หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือติดอันดับขายดีของเยอรมันในปีค.ศ.
๒๐๐๓ พิมพ์มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบสองครั้ง ดีทริค
ชวานิทซ์ เป็นศาสตราจารย์ด้านวรรณคดีอังกฤษ หนังสือนิยายของเขาสองเล่มก่อนหน้าเป็นหนังสือขายดีเช่นกัน
เรื่องแดร์ คัมปุสนั้น ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย
ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การเล่าเรื่อง
ชวานิทซ์มีศิลปะดียิ่งในการทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย มีอารมณ์ขันปนเสียดสีแทรกอยู่แทบทุกระยะ
ชวานิทซ์มีจุดมุ่งหมายในการนำเสนอความรู้ส่วนที่ข้องเกี่ยวกับวัฒนธรรม
ซึ่งเขาถือว่าเป็นส่วนที่พร่องและขาดหายไปอย่างน่าเสียดายจากห้องเรียน
ดังที่ย้ำไว้ในส่วนขยายของหนังสือว่า "การศึกษา - ทุกอย่างที่ต้องรู้"
ออกจะเป็นพาราดอกซ์อยู่ในตัวสักหน่อยที่ชวานิทซ์ย้ำว่า
การศึกษาคือการเรียนรู้ และการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ความพยายามในการรวบรวมความรู้ที่มุ่งหวังจะให้ผู้อื่นรู้
มาไว้ในหนังสือเล่มเดียว จึงขัดแย้งในข้อที่ว่า ความรู้และการเรียนรู้ของมนุษย์
ไม่ควรจะถูกจำกัดด้วยหนังสือหนาเพียงเจ็ดร้อยหน้าเท่านั้น อย่างไรก็ดี
การอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผู้อ่านได้รับแผนที่ความรู้มาแผ่นใหญ่ทีเดียว
เพราะภายในหนังสือประกอบด้วยรายชื่อหนังสือ แหล่งอ้างอิงต่าง ๆ สำหรับการค้นคว้าอ่านตามใจชอบในภายหลัง
อย่่างที่เรียกว่าค่อนข้างครบถ้วน
กลุ่มเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้คือชาวเยอรมัน
เพราะนอกจากจะเขียนด้วยภาษาเยอรมันแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ก็หนักไปในทิศทางเพิ่มเติมความรู้สำหรับชาวเยอรมันโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าในแง่ที่ว่า ทำให้เราพอจะมองท่าทีเกี่ยวกับความรู้
การศึกษา และที่มาของอิทธิพลความคิด ของชาวเยอรมัน และหรือชาวตะวันตกได้บ้าง
ถือได้ว่าหากจะเรียนรู้ฝรั่งยุโรป อ่านจากเล่มนี้ก็ไ่ม่เลวนัก
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้เห็นจะเป็น
ความเป็น "อภิหนังสือ" คือหนังสือที่ว่าด้วยหนังสือ เพราะประกอบด้วยรายชื่อหนังสือน่าสนใจจำนวนมาก
ถึงขนาดที่ว่าอ่านไปอาจจะต้องจดไป เพื่อจะได้หาโอกาสค้นมาอ่านเพิ่มเติมในภายหลัง
เพื่อตรวจสอบว่าที่ชวานิทซ์เขียนไว้นั้นดีจริงหรือไม่ อภิหนังสือทำนองนี้ในเมืองไทย
เห็นจะมีแต่เล่มที่ว่าด้วย "หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน"
แม้จะมีผู้ค่อนขอดว่า หนังสือดีมีมากกว่าร้อยเล่ม แต่หนังสือเล่มนี้ก็กระตุ้นให้กระแสการอ่านเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
หนังสือเล่มนี้หนาเกือบเจ็ดร้อยหน้า
แบ่งเป็นสามหมวดใหญ่คือ หมวดว่าด้วยความรู้ ความสามารถ และหมวดเสริมท้าย
ส่วนสำคัญที่สุดคือหมวดว่าด้วยความรู้ ชวานิทซ์แบ่งเป็นหกเรื่องใหญ่คือ
ประวัติศาสตร์ยุโรป-วรรณกรรม-ศิลปะ-ดนตรี-ปรัชญา-เพศสภาพ
เขาให้ความสำคัญกับส่วนของประวัติศาสตร์มากที่สุด
ซึ่งมีความหนาราวสองร้อยกว่าหน้า ถือได้ว่าเขามีความสามารถในการย่อเรื่องได้อย่างน่ามหัศจรรย์ทีเดียว
เขาเล่าตั้งแต่อารยธรรมสองสาย คือ กรีกโรมัน และคริสต์ศาสนา ที่เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมยุโรป
เรื่อยมาจนถึงยุคกลาง ยุคปฏิรูป ความเป็นมาของรัฐชาติต่าง ๆ และการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน
วิธีเล่าของเขากระชับได้ใจความ และมีอารมณ์ขันสอดแทรก ทำให้ไม่น่าเบื่อ
ท่วงทีการเขียนของเขาเป็นไปอย่างนี้ตลอดเล่ม
ส่วนที่น่าสนใจอีกส่วนคือส่วนของวรรณกรรม
เมื่ออ่านดูแล้วต้องอุทานในใจหลายครั้งว่า ตาหมอนี่ต้องเป็นหนอนหนังสือตัวฉกาจคนหนึ่งทีเดียว
แต่น่าแปลกใจว่า เขาเว้นที่จะไม่เอ่ยอ้างงานของแฮร์มันน์ เฮสเสเลย
ทั้งที่กล่าวถึงโธมัส มันน์ ซึ่งเป็นนักเขียนยุคสมัยเดียวกัน
อีกตอนหนึ่งเขาแต่งบทละครล้อเลียน
โดยมีนักแต่งบทละครอย่างจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์, พิรันเดลโล, แบร์โทลด์
เบรคชท์, อิโอเนสโค และ ฟาร์ซ ซามูเอล เบคเคท เป็นตัวละครของเขาอีกทีหนึ่ง
โดยใช้วิธีเดินเรื่องตามแบบ Der Physiker ของเดือเรนมัทท์ ทำให้เห็นว่าอารมณ์ขันแบบเสียดเย้ยของเขาค่อนข้างชัดเจนขึ้น
ในส่วนของประวัติศาสตร์ศิลปะ
ดนตรี และเพศสภาพนั้นเขาเขียนไว้ไม่มากนัก แต่ส่วนปรัชญาเขาเขียนเล่าเรื่องได้สนุกสนานตามเคย
เขียนกัดฌอง ฌาค รุสโซ ว่าตอนเขียนหนังสือว่าด้วยการจัดการศึกษาให้กับกุลบุตรและกุลธิดาของฝรั่งเศสนั้น
รุสโซส่งลูกตัวเองไปไว้ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะจะได้ไม่รบกวนเวลาเขียนหนังสือ
กัดเฮเกลเรื่องที่ว่าสาวกที่บูชางานเขาอย่างคาร์ล มาร์กซ์เอาทฤษฎีเขาไปปู้ยี่ปู้ยำเสียจนจำแทบไม่ได้
กัดมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ในข้อที่ว่าเราควรยกโทษให้แก่เขา ในกรณีที่ก้มหัวให้แก่นาซี
เพราะแม้แต่ชู้รักของไฮเดกเกอร์ซึ่งเป็นชาวยิว ยังยกโทษให้เขาเลย
เป็นต้น
ในหมวดว่าด้วยความสามารถนั้นไม่มีอะไรน่าอ่านมากนัก
เขาเพียงแต่กล่าวเรื่องมารยาทในการแสดงตนเป็นผู้รู้เพียงผิวเผิน
นั่นคือในข้อที่ว่า ต้องไม่หยิ่งยะโส แสดงตนว่ารู้เรื่องที่คนอื่นไม่รู้
ข้อบกพร่องของหนังสือเห็นจะอยู่ตรงส่วนนี้นี่เอง เพราะชี้ให้เห็นว่า
เขาตีปัญหาเรื่องการศึกษาที่มีความหมายไปในทางการพัฒนาตัวตน หรือจิตวิญญาณด้านในยังไม่แตก
(เป็นไปได้ว่า เขาไม่ได้อ่านงานของเฮสเส หรือเขาไม่เชื่อแบบเฮสเสเอาเสียเลย
- ข้าพเจ้าคิด) คือแทนที่เขาจะตอกย้ำการพัฒนาด้านสมองที่ควบคู่ไปกับจิตใจ
เขากลับวางน้ำหนักไว้เพียงเรื่องมารยาท ซึ่งเป็นกระพี้ของระดับจริยธรรมเสียด้วยซ้ำ
และแม้ในบทที่ว่าด้วย
หนังสือที่เปลี่ยนแปลงโลก ก็คงเป็นโลกด้านเดียวในความคิดของฝรั่งเสียมากกว่า
เพราะเหตุที่แม้ในด้านปรัชญา เขายังกล่าวถึงเพียงแต่ปรัชญาตะวันตก
ปรัชญาของโลกด้านตะวันออกมิได้กล่าวถึงเสียด้วยซ้ำ รายชื่อหนังสือที่นำมาเสนอก็เป็นของฝรั่งโดยมาก
ราวกับว่าโลกทั้งโลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงโดยฝรั่งเท่านั้น
ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงมีกรอบที่เหมาะกับผู้อ่านเยอรมัน เสียยิ่งกว่าจะเป็นหนังสือของโลก
และสำหรับผู้ที่ต้องการจะรู้ว่าคนเยอรมันคิดอย่างไร หนังสือเล่มนี้ก็น่าจะทำให้เห็นกรอบความคิดของเขาเพิ่มขึ้น
|