หนุ่มสาวดัดจริต > ปัญจศร

ปัญจศร หรือ ศรทั้งห้าแห่งปัญญา เป็นชื่อในภาษาเยอรมันของหนังสือ Die fuenf Pfeiler der Weisheit โดย ติช นัท ฮันห์พระภิกษุชาวเวียดนาม ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มชาวตะวันตกที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งสังฆะและสถานที่ปฏิบัติธรรม หมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศส อเมริกา และออสเตรเลีย ทั้งเป็นกวีและนักเขียน จึงมีงานเขียนตีพิมพ์ออกมาจำนวนมาก และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยศีลห้าโดยเฉพาะ เมื่อแรกที่ท่านผู้เขียนดำริว่าน่าจะนำหลักศีลห้ามาตีความ และประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย สานุศิษย์ของท่านก็ขมวดคิ้ว โดยเหตุที่เขาเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับชาวไทยที่ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ว่าศีลห้าก็คือข้อห้าม ห้ามทำโน่นทำนี่ แล้วจะกลายมาเป็นหลักปฏิบัติให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างไร

แต่ภายหลังที่ท่านได้ขยายความให้ฟัง ก็รู้สึกว่าจะเป็นที่น่าทึ่งยิ่งนัก เพราะการตีความแบบใหม่นั้นครอบคลุมกับภาวะของยุคสมัยปัจจุบัน และมองเห็นภาพชัดเจนยิ่งกว่าคำสอนแบบเดิม

ไม่ว่าจะเป็นศีลปาณาติบาต ที่เราเข้าใจมาแต่เดิมว่าห้ามทำลายชีวิต ท่านขยายความไปถึง การเรียนรู้ที่จะปกป้องสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ ศีลข้อห้ามลักทรัพย์ ก็รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชัน ความอยุติธรรมทางสังคม ศีลข้อสามยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศของเด็ก ศีลข้อสี่ก็มิได้หมายถึงการห้ามกล่าวเท็จแต่เพียงอย่างเดียว หากยังรวมไปถึงการตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะพูดแต่ความจริง และถ้อยคำที่ก่อให้เิกิดความหวัง เบิกบาน และไม่ควรกระพือข่าวที่ตนเองไม่รู้แน่ชัด ตลอดจนละเว้นวาจาที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก ส่วนศีลข้อสุดท้ายมิได้หมายถึงข้อห้ามจากสุราเครื่องดื่มมึนเมาเหมือนแต่เดิม หากยังขยายความไปถึงการบริโภคที่ไม่เหมาะสม ทั้งต่อร่างกายและจิตวิญญาณของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือ ภาพยนตร์ และการสนทนา

ดังนี้ จะเห็นได้ว่า ศีลห้าได้ถูกตีความใหม่ในลักษณาการที่คนร่วมสมัยเข้าใจได้ ทั้งนี้ วิถีชีวิตปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ชีวิตและสังคมมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น การมองเห็นความผิดบาปหรือความเบียดเบียนที่มนุษย์สามารถกระทำต่อผู้อื่นนั้น เป็นไปได้ยากขึ้นตามลำดับ การอ่านหนังสือเล่มนี้ช่วยขยายโลกทัศน์ในการมองโลกและพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุและผลได้อย่างลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความเข้าใจมากขึ้น

ความโดดเด่นในท่วงทำนองการเขียนของติช นัท ฮันห์นั้น น่าจะอยู่ที่การทำให้เราประจักษ์่ว่า การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถกระทำได้ในทุกปัจจุบันขณะ และแม้ในการดำรงชีวิตประจำวันปรกติธรรมดา โดยมิจำเป็นว่าต้องไปที่วัดหรือแสวงหาสถานที่เพื่อสร้างความสงบภายใน การอธิบายธรรมะของท่านเป็นที่เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับยุคสมัย จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เหตุใดคำสอนของท่านจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมชาวตะวันตก

หนังสือธรรมะนั้นมีข้อแตกต่างจากหนังสือประเภทอื่นอยู่ข้อหนึ่งตรงที่ว่า ผลของหนังสือมิได้อยู่ที่ความอิ่มเอมทางความคิดหรืออารมณ์ ผู้อ่านมิอาจบรรลุโสดาบันได้จากการอ่านหนังสือธรรมะดี-ดี เพราะการทำหรือการเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นต้องเกิดจากจิตใจ ที่พิจารณาเหตุและผลอย่างแยบคาย โดยเหตุที่ทุกวันนี้เรามีวิธีที่จะพัฒนาสมองไปได้มาก แต่การพัฒนาจิตใจนั้นมิอาจจะเกิดจากความคิดแต่เพียงอย่างเดียวได้ หากแต่ต้องเกิดจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

การที่ข้าพเจ้าแนะนำหนังสือเล่มนี้ก็โดยเหตุที่ว่า หนังสือธรรมะเล่มนี้ไม่ได้เป็นยาขมของคนรุ่นใหม่ ทั้งเป็นโอกาสที่ชาวไทยพุทธจะได้รู้จักธรรมะจากสายมหายานบ้าง ว่าเขามีดีอย่างไร ข้อไหนน่าสนใจควรที่จะมาเรียนรู้แลกเปลี่ยนสนทนาระหว่างกันต่อไปในอนาคต

 

ศีลห้า

ศีลข้อที่ ๑

ตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการทำลายชีวิต ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะบ่มเพาะความกรุณา และเรียนรู้วิธี ที่จะปกป้องชีวิต ผู้คน สรรพสัตว์ พืชพันธุ์ และแร่ธาตุ ข้าพเจ้าตั้งจิตมั่นที่จะไม่ทำลายชีวิต ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นทำลายชีวิต รวมทั้งจะไม่ส่งเสริมการทำลายชีวิตใด ๆ ในโลกนี้ โดยทั้งความคิดและในทางปฏิบัติ

ศีลข้อที่ ๒

ตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการหาประโยชน์ส่วนตัว ความอยุติธรรมทางสังคม การลักขโมย และการกดขี่ ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะทำทานด้วยการแบ่งปันเวลา พลังและทรัพย์สินให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็น ข้าพเจ้าตั้งจิตมั่นว่าจะไม่ลักขโมย และไม่ครอบครองสิ่งที่ควรเป็นของผู้อื่น ข้าพเจ้าจะเคารพทรัพย์สินของผู้อื่น และจะคอยปกป้องไม่ให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของมนุษย์ หรือ สรรพสัตว์อื่น ๆ

ศีลข้อที่ ๓

ตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการประพฤติผิดในกาม ข้าพเจ้าตั้งปฏิญาณว่า จะบ่มเพาะความรับผิดชอบ และการเรียนรู้วิธีที่จะปกป้องความมั่นคง และความซื่อสัตย์ของปัจเจกบุคคล คู่สมรส ครอบครัว และสังคม ข้าพเจ้าตั้งจิตมั่นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวมีเพศสัมพันธ์ โดยปราศจากซึ่งความรักและการมีพันธะสัญญาระยะยาวต่อกัน หากแต่จะเคารพในพันธะสัญญาของตัวเองและผู้อื่น เพื่อถนอมความสุขของตนเองและผู้อื่นไว้ ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่าง ตามกำลังความสามารถ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนปกป้องไม่ให้คู่สมรสและครอบครัวต้องแตกแยก เนื่องจากการประพฤติผิดในกาม

ศีลข้อที่ ๔

ตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการกล่าวถ้อยคำที่ขาดความยั้งคิด และระคายหูผู้อื่น ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า จะบ่มเพาะวาจาที่ไพเราะและตั้งใจฟังอย่างมีสติ เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุขเบิกบาน ตลอดจนช่วยแบ่งเบาทุกข์ของพวกเขา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าคำพูดสามารถก่อให้เกิดความสุขและความทุกข์ จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริง ด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ ตลอดจนละเว้นจากการกล่าววาจาที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก ไม่ปรองดองกัน หรือทำให้ครอบครัว ชุมชนต้องแตกแยกร้าวฉาน ข้าพเจ้าจะพยายามทุกวิถีทางที่จะประนีประนอม และแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กก็ตาม

ศีลข้อที่ ๕

ตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากการบริโภคที่ขาดสติ ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะบ่มเพาะสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ เพื่อตัวเอง ครอบครัว และสังคม ด้วยการกิน ดื่ม บริโภคอย่างมีสติ พร้อมทั้งจะรับเอาแต่สิ่งที่จะช่วยถนอมความสงบสุข ความเบิกบานให้แก่ร่างกายและวิญญาณของตัวเอง ครอบครัว และสังคม ข้าพเจ้าตั้งจิตมั่นว่าจะไม่ใช้แอลกอฮอล์ สิ่งเสพติดอื่นใด หรือการรับอาหารและสิ่งให้โทษ อย่างเช่นรายการโทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือ ภาพยนตร์ และการสนทนาบางประเภท เพราะตระหนักรู้ว่า การทำร้ายร่างกายและวิญญาณของตัวเอง ด้วยสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเหล่านี้ เท่ากับเป็นการทรยศต่อบรรพบุรุษ พ่อแม่ สังคม และลูกหลานของตัวเอง ข้าพเจ้าจะพยายามแปรเปลี่ยนความรุนแรง ความกลัว ความโกรธ รวมทั้งความสับสนในตัวเองและสังคม โดยละเว้นจากการบริโภค สิ่งที่เป็นพิษภัยเพื่อตัวเองและสังคม ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า การบริโภคอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคม

โดย ติช นัท ฮันห์
แปลโดย ภิกษุณีนิรามิสา

กี่ยวกับผู้เขียน

ติช นัท ฮันห์ - Thich Nhat Hanh

พระภิกษุเซ็นชาวเวียดนาม เป็นกวี เป็นนักเขียน เป็นพระภิกษุที่บุกเบิกความคิดที่ว่า พุทธศาสนาจำเป็นต้องรับใช้สังคม พุทธธรรมเป็นสิ่งที่สามารถประยุกต์ใช้ให้เข้ากับยุคสมัยได้ ทั้งเน้นการสร้างสังฆะ คือชุมชนที่มีจุดยืนหรือเป้าหมายร่วมกันในการปฏิบัติธรรม ในยุคสงครามเวียดนามท่านถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลเวียดนามทั้งสองฝ่าย เนื่องจากเป็นผู้นำในการเรียกร้องสันติภาพ แม้ท่านจะพยายามชี้ให้เห็นว่าศัตรูของมนุษย์ที่แท้ มิใช่มนุษย์ด้วยกัน หากคือความโกรธ ความเกลียดชัง ภายในจิตใจของมนุษย์เอง แต่ชนชั้นผู้นำขณะนั้นก็ยังหวาดระแวงท่าน เมื่อท่านเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนชาวพุทธ ในการเจรจาจัดทำข้อตกลงสันติภาพปารีสระหว่างสงครามเวียดนาม รัฐบาลขณะนั้นก็มีคำสั่งห้ามให้กลับเข้ามา ท่านจึงต้องลี้ภัยการเมืองอยู่ต่างประเทศนับแต่นั้น และตั้งสังฆะหรือชุมชนในการปฏิบัติธรรมที่เข้มแข็งในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมชาวตะวันตก หมู่บ้านพลัมนั้นตั้งอยู่ทั้งสามทวีป คือในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เคยเสนอชื่อท่านให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ผลงานหนังสือของท่านเป็นที่นิยมอ่านแพร่หลาย ดังเช่น เรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ เดิน: วิถีแห่งสติ เธอคือศานติ ปลูกรัก

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๗