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง
ทั้งที่เขายังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นส่วนตัว
มีกองบรรณาธิการเพียงตัวเขาคนเดียว
ก็สามารถจัดทำจุลสารออกมาจนครบสี่เล่ม
เล่มที่ดีที่สุดของเขาเห็นจะเป็นเล่มสุดท้าย
ที่เขาลงทุนบินไปสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่มาขายบริการทางเพศที่ฮัมบวร์กด้วยตนเอง
แม้กระทั่งกรรมการบันเทิง
อภิวัฒน์ เล็กอุทัย
ก็ได้จัดเตรียมงานราตรีพี่น้อง
ซึ่งเป็นงานสังสรรค์กลางคืนภายหลังการประชุมสามัญประจำปีได้อย่างดียิ่ง
โดยที่งานราตรีพี่น้องนี้จัดอย่างเป็นงานใหญ่ทีเดียว
มีผู้ร่วมงานราวสองร้อยกว่าคน
โดยจัดที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยคาร์หสรูห์
มีการขายบัตรเข้าร่วมงานล่วงหน้าให้กับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่นักศึกษา
อภิวัฒน์และไกรสรเป็นหัวเรือใหญ่ในการติดต่อขอใช้สถานที่กับทางมหาวิทยาลัย
ขอความสนับสนุนจากร้านอาหาร
ได้อาหารมาให้ผู้ร่วมงานอย่างเพียงพอ
ทั้งยังวิ่งขายบัตรเสียจนหมดเกลี้ยง
ที่เหนื่อยมากเห็นจะเป็นคณะกรรมการฯ
ซึ่งมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว
แต่ปรากฎว่ามิตรเก่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาไทยเมืองอาเคนและบอนน์ก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
โดยช่วยดูแลทั้งแผนกอาหาร
เครื่องดื่ม
ข้าพเจ้าจำสุภาวดี
มนต์สถาพรได้แม่นก็งานนี้
เพราะเธอเดินมาถามว่ายินดีจะให้ช่วยเหลืออะไรบ้างไหม
หลายปีต่อมาสุภาวดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเครือข่ายนักเรียนนักศึกษาไทยแถบชตุตการ์ตและเมื่อเธอได้รับตำแหน่งอุปนายกสนทย.
ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕
ก็เป็นตัวเชื่อมสำคัญระหว่างสนทย.
และนักศึกษาไทยในชตุตการ์ตในการจัดงานประชุมวิชาการนักเรียนไทยครั้งแรกในยุโรป
ทั้งยังเป็นหนึ่งในบรรณาธิการร่วมกับพรนภัส
โตรัสในการปรับปรุงและจัดทำหนังสือ
“เรียนเยอรมนี”
ในนามของสนทย.
หลังจากงานเสร็จสิ้น
ข้าพเจ้าก็ยังนับถือเป็นพี่เป็นน้องกับพี่เมธาอยู่ดี
เพราะถึงแม้เขาจะเป็นนายกฯ
ที่ไม่เอาไหนนักในความเห็นของข้าพเจ้า
แต่เขาก็ลำเอียงรักข้าพเจ้านัก
และดูเหมือนจะเป็นพี่ที่ดีของข้าพเจ้ายิ่งกว่าข้าพเจ้าที่เป็นน้องเกเรสำหรับเขา
ทั้งเขาได้ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นพลังของการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันของทีมงานที่ปราศจากเขา
แม้ทีมงานนั้นจะประกอบไปด้วยนักศึกษารุ่นเด็กก็ตาม
ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากเขาเป็นนายกฯ
ที่เก่งกาจมาก
คนอย่างอภิวัฒน์และไกรสรก็คงขาดโอกาสที่จะเปล่งศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่
กระแสการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของไทยในปีพ.ศ.
๒๕๔๐ ได้แผ่มาถึงเยอรมนี
ในวันที่ ๕
–
๖ เมษายน ปีนี้เองกลุ่มนักเรียนไทยแถบลุ่มแม่น้ำรัวห์
นำโดยพี่เปี๊ยก
บรรเจิด สิงคะเนติ
ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์
ธรรมศาสตร์
ได้เดินทางไปพบปะเยี่ยนเยียนนักศึกษาไทยเมืองเกิ๊ททิงเงนซึ่งมี
ปริญญา เทวานฤมิตรกุลเป็นหัวเรือใหญ่
มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างสรรค์อันเป็นประโยชน์ต่อสังคม
มีการตั้งเป้าหมายและวางแผนการดำเนินงาน
เพื่อนำไปสู่จุดหมายแห่งการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนักเรียนไทย
และสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน
การพบปะนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดงานสัญจรสานสัมพันธ์
การเดินทางไปพบปะสร้างสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเมืองต่าง
ๆ เช่นโบคุ่ม
ซาร์บรึคเคน
เกิ๊ททิงเงนซึ่งถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่มิได้อยู่ภายใต้นโยบายของสนทย.
นายกสมาคมฯ
คือ โอภาส ตรีทวีศักดิ์
ก็ให้ความสนับสนุน
และไปร่วมด้วยทุกครั้ง
ปีพ.ศ.
๒๕๔๐ นี้นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของทัศนคติในการทำกิจกรรมของนักศึกษาปริญญาเอกเลยทีเดียว
บรรเจิด สิงคะเนติเป็นหัวหอกคนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ว่า
นักศึกษาเรียนปริญญาเอกไม่ควรทำกิจกรรม
เขาตั้งคำถามว่านักศึกษาปริญญาเอกซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า
จะเฉยชาปล่อยให้นักศึกษารุ่นเล็กที่ขาดประสบการณ์ทำกิจกรรมแต่ฝ่ายเดียวไปได้อย่างไร
ทั้งยังต้องสร้างสัมพันธภาพระหว่างกันให้มากที่สุด
เพราะปัญหาสำคัญระหว่างนักศึกษาทั้งสองกลุ่มก็คือช่องว่างระหว่างวัย
ความสนใจจึงค่อนข้างแตกต่างกันมาก
ดังเช่น กลุ่มหนึ่งตั้งวงสนทนาคุยเรื่องการเมือง
อีกกลุ่มคุยเรื่องสนุกสนาน
รุ่นใหญ่ดื่มเมรัยในขณะที่รุ่นเยาว์ไม่ดื่ม
และแม้เมื่อมีกีตาร์เป็นสื่อ
วงหนึ่งก็ถนัดเพลงเพื่อชีวิต
อีกวงถนัดเพลงร่วมสมัย
เป็นต้น โจทย์ข้อนี้เป็นโจทย์ใหญ่อยู่หลายปี
ปัญหานี้จึงเบาบางลงไปได้บ้าง
ผลของการพบปะได้ก่อให้เกิดการเสวนาว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญใหม่และสิทธิเลือกตั้งของคนไทยในต่างประเทศอีกสองครั้ง
ที่สำนักงานผู้ดูแลนักเรียน
กรุงบอนน์
ซึ่งขณะนั้น
ทัศนีย์ ธรรมสิทธิ์
เป็นผู้ดูแลนักเรียน
และได้มีการยื่นร่างข้อเสนอเรื่องสิทธิเลือกตั้งของประชาชนไทยในต่างประเทศ
โดยมีปนัดดา
เรืองดารกานนท์
และปริญญา
เทวานฤมิตรกุล
เป็นตัวแทนยื่นต่ออานันท์
ปันยารชุน
ประธานคณะกรรมการพิจารณาแปรญัตติเมื่อวันที่
๒๖ พฤษภาคม
๒๕๔๐ ทั้งยังส่งตัวแทนคือ
ปริวรรต กนิษฐะเสน
ยื่นจดหมายสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่ออุทัย
พิมพ์ใจชน
อีกด้วย
นายกสมาคมฯ
คนถัดมาคือพี่อุ๊
เรียงศักดิ์
ชูบ้านนา ซึ่งยังให้ความสนับสนุนกิจกรรมสัญจรสานสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
ทางกลุ่มสัญจรสานสัมพันธ์เองก็ได้ออกจุลสาร
“ภราดรสาร”
ออกมาประดับบรรณพิภพอีกเล่ม
แต่น่าเสียดายที่มีอายุอยู่ไม่ยืนยาวนักออกมาได้สองสามฉบับก็ต้องปิดตัวลง
ในยุคนี้เริ่มมีการจัดทำเว็บไซต์ขึ้นแล้ว
ผู้จัดทำเว็บไซต์คนแรกของสมาคมฯ
ก็คือ ไพบูลย์
ช่วงทอง มิตรสนิทของเรียงศักดิ์นั่นเอง
ความเปลี่ยนแปลงในการขายสลากการกุศลเพื่อหาเงินบริจาคไปช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสในเมืองไทยในปีนี้ก็คือ
เงินรายได้จากการขายสลากจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งเป็นเงินบริจาค
อีกส่วนเข้าสมาคมฯ
ข้าพเจ้ารู้สึกไม่เห็นด้วยนัก
เนื่องจากจุดมุ่งหมายของการทำกิจกรรมสมาคมฯ
ไม่ควรเป็นไปเพื่อการค้า
ทั้งสมาคมฯ
ก็มีช่องทางหารายได้จากทางอื่นได้อีก
และก็ไม่ได้ประกาศตอนขายสลากว่าเงินส่วนหนึ่งจะถูกนำเข้าสมาคมฯ
อย่างไรก็ดี
คนซื้อสลากก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจว่าเงินจากการขายสลากจะถูกนำไปทำอะไร
ส่วนใหญ่ก็ซื้อเพราะมุ่งหวังรางวัลตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยอยู่แล้ว
ดังนั้นเรื่องจัดการกับเงินขายสลากจึงเป็นเรื่องของผู้ขายอย่างแท้จริง
หน้าร้อนปีถัดมาพี่นพ
นพดล คุ้มอนุวงศ์
ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมฯ
โดยมีวิน ปริวรรต
กนิษฐะเสน
เป็นเหรัญญิก
และพี่แฟรงค์
วีระพรรณ รังสีวิจิตรประภา
เป็นผู้จัดทำเว็บไซต์ของสมาคมฯ
ปัจจุบันปริวรรตประจำอยู่ธนาคารชาติ
ส่วนวีระพรรณเป็นอาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาฯ ข้าพเจ้าได้รับปากพี่นพในการรับหน้าที่เป็นนายทะเบียน
เพราะถือว่าเป็นหนี้พี่นพเมื่อครั้งที่พี่นพทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างข้าพเจ้ากับพี่ตั้ว
กอบชัย ภัทรกุลวณิช
เมื่อหลายปีก่อน
ทั้งได้ตั้งใจจะจัดระเบียบทะเบียนสมาชิกให้อยู่ในโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลให้เป็นที่เรียบร้อย
แม้ข้าพเจ้าจะได้จัดการนำข้อมูลไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลแล้ว
แต่กลับทำให้การจัดการฐานข้อมูลสำหรับนายทะเบียนคนต่อไปไม่ใช่ของง่าย
เพราะเงื่อนไขของการใช้โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลก็คือ
นายทะเบียนจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ใช้
มีความรู้ในการใช้โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลพอควร
และยังต้องถือศีลอย่างเคร่งครัดในการที่จะไม่ทำสำเนาข้อมูลเก็บไว้ภายหลังจากหมดวาระการทำงาน
ทั้งยังไม่ควรให้ผู้อื่นที่มิใช่นายทะเบียนได้เห็นข้อมูลของสมาชิกในคลังข้อมูลอีกด้วย
เพราะถือว่าสมาชิกได้ให้ความไว้วางใจให้ข้อมูลส่วนตัว
ได้แก่ ชื่อ
ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์
และที่อยู่ไปรษณีย์อิเลคทรอนิค
ซึ่งช่วงหลังรวมไปถึงข้อมูลด้านการศึกษา
ให้แก่สมาคมฯ
เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์การดำเนินงานของสมาคมฯ
เท่านั้น อย่างไรก็ตามศีลข้อนี้ของนายทะเบียนขึ้นกับความเข้าใจเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นเป็นสำคัญ
วีระพรรณก็ทำหน้าที่ผู้จัดทำเว็บไซต์ได้อย่างดียิ่ง
ถึงแม้จะดูวุ่นวายมากขึ้นในช่วงหลัง
เพราะจำนวนลิงก์มากขึ้น
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเว็บไซต์ของสมาคมฯ
เสียเลย ทั้งยังได้เป็นผู้จัดทำเมลลิงลิสต์ของสมาคมฯ
ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
เพื่อใช้ในการส่งข่าวสารระหว่างสมาชิก
อย่างไรก็ดีข้อขลุกขลักในการใช้เมลลิงลิสต์ก็คือ
การนำอีเมลของสมาชิกไปใส่ไว้ในเมลลิงลิสต์เลย
โดยมิได้ขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรแต่แรก
ทำให้สมาชิกหลายคนไม่พอใจ
แต่ทั้งนี้เป็นข้อจำกัดด้านความรู้ทางเทคนิคในยุคนั้น
เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในการจัดการอีเมลและการที่จะให้สมาชิกสมัครเข้ามาใช้งานเมลลิงลิสต์เองออกจะเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า
ขณะเดียวกันจุดมุ่งหมายของเมลลิงลิสต์ก็เพื่อให้การติดต่อข่าวสารระหว่างสมาชิกเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว
ดังนั้นการนำอีเมลของสมาชิกไปใส่ไว้ในเมลลิงลิสต์จึงพออนุโลมได้ว่า
เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสมาชิกเป็นสำคัญ
มากกว่าจะเป็นการนำอีเมลของสมาชิกไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง
แม้ในการกลั่นกรองข่าวสารที่ส่งผ่านเมลลิงลิสต์โดยผู้จัดการเมลลิงลิสต์เอง
วิจารณญาณของผู้กลั่นกรองบางครั้งก็ไม่อาจนำความพึงพอใจมาให้กับสมาชิกทุกคนได้
มาตรฐานหรือกติกาที่ชัดเจนในการใช้เมลลิงลิสต์ก็ยังไม่ปรากฎ
งานนายทะเบียนและผู้จัดทำเว็บไซต์ถือได้ว่าเป็นงานชนิดที่ผู้รับหน้าที่จำเป็นต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
การเลือกผู้รับตำแหน่งนายทะเบียนและผู้จัดทำเว็บไซต์ในช่วงหลังจึงต้องเฟ้นหาผู้มีความรู้ด้านนี้เป็นสำคัญ
ในช่วงปีนี้ไม่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการจัดการรายได้จากการขายสลากการกุศล
เนื่องจากทางสถานเอกอัครราชทูตไทย
ณ กรุงบอนน์
ขณะนั้นกษิต
ภิรมย์เป็นเอกอัครราชทูตประจำอยู่
ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายในการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาห้าธันวา
จากเดิมซึ่งสมาคมนักเรียนไทยฯ
เป็นผู้ขายสลาก
และนำเงินไปบริจาคที่เมืองไทย
สถานเอกอัครราชทูตจะเป็นผู้จัดงานเองทั้งหมด
สมาคมนักเรียนไทยฯ
ได้ถูกลดบทบาทลงไปอย่างสิ้นเชิง
และได้แต่เพียงจัดการแสดงของนักศึกษากลุ่มเมืองต่าง
ๆ เข้าร่วมเท่านั้น
ในงานนี้ปรากฎว่าสถานเอกอัครราชทูตมีรายได้ถึงหมื่นกว่ามาร์ก
เงินส่วนหนึ่งได้มอบให้กับสมาคมฯ
อีกส่วนหนึ่งนำไปบริจาคที่เมืองไทย
ข้าพเจ้ามานั่งนึกดู
เดิมที่สมาคมนักเรียนไทยฯ
ขายสลากการกุศลเพื่อหาเงินบริจาคก็เป็นสิ่งที่ใครเห็นดีและให้ความสนับสนุน
ครั้นเมื่อเปลี่ยนนโยบายเป็นหาเงินส่วนหนึ่งเข้ากระเป๋าตัวเอง
ก็ไม่เป็นการแปลกที่ผู้อื่นจะมองว่าเป็นช่องทางในการหารายได้ของเขาเช่นกัน
ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพที่จะหาเงินได้มากกว่า
และยังแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งเป็นเงินบริจาคจำนวนพอ
ๆ กับที่สมาคมนักเรียนไทยฯ
เคยบริจาค
ทั้งนักศึกษาก็ไม่ต้องลงแรงเหมือนเดิม
ในเมื่อเด็กทางเมืองไทยก็ได้เงินบริจาค
เราก็ไม่เห็นจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร
ปัญหาที่ต้องขบคิดก็คือ
บทบาทของนักศึกษาไทยในการทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมควรจะเป็นอย่างไร
ความหมายของการจัดงานห้าธันวาคืออะไร
เป็นโจทย์ในการจัดกิจกรรมหรือเป็นงานหารายได้
หากยังคิดว่างานห้าธันวาเป็นงานเดียวที่สามารถหารายได้มาสนับสนุนการทำกิจกรรมของทุกปี
เป็นไปได้ไหมที่จะจัดด้วยตนเอง
หรือหากยังคิดว่างานบริจาคเป็นงานสำคัญ
นักศึกษาจะทำอะไรที่มีความหมายได้มากกว่าที่คนอื่นทำ
นพดลเป็นนายกฯ
ที่ดูแลผลประโยชน์ของสมาคมฯ
ได้อย่างดียิ่ง
แต่ดูแลกรรมการฯ
และคนทำงานได้แย่นัก
ข้าพเจ้ากล้าพูดเช่นนี้
เพราะเหลืออดในการจัดงานราตรีพี่น้องนั่นเอง
มีอย่างที่ไหน
ข้าพเจ้ารับหน้าที่เตรียมเครื่องดื่ม
ขายน้ำ เตรียมสไลด์แสดงประวัติและผลงานสมาคมฯ
แถมยังขอให้พี่และน้องเตรียมการแสดง
ก็บังคับว่าข้าพเจ้าและผู้ที่ข้าพเจ้าขอมาช่วยงานต้องจ่ายเงินค่าบัตรร่วมงาน
ข้าพเจ้าโกรธเสียจนเดินเข้าไปแบบชักดาบดื้อ
ๆ อย่างนั้นนั่นแหละ
พี่สาวคนหนึ่งตัดปัญหาโดยการจ่ายค่าบัตรร่วมงานให้คนห้าคน
ก่อนจะเดินเข้ามาเตรียมงาน
ข้าพเจ้าฉุนเสียจนไม่ยอมรับคำเชิญไปรับประทานอาหารงานเลี้ยงขอบคุณกรรมการที่เขาเสนอจัดที่เคลาส์ทาลหลังจากนั้น
เพราะถือว่าอยู่ที่บ้านก็มีคนทำให้รับประทาน
แต่ข้าพเจ้าก็ยังมิได้เลิกนับพี่นับน้องกับเขา
ยังขอให้เขาช่วยทำเว็บไซต์ส่วนหนึ่งของสมาคมฯ
ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งในปีถัดมา
เมื่อพี่โด่ง
สุนทรียา เหมือนพะวงศ์
ผู้พิพากษาสาวจากกระทรวงยุติธรรม
ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมฯ
เธอก็ได้เชิญให้วีระพันธ์
รังสีวิจิตรประภา
รับตำแหน่งอุปนายกด้วย
โดยเหตุที่ว่าแม้จะเป็นคู่แข่งขัน
แต่ในเมื่อได้เสนอตัวที่จะทำงานกิจกรรม
ย่อมทำงานร่วมกันได้
แม้จะคิดต่างกันก็ตาม
ทัศนคติข้อนี้มีผลกระทบต่อข้าพเจ้ายิ่งนัก
เพราะข้าพเจ้าเคยเชื่อว่างานจะออกมาเป็นผลสำเร็จได้
ผู้ร่วมงานจำเป็นต้องมีวิถีคิดใกล้เคียงกัน
ยิ่งขนาดมองตาก็รู้ใจ
ไม่ต้องอธิบายกันมาก
น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เมื่อพิจารณาดูทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นใช้ได้ดีในภาวะอุดมคติเท่านั้น
เพราะในความเป็นจริง
ผู้คนล้วนมีความแตกต่าง
และเราไม่อาจเลือกที่จะทำงานกับคนที่คิดเหมือนเราได้เสมอไป
และหนทางของการอยู่ร่วมในการแตกต่างคือการยอมรับซึ่งกันและกัน
มิใช่การเขี่ยคนที่คิดไม่เหมือนกันออกไปให้พ้นทาง
ทั้งการมีผู้มองต่างมุมมากขึ้น
ย่อมทำให้มุมในการมองกว้างขวางและรอบคอบขึ้น
ซึ่งวีระพันธ์ได้แสดงให้เห็นในหลายครั้งแล้วว่า
เขาสามารถคิดในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดไม่ได้
ดังเช่น ชื่อของเมลลิงลิสต์สมาคมฯ
ในปัจจุบัน
ThaiStudentsInGermany@yahoogroups.com
เขาก็เป็นคนเสนอ
หรือทัศนคติที่ว่านักศึกษาควรจะทำกิจกรรมร่วมกับชาวไทยในเยอรมันบ้าง
ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคิดของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารับทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ของสมาคมฯ
ต่อจากวีระพันธ์
และโดยเหตุที่เขาเป็นผู้ริเริ่มในการทำเว็บไซต์และเมลลิงลิสต์ของสมาคมฯ
แต่แรก จึงค่อนข้างจะเจ็บปวดไม่น้อยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น
สุนทรียาต้องทำหน้าที่อย่างหนักในการทำตัวเป็นรัฐกันชนระหว่างวีระพันธ์และข้าพเจ้า
ส่วนเว็บไซต์สมาคมได้เปลี่ยนที่อยู่ในภายหลังมาเป็น
www.thai-students.de โดยความอุปถัมภ์จากสายสุดา
โพห์ล เว็บมาสเตอร์แห่งเว็บไซต์ไทยไลฟ์
เว็บไซต์ท่าแห่งแรกของชุมชนชาวไทยในเยอรมัน
ในปีพ.ศ.
๒๕๔๒ นี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย
ได้ย้ายไปอยู่
ณ กรุงเบอร์ลิน
สุนทรียาจึงคิดที่จะจัดงานห้าธันวาที่เบอร์ลิน
เพื่อไปแนะนำตัวสมาคมฯ
ให้กับชาวไทยในเบอร์ลินให้เป็นที่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม
สถานเอกอัครราชทูตไทยไม่มีนโยบายจัดงานร่วมกับสมาคมนักเรียนไทยในปีนี้
และไม่สามารถหาสถานที่จัดงานได้
แต่มีสถานที่จัดงานที่บอนน์
จึงได้กลับมาจัดที่บอนน์เหมือนทุกปี
สุนทรียายังต้องฝ่าด่านอนุรักษ์นิยมในคณะกรรมการฯ
อีกด่าน ในข้อที่ว่าเงินรายได้จากการขายสลากการกุศลจะไม่เป็นเงินบริจาคทั้งหมด
โดยให้เหตุผลว่า
การพัฒนาคุณภาพและศักยภาพนักเรียนไทยในกลุ่มของพวกเราเป็นเรื่องที่ต้องมาก่อนการนำเงินไปบริจาค
กิจกรรมในปัจจุบันจึงมีจำนวนมากมายและหลากหลายรูปแบบ
นอกเหนือจากการออกจุลสารสี่ฉบับ
งานกีฬาฤดูร้อน
งานกีฬาระหว่างนักศึกษาไทยในฝรั่งเศสและเยอรมันที่ปารีส
และงานเสวนาอีกสามสี่ครั้งที่บอนน์
เบอร์ลิน ฮัมบวร์ก
มึนสเตอร์
เป็นต้น ทั้งการบริจาคก็จะไม่ทำเหมือนเดิมเพียงแค่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร
แต่จะจัดกิจกรรมให้เพื่อนนักศึกษาไทยที่เดินทางกลับไปร่วมกับนักศึกษาไทยที่ศึกษาจบไปแล้วได้พบปะทำกิจกรรมบริจาคร่วมกัน
คือเดินทางไปหาผู้รับบริจาคด้วยตนเอง
จะได้ไปสัมผัสและมีประสบการณ์ตรง
อนุสนธิของกิจกรรมลักษณะนี้ก็คือ
กรรมการที่รับหน้าที่ดำเนินงานอย่าง
ปิลัญญา นิยมไทย
นักเรียนทุนรัฐบาลกระทรวงการต่างประเทศ
ร่วมกับอดีตนักเรียนไทยในเยอรมันที่ขณะนั้นกลับเมืองไทยแล้ว
อย่างบรรเจิด
สิงคเนติ ปริวรรต
กนิษฐเสน เป็นต้น
ต้องเดินทางครึ่งวัน
ข้ามห้วยสามห้วย
ไปดูโรงเรียนที่เป็นโรงเรือนหลังคามุงจาก
เมื่อกลับมาจากเมืองไทย
ก็ร่วมกับมิตรสหายจัดทำเว็บไซต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความยากไร้ขาดแคลนและด้อยโอกาสของเด็กในโรงเรียนที่เธอไปสัมผัสมา
ทั้งเป็นการทำโดยสมัครใจ
มิได้อยู่ในนโยบายสมาคมฯ
แต่อย่างใด
การเดินทางไปปารีสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาไทยในฝรั่งเศสและเยอรมันนั้นมีกั้ง
เศรษฐลัทธิ์
แปงเครื่อง
เป็นหัวแรงสำคัญในการติดต่อประสานงาน
และเขาทำหน้าที่นี้ได้ดียิ่ง
แม้จะเป็นกรรมการที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น
แต่เดิมรุ่นพี่สมัยก่อนได้ทำกิจกรรมระหว่างประเทศบ่อยครั้ง
แต่ก็ขาดหายไป
เมื่อคณะกรรมการฯ
ได้ทราบจากศิษย์เก่าบางคน
จึงได้รื้อฟื้นกิจกรรมนี้ขึ้นมาใหม่
งานนี้ได้กลายเป็นงานประเพณีพบปะของนักเรียนไทยในยุโรปซึ่งมีผู้มาร่วมงานเป็นหลักร้อยในปีถัด
ๆ มา
ค่ายการเมืองก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สุนทรียาเสนอให้จัด
โดยมีปริญญา
เทวานฤมิตรกุลเป็นหัวแรงคนสำคัญ
ทั้งในงานนั้นก็มีอาจารย์สุลักษณ์
ศิวรักษ์มาเป็นองค์ปาฐก
แม้จะมีผู้ตั้งคำถามก่อนหน้าว่า
นักศึกษาหรือสมาคมนักเรียนไทยฯ
ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่
และควรจะเสวนาร่วมกับสุลักษณ์ผู้ซึ่งถูกหมายหัวว่าอาจจะปลุกปั่นยุยงให้นักศึกษามีความคิดรุนแรงทางการเมืองหรือไม่
แม้บิดาข้าพเจ้ายังโทรศัพท์มาปรามว่าอย่าไปฟังสุลักษณ์ให้มาก
แล้วก็ถามว่าเขาพูดอะไรบ้าง
ข้าพเจ้าก็ตอบโดยซื่อว่า
สุลักษณ์บอกอย่าได้เชื่อเขา
กิจกรรมนี้ก็จัดขึ้นที่บอนน์
และแม้จะมีผู้ร่วมงานเพียงสามสิบกว่าคน
แต่เป็นสามสิบกว่าคนที่สำคัญยิ่ง
หลายคนในนั้นมีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจกรรมนักศึกษาเยอรมันในช่วงถัดมา
ดังเช่น ปริญญา
เทวานฤมิตรกุลนั้นเป็นนายกสมาคมฯ
สมัยถัดมาติดกันสองสมัย
จารุพรรณ กุลดิลก
ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหิดล เป็นกำลังสำคัญยิ่งในการจัดงานห้าธันวาและงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนไทยในฝรั่งเศสและเยอรมันที่แบร์ลินในปีถัดมา
ปิลัญญา นิยมไทยอุปนายกในปีถัดมาก็เดินทางมาร่วมงานจากไฮเดลแบร์ก
จิรวดี ขาวอ่อน
อุปนายกในสองปีถัดจากนั้น
ขณะนั้นกำลังศึกษาที่ฟรายบวร์กก็ยังนั่งรถไฟราวหกชั่วโมงกว่ามาร่วมงานด้วย
หนังสือ
“เรียนเยอรมัน”
ได้จัดพิมพ์สำเร็จเป็นครั้งแรกในปีนี้นั่นเอง
เป็นการรวบรวมข้อมูลทางการศึกษา
บทความจากนักศึกษาไทยในเยอรมันตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งปรากฎในเว็บไซต์
“เรียนเยอรมัน”
ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์สมาคมฯ
ในปีเดียวกัน
ข้าพเจ้าอาจจะมีฉันทาคติอยู่มากสักหน่อยกับการทำงานกิจกรรมในปีนี้
และถึงแม้จะเป็นพวกขี้เกียจ
ทำงานก็เฉพาะในส่วนของตน
ไม่ได้เป็นแรงงานในการทำกิจกรรมอันมีอย่างหลากหลายในคณะกรรมการฯ
สมัยนี้ แต่ข้าพเจ้าก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
(๑) การได้จัดงานห้าธันวาเป็นครั้งแรกด้วยตนเอง
โดยมิต้องพึ่งพาฉันทามติจากสถานเอกอัครราชทูตดังแต่ก่อน
แสดงให้เห็นว่า
นักเรียนไทยมีความเป็นตัวของตัวเองและเป็นอิสระจากการถูกปกครองโดยผู้ใหญ่มากขึ้น
(๒) การได้จัดงานร่วมกับชาวไทยในเยอรมัน
โดยเห็นความสำคัญว่าเราจำเป็นต้องเรียนรู้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน
มิใช่แบ่งแยกว่าเป็นนักเรียนหรือแม่บ้าน
(๓) ได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมกับนักศึกษาไทยในประเทศอื่น
ทำให้เห็นว่ามิใช่เรื่องพ้นวิสัยที่จะทำได้
(๔) การจัดค่ายการเมืองได้ลบล้างอคติเดิมเกี่ยวกับการเมือง
สร้างความตระหนักรู้และรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
ทั้งในฐานะปัญญาชนและคนหนุ่มสาวที่มีต่อบ้านเมือง
(๕) การเพิ่มความหมายของการบริจาค
ที่มิใช่เพียงแต่การหาเงินไปให้ผู้ยากไร้
แต่ต้องเต็มไปด้วยสำนึกตระหนักรู้ถึงเหตุและผล
และเข้าใจความจริงโดยการรับรู้โดยตรง
เหล่านี้
ได้สร้างความหมายใหม่ของการทำกิจกรรมนักศึกษา
และทำให้นักศึกษาไทยซึ่งขณะนั้นมีจำนวนมากถึงสองร้อยกว่าคน
มีความกระตือรือล้นและเห็นประโยชน์ของการทำกิจกรรมพบปะ
ได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างและมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเพิ่มขึ้น
ในช่วงนี้เอง
ได้มีการรวมกลุ่มก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในเมืองอาเคน
เคลาส์ทาล
ฮันโนเฟอร์
กลุ่มนักเรียนไทยในชตุตการ์ต
และกลุ่มนักเรียนไทยในไฮเดลแบร์ก-คาร์สรูห์-มันไฮม์
เพราะในเมืองเหล่านี้เริ่มมีนักศึกษาไทยมาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก
แต่ละกลุ่มได้จัดกิจกรรมเฉพาะกลุ่มของตนขึ้นมา
งานใหญ่ที่สุดก็คือ
งาน BaWü
ในปีพ.ศ.
๒๕๔๓
ซึ่งนักศึกษาไทยในชตุตการ์ตเป็นเจ้าภาพ
จัดงานพบปะสังสรรค์ระหว่างนักศึกษาไทยในเยอรมันในเขตบาเดนเวือร์ทเทมแบร์ก
ซึ่งมีผู้มาร่วมงานถึงแปดสิบกว่าคน
ปริญญา
เทวานฤมิตรกุล
นายกสมาคมฯ
ในช่วงปีพ.ศ.
๒๕๔๓ –
๒๕๔๕ ต้องเผชิญกับภาวะปัญหาเรื่องการสร้างความรู้สึกร่วมของนักเรียนไทยในกลุ่มเมืองต่าง
ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า
จำนวนนักเรียนไทยที่มาศึกษาต่อในเยอรมันได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชตุตการ์ตมีนักศึกษาราวสี่สิบคน
อาเคนราวสี่สิบคน
ฮันโนเฟอร์ราวยี่สิบคน
นักศึกษาไทยแต่เดิมจะรู้จักเพื่อนจากการมาร่วมงานกิจกรรมของสมาคมฯ
แต่เมื่อกลุ่มเมืองมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่มีกลุ่มนักเรียนไทยที่รวมตัวกันอยู่หนาแน่นอยู่แล้ว
และสามารถทำกิจกรรมในกลุ่มได้เอง
ทั้งเขาไม่รู้จักความเป็นมาและเป้าหมายวัตถุประสงค์ของสมาคมนักเรียนไทยฯ
จึงทำให้เขาไม่เห็นความสำคัญหรือความจำเป็นในการเข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมฯ
นอกเหนือจากนี้
นักศึกษาไทยส่วนใหญ่มาศึกษาด้วยทุนส่วนตัว
การเดินทางไปร่วมกิจกรรมในเมืองอื่น
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็เป็นข้อจำกัดสำคัญยิ่งที่จะทำให้เขาเหล่านั้นยินดีมาร่วมกิจกรรมที่เขายังไม่เห็นประโยชน์
ความเป็นมาของปริญญา
ในฐานะที่เขาเคยเป็นอดีตเลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
หรือ สนนท. ในยุคพฤษภาทมิฬ
ยิ่งทำให้เขาถูกเพ่งเล็งในแง่ที่ว่าฝักใฝ่การเมือง
และมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝงในการทำงานกับสมาคมนักเรียนไทยฯ
ผู้ที่มีใจโน้มเอียงไปในทางต่ำถึงกับแกล้งเปรยออกมาว่า
“ระวังเขาจะพาคนไปตายอีก”
แต่การที่เขาไม่เป็นที่ยอมรับของบางกลุ่มเมืองนั้น
ข้าพเจ้าคาดว่า
มีสามสาเหตุใหญ่
คือ (หนึ่ง) ความมีอคติต่อตัวปริญญาเอง
ทั้งในแง่ที่ว่าเขาอาจจะมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝง
และใช้สมาคมนักเรียนไทยฯ
เพื่อผลประโยชน์ของตน
และในแง่บุคลิกลักษณะของเขาเอง
ที่แม้จะเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย
แต่เขามักจะผูกขาดการพูดไว้กับตนเองโดยไม่ตั้งใจ
(สอง) เพราะความรักและภาคภูมิใจในกลุ่มของตน
จึงทำให้มองไปว่าสมาคมฯ
พยายามจะเข้ามามีอำนาจแทรกแซง
ไปจนถึงขั้นหลอกใช้ให้ทำงานในนามของสมาคมฯ
และ (สาม) ความไร้เดียงสาของนักศึกษาไทย
ที่ไม่เข้าใจเป้าหมายการทำกิจกรรมว่าเป็นไปเพื่อการสมานสามัคคี
ไม่ว่าจะในระดับกลุ่มเมืองและระหว่างกลุ่ม
เมื่อประกอบกับอคติที่มีต่อตัวบุคคล
ยิ่งทำให้เขาไม่สามารถแบ่งแยกตัวองค์กรและบุคคลได้อย่างถูกต้อง
ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ปริญญาก็สามารถบุกเบิกกิจกรรมด้านอื่นได้เป็นผลดี
ดังเช่น การจัดงานห้าธันวาเป็นครั้งแรกที่เบอร์ลิน
การจัดงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาไทยในยุโรปที่เบอร์ลิน
ซึ่งทางฝรั่งเศสมาร่วมงานถึงร้อยกว่าคน
และมีนักศึกษาจากทางอังกฤษและเดนมาร์กมาร่วมด้วย
ทำให้สมาคมฯ
มีสัมพันธภาพหนาแน่นเป็นอย่างดีกับกลุ่มนักเรียนไทยและชาวไทยในเบอร์ลิน
จากเดิมที่ไม่เคยไปจัดกิจกรรมที่เบอร์ลินมาก่อนเลย
ข้อบกพร่องของเขาเห็นจะเป็นว่า
เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนระหว่างกัน
ดังจะเห็นได้ว่า
แม้จะมีนักศึกษาไทยมาร่วมงานกีฬานักเรียนไทยในยุโรปที่เบอร์ลินเป็นจำนวนกว่าสามร้อยคน
และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารเป็นที่เรียบร้อย
โดยการก่อตั้งเมลลิงลิสต์นักเรียนไทยในยุโรป
แต่เมลลิงลิสต์นี้ไม่เคยถูกนำมาใช้ประโยชน์เลย
ดังนั้นการสื่อสารติดต่อในระยะยาวจึงมิได้เกิดขึ้น
หรือการให้ความไว้วางใจกรรมการสมาชิกสัมพันธ์ในบางเมืองมากเกินไป
โดยมิได้ติดตามผลการดำเนินงานของกรรมการสมาชิกสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของสมาคมฯ
ว่าก่อให้เกิดช่องทางติดต่อสื่อสารอันดีระหว่างนักศึกษาไทยในเมืองนั้นกับสมาคมฯ
หรือไม่ แม้กระทั่งเรื่องความสนใจส่วนตัวของเขาซึ่งมีอยู่เฉพาะด้าน
ดังเช่น เมื่อเขาสนใจกิจกรรมตีกลองยาว
จนตั้งวงตีกลองยาว
ที่นำออกแสดงแทบทุกงานก็ว่าได้
ก็เป็นเหตุให้ไม่สามารถกระตุ้นให้นักศึกษาไทยกลุ่มอื่นกระตือรือล้นที่จะจัดการแสดงเข้ามาร่วม
ทั้งนายกสมาคมฯ
แสดงความสามารถว่าเก่งเสียในแทบทุกเรื่อง
เลยยิ่งทำให้นักศึกษาไทยคนอื่นไม่อยากจะเปล่งประกายความสามารถของตนเองออกมา
ข้อที่ข้าพเจ้าเสียดายเป็นที่สุดก็คือ
การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ
ติดต่อกันอีกปีหนึ่งของเขา
ทั้งที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ลงเลือกตั้งตำแหน่งนายกฯ
อีกหลายคน
เมื่อเขาไม่ถอนตัว
ทั้งยังแสดงทีท่าดังที่เคยกล่าวไว้ว่า
“คนทำกิจกรรมครั้งแรก
เนื่องจากไม่เคยทำ
จึงทำให้บกพร่องได้
หากมีโอกาสทำครั้งที่สอง
น่าจะดีกว่าเดิม”
จึงทำให้หลายคนให้โอกาสเขา
โดยคณะกรรมการฯ
ชุดเดิมได้ถอนตัวไปเกือบหมดสิ้น
เขามีโอกาสที่จะทำอะไรได้ดีกว่าเดิม
แต่ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์นัก
งานห้าธันวาและงานค่ายกิจกรรมมิได้จัด
และงานประชุมวิชาการก็มิได้กระตือรือล้นทำให้เกิดขึ้นในสมัยเขา
ทั้งที่ประกาศไว้ในนโยบายตั้งแต่ปีแรก
แต่ความไม่กระตือรือล้นของเขาก็มีผลดีตรงที่ทำให้มีกลุ่มอื่นที่กระตือรือล้นจัดกิจกรรมขึ้นเอง
ดังเช่น งานห้าธันวาที่มึนสเตอร์ของชาวไทยในมึนสเตอร์
งานพบปะนักเขียน
ลาว คำหอม ที่ไฮเดลแบร์ก
งานพูดคุยกับอาจารย์ธงชัย
วินิจจะกุลที่มึนสเตอร์
โครงการทุนการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสที่เมืองไทยของกลุ่มนักศึกษาเขตเมืองไฮเดลแบร์ก-คาร์ลสรูห์-มันไฮม์
การแข่งขันฟุตบอลระหว่างอาเคนและชตุตการ์ต
และการจัดงานประชุมวิชาการ
เป็นต้น
หมุดหมายสำคัญของกิจกรรมนักศึกษาไทยในเยอรมันในปี
พ.ศ. ๒๕๔๕ ก็คือการจัดงานวิชาการ
เพราะแม้นักศึกษาส่วนใหญ่จะกลับไปเป็นอาจารย์หรือนักวิจัย
แต่กลับไม่เคยมีการจัดกิจกรรมในแง่ของการนำเสนองานวิชาการของนักเรียนไทยในเยอรมัน
หรือจัดเก็บรวบรวมข้อมูลด้านวิชาการอย่างต่อเนื่อง
ปริยากร พูสวิโร
อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาฯ กรรมการสัมพันธ์เมืองฮัมบวร์ก
ผู้ซึ่งได้รับฉันทามติให้เป็นหัวเรือใหญ่ในการดำเนินงาน
ใช้วิธีเดินทางพบปะสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับเป้าหมายของการจัดงานไปตามเมืองต่างๆ
มีการตั้งประเด็นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ดสมาคมฯ
อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งมีผู้เห็นประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งกลุ่มนักเรียนไทยในชตุตการ์ตรับเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน
ปริยากรเองก็ได้ติดต่อไปยังหน่วยงานราชการที่เมืองไทย
ซึ่งพร้อมให้ความสนับสนุนเป็นตัวเงิน
ทั้งยังได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ประเวศ
วะสี ท่านอาจารย์เสน่ห์
จามริก เดินทางมาร่วมเป็นองค์ปาฐก
ทำให้มองเห็นได้ว่า
กิจกรรมที่ดีมีประโยชน์นั้น
ย่อมมีผู้ให้ความสนับสนุนและความร่วมมือ
แม้กระทั่งแหล่งทุนก็มิได้จำกัดว่าจะต้องหาจากในเยอรมันแต่เพียงอย่างเดียว
ผลของการจัดงานประชุมวิชาการทำให้เกิดความกระตือรือล้นที่จะจัดงานเสวนาเชิงวิชาการเพิ่มขึ้นในหมู่นักศึกษาไทย
ทั้งงานประชุมวิชาการครั้งที่
๒ ที่อาเคน
งานประชุมวิชาการครั้งที่
๑ ของนักเรียนไทยในฝรั่งเศสเอง
และงานเสวนาวิชาการกลุ่มย่อยที่มิวนิค
มึนสเตอร์
เป็นต้น
๓.
ข้อสังเกต
รัฐบาลไทยได้ริเริ่มนโยบายส่งนักศึกษาไทยมาศึกษายังต่างประเทศเป็นโครงการต่อเนื่องนับแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๓๒ แม้จะมีชาวไทยในเยอรมันอยู่มาก
แต่นักเรียนทุนรัฐบาลไทยในปีพ.ศ.
๒๕๓๕ มีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น
นักเรียนทุนส่วนตัวยิ่งมีน้อยกว่าน้อย
ข้าราชการที่ลาศึกษาต่อโดยได้รับทุนรัฐบาลเยอรมันมีอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อนับตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๓๖ เป็นต้นมา
คณะกรรมการของสมาคมนักเรียนไทยฯ
ล้วนประกอบไปด้วยนักเรียนทุนรัฐบาลเป็นหลัก
ที่ว่าเป็นหลักก็คือหลายคนได้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการฯ
ติดต่อกันหลายวาระ
เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลานาน
คือตั้งแต่ระดับดิพโพลมจนถึงปริญญาเอก
ในขณะที่นักเรียนทุนส่วนตัวมีข้อจำกัดด้านเวลาและทุนทรัพย์
เพราะส่วนใหญ่มาศึกษาต่อในระดับเทียบดิพโพลม
โอกาสที่จะทำกิจกรรมติดต่อกันเป็นเวลานานจึงเป็นเรื่องเป็นไปได้น้อยมาก
และข้าราชการที่ลาศึกษาต่อส่วนใหญ่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก
มีทัศนคติว่าไม่ควรเข้ามาร่วมในการทำกิจกรรมนักศึกษา
บทบาทและการดำเนินงานของสมาคมนักเรียนไทยฯ
ช่วงระหว่างปีพ.ศ.
๒๕๓๖ –
๒๕๔๑ นับได้ว่าแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด
กิจกรรมเป็นไปตามที่เคยทำกันมา
คือเมื่อรับตำแหน่ง
ก็ออกจดหมายข่าว
จัดงานห้าธันวา
จัดงานสัมมนาหนึ่งงาน
ระหว่างปีก็พยายามออกจุลสารเพื่อนไทยให้ได้อย่างน้อยสามเล่ม
เป็นต้น
ความนิ่งในการทำกิจกรรมของสมาคมนักเรียนไทยฯ
ซึ่งปรกติมีบทบาทนำนั้น
นำไปสู่ความกระตือรือล้นในการทำกิจกรรมของกลุ่มข้าราชการลาศึกษาต่อที่เริ่มขึ้นในปี
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยมีกิจกรรมสัญจรสานสัมพันธ์
และการยื่นหนังสือเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งของชาวไทยในต่างประเทศและร่างจดหมายสนับสนุนรัฐธรรมนูญ
เป็นเครื่องหมายสำคัญ
ความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการเมืองนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากกระแสร่างรัฐธรรมนูญในประเทศไทยก็เป็นได้
ทั้งกลุ่มข้าราชการลาศึกษาต่อก็มีนักศึกษากฎหมายที่มีความสนใจเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองเป็นแกนนำก็อยู่ในภาวะสุกงอมในการตอบคำถามถึงบทบาทนักเรียนไทยของตน
เพราะแม้แต่บรรเจิด
สิงคะเนติ
ซึ่งเคยเป็นมันสมองของคณะกรรมการสมาคมฯ
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗
–
๒๕๓๘ เขากลับมิได้รับตำแหน่งใด
แต่ในปี พ.ศ.
๒๕๔๑ เขากลับเป็นผู้เขียนบทความ
“บทบาทของนักเรียนไทย
เมื่อไร้สำนักงานผู้ดูแลฯ“
โดยเรียกร้องความสมานสามัคคีจากนักเรียนไทยทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก
ทั้งยังเรียกร้องให้นักศึกษาไทยรุ่นใหญ่โดยเฉพาะที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับรุ่นน้อง
และในปี พ.ศ.
๒๕๔๒ ทั้งสุนทรียาและวีระพันธ์
ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกทั้งคู่
ก็ได้แสดงความสนใจที่จะลงสมัครเป็นนายกสมาคมนักเรียนไทยฯ
และได้เริ่มเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าในการทำกิจกรรมตามประเพณีดั้งเดิมนับแต่นั้น
ประเทศเยอรมันเองนับตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๔๒ ก็มีนโยบายเปิดประเทศด้านการศึกษา
เปิดรับนักศึกษาต่างชาติให้เข้ามาศึกษาในเยอรมันมากขึ้น
ทั้งยังมีการโฆษณาให้ข้อมูลทางการศึกษาในประเทศไทยอย่างเต็มที่
แรงดึงดูดหลักที่ดึงนักศึกษาไทยมาศึกษาในเยอรมันก็คือค่าเล่าเรียนในอัตราต่ำกว่าประเทศอื่น
ดังนั้น ปริมาณนักศึกษาไทยที่มาศึกษาในเยอรมันด้วยทุนส่วนตัวจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งกลายเป็นส่วนใหญ่ของนักเรียนไทยทั้งหมด
ถึงแม้จะมีนักเรียนทุนรัฐบาลเป็นคณะกรรมการฯ
อยู่ในสมาคมนักเรียนไทยฯ
อีกมาก แต่ปริมาณนักเรียนทุนรัฐบาลที่สนใจมาร่วมกิจกรรมของสมาคมฯ
กลับลดน้อยลง
นักศึกษาในเยอรมันมีโอกาสใช้อินเทอร์เน็ตในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๓๖ แต่ปริมาณผู้ใช้อีเมลในการติดต่อสื่อสารกลับมีจำนวนน้อยมาก
สื่อกลางในการติอต่อสื่อสารระหว่างกันคือจุลสารเพื่อนไทย
และจดหมายข่าวของสมาคมฯ
นักศึกษาไทยในเยอรมันมีโอกาสรับทราบข่าวสารจากประเทศไทยน้อยมาก
เพราะไม่สามารถหาอ่านหนังสือพิมพ์หรือวารสารจากเมืองไทยได้
แม้เทคโนโลยีเว็บไซต์ได้พัฒนาขึ้นในปีพ.ศ.
๒๕๓๘ เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนไทยฯ
เพิ่งจัดทำขึ้นในปีพ.ศ.
๒๕๔๑ เมลลิงลิสต์ของคณะกรรมการฯ
และสมาชิก
และเว็บบอร์ด
ได้จัดทำขึ้นในปีถัดมา
แต่แม้ในคณะกรรมการฯ
เอง ก็ยังมิได้ใช้อีเมลเป็นสื่อในการติดต่อสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อกระแสการใช้อินเทอร์เน็ตในเยอรมันพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในปีพ.ศ.
๒๕๔๓ นักศึกษาไทยเกือบทุกคนมีคอมพิวเตอร์และเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
ทั้งยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ติดตัวแทบทุกคน
การติอต่อสื่อสารระหว่างกันยิ่งรวดเร็วขึ้นอย่างถึงที่สุด
ดังที่เคยมีการประชุมคณะกรรมการฯ
ผ่านอินเทอร์เน็ตในปีเดียวกันนั้นเอง
๔.
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า
ในช่วงแรก
การติดต่อสื่อสาร
โดยเฉพาะการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักศึกษาไทยในเยอรมันเป็นไปอย่างยากลำบาก
การตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองนั้นเริ่มในกลุ่มข้าราชการลาศึกษาต่อซึ่งมีวัยวุฒิและประสบการณ์มากกว่ากลุ่มอื่น
การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในมหาวิทยาลัยซึ่งมีมาตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๓๖ มีอยู่ในเพียงบางกลุ่มและกว่านักศึกษาไทยในเยอรมันจะจัดทำเมลลิงลิสต์เป็นของตนเองก็ต้องใช้เวลาถึงหกปีหลังจากนั้น
จากการเฝ้ามองประวัติศาสตร์ในทศวรรษที่ผ่านมา
แม้กิจการนักศึกษาไทยในเยอรมันจะมีสมาคมนักเรียนไทยฯ
เป็นแกนหลัก
และกิจกรรมของสมาคมเป็นไปตามนโยบายและบุคลิกของนายกสมาคมฯ
เสียยิ่งกว่าการริเริ่มจากคณะกรรมการฯ
แต่หากปราศจากคณะทำงานที่มีศักยภาพ
นโยบายของนายกสมาคมฯ
ก็ไม่สามารถบรรลุผลทำให้เป็นจริงได้
ข้าพเจ้าแม้จะชื่นชมวีรบุรุษ
แต่ไม่นิยมทฤษฎีวีรบุรุษ
ที่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงใดจะต้องเกิดจากบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถเหนือคนอื่นแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
และแม้ข้าพเจ้าจะเชื่อในการรวมตัว
แต่ก็มีความเห็นว่า
หากขาดสติปัญญาแล้ว
การรวมตัวก็นำไปสู่การแบ่งแยกหมู่คณะได้เช่นเดียวกัน
เพราะถึงแม้จะมีการหลอมละลายอัตตาของปัจเจกบุคคลไปสู่ความสามัคคีของกลุ่ม
แต่หากไม่ระวัง
การมองอะไรเพียงโดด-โดด
ไม่เห็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นหรือคนอื่นเป็นเรื่องอันตรายยิ่งนัก
เพราะจะนำไปสู่อหังการและมมังการที่ว่า
ตนเองและหรือความเห็นของตนหรือกลุ่มตนดีกว่าคนอื่นหรือกลุ่มอื่น
มีแต่การเปิดใจเรียนรู้ในความแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น
จึงจะทำให้ข้ามพ้นมิจฉาทิฐิข้อนี้ไปได้
ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่สามารถสืบค้นประวัติศาสตร์ของนักศึกษาไทยในเยอรมันสามสิบห้าปีก่อนหน้านี้ได้
และเมื่อมองเปรียบเทียบกับนักศึกษาไทยในประเทศอื่นแล้วราวกับว่านักศึกษาไทยในเยอรมันออกจะไม่มีส่วนร่วมอย่างไรในประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง
ดังความมุ่งหมายของการส่งนักเรียนไทยมาศึกษายังเมืองนอกของสยาม
แต่ทศวรรษที่ผ่านมาพอจะมองเห็นได้ไม่ยากว่าการรวมกลุ่มของนักศึกษาไทยในเยอรมันได้ว่ามีความต่อเนื่องและยาวนานมากกว่านักศึกษาไทยในประเทศอื่น
ทำให้พอจะมีความหวังได้ว่าศักยภาพของนักเรียนไทยในเยอรมันคงจะพอเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองได้บ้าง
ในยามที่กลับไปประจำตามกลไกต่าง
ๆ ของสังคม
และเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตร่วมกันอีก
ªÅ¹ÀÒ
͹ءÙÅ
|