หนุ่มสาวดัดจริต > ส่วนหนึ่งและทั้งหมด

หนังสือเล่มนี้มีต้นฉบับเดิมเป็นภาษาเยอรมัน Der Teil und das Ganze เขียนโดย แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก นักฟิสิกส์คนสำคัญของเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ว่าด้วยบทสนทนาในแวดวงฟิสิกส์อนุภาค และอัตชีวประวัติบางส่วนของไฮเซนแบร์กเอง ให้ภาพของประวัติศาสตร์การพัฒนาความคิด ทางฟิสิกส์อนุภาคสมัยใหม่ โดยประกอบด้วยทัศนะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ปรัชญา การเมือง ศิลปะ ทั้งนี้ มีลำดับการดำเนินเรื่อง ตั้งแต่ตอนไฮเซนแบร์กตัดสินใจเลือกเรียนสาขาฟิสิกส์ ในมหาวิทยาลัย มีประสบการณ์ได้แลกเปลี่ยนความคิด กับนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญร่วมสมัย อย่างนีลส์ บอห์ร อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โวล์ฟกัง พอลลี มักซ์ พลังก์ คาร์ล ฟรีดดริค โฟน ไวแซคเคอร์ เป็นต้น โดยมีความตึงเครียดทางการเมือง ในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่สองเป็นฉากหลัง

งานเขียนเล่มนี้ของไฮเซนแบร์กกล่าวอ้างอิงถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เราสามารถสัมผัสได้ถึงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาได้อย่างเด่นชัด ตัวไฮเซนแบร์กเองช่วงวัยรุ่นก็มีความกระตือรือล้นสนใจในสิ่งใหม่ นอกจากฟิสิกส์แล้ว ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมในการรวมตัวกันของยุวชนเยอรมัน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นักศึกษาวิชาฟิสิกส์ยุคนั้นแม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็ประกอบด้วยคนรุ่นหนุ่มที่มีพลังแห่งความมุ่งมั่น ตัวเขาเองแม้จะไม่ได้รับความสนใจจากอาจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งออกจะมีทัศนะดูแคลนฟิสิกส์ ซึ่งเป็นศาสตร์อายุน้อยอยู่มาก แต่ก็มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ดี อย่างโซมเมอร์เฟลด์ ที่ให้กำลังใจ คอยชี้แนะแนวทาง ด้วยความสนับสนุนและการแนะนำของโซมเมอร์สเฟลด์ ไฮเซนแบร์กเองมีโอกาสได้พบกับนีลส์ บอห์ร นักฟิสิกส์อาวุโสชาวเดนมาร์ก ผู้ได้กลายเป็นกัลยาณมิตรสนิทยิ่งของเขาในภายหลัง

ไฮเซนแบร์กรุ่นหนุ่ม มีโอกาสพบปะกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของยุคนั้นอีกหลายคน ตัวเขาเองก็เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกิททิงเงน ภาระงานสอนนักศึกษาฟิสิกส์ที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดไม่หนักหนามากนัก เขาจึงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ ในการใช้ความคิดเกี่ยวกับฟิสิกส์ควอนตัม ร่วมกับนักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์ร่วมสมัย แม้ไอน์สไตน์จะไม่ใคร่เห็นด้วยนัก กับการใช้ทฤษฎีความเป็นไปได้ในทางฟิสิกส์ แต่ไฮเซนแบร์กกับมวลมิตร ก็ได้วางรากฐานสำคัญ ในการพัฒนาความคิดด้านฟิสิกส์ควอนตัมขึ้นมา

ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจ ว่าจะอยู่ในเยอรมัน หรือลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ดังเช่นเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ถูกกดดันทางการเมือง ไฮเซนแบร์กปฏิบัติตามคำแนะนำของมักซ์ พลังก์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ผู้เสนอให้เขาอยู่เป็นหลัก ในการรวบรวม และสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของเยอรมัน ในวิกฤติช่วงนี้ อย่างน้อย ก็อาจจะช่วยควบคุมทิศทางการวิจัย ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเอง และบูรณะวงการวิทยาศาสตร์เยอรมันขึ้นมาใหม่ช่วงหลังสงคราม ขณะนั้นวงการฟิสิกส์ค้นพบการแตกตัวของยูเรเนียมโดยอ็อตโต ฮันห์ ในเยอรมัน และพบว่าสามารถพัฒนาไปเป็นอาวุธสงครามประสิทธิภาพสูงได้ แต่กลุ่มนักฟิสิกส์ในเยอรมันก็มองว่ายังคงต้องอาศัยเวลาในการวิจัยอีกมาก ไฮเซนแบร์กก็ยืนยันกับรัฐบาลของตนในขณะนั้นว่ายังไม่อาจจะทำได้ อย่างไรก็ตาม ข่าวการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ของอเมริกา ทำลายเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ นั้นสั่นสะเทือนความรู้สึกของกลุ่มนักฟิสิกส์ค่อนข้างมาก

ไฮเซนแบร์กเอง มีความโน้มเอียงทางความคิดไปในทางที่มองว่า ทางอเมริกามีความคิดแบบ Pragmatik อยู่มาก จึงพร้อมจะยอมรับเทคโนโลยี และวิทยาการใหม่ โดยปราศจากการไตร่ตรองถึงผลสุดท้ายโดยรวม และความตึงเครียดระหว่างสงครามก็มีอยู่มาก ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมันเองเป็นผู้ค้นพบความรู้ ที่เป็นกุญแจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธปรมาณู กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในอเมริกาก็คงหวั่นกลัวว่า เยอรมันอาจจะพัฒนาอาวุธนี้ขึ้นมาได้ แต่ก็คงไม่คิดว่าจะมีการใช้อาวุธนี้ขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดการทำลายล้างชีวิตมนุษย์มหาศาล เขาและกลุ่มเพื่อนยังมองว่า นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปยังไม่มีอำนาจต่อรอง ห้ามมิให้รัฐบาลของตนก่อสงครามเลย นักวิทยาศาสตร์ในอเมริกาก็คงอยู่ในสภาพเดียวกัน เขายังแสดงความเห็นใจว่า นักวิทยาศาสตร์ในอเมริกาก็คงรู้สึกเศร้าเสียใจมาก ต่อสิ่งที่เกิดจากผลการวิจัยของตนเอง ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าโชคดีกว่า ที่ไม่ได้ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนั้น แม้จะอยู่ในฝ่ายที่แพ้สงครามก็ตาม

หลังสงครามไฮเซนแบร์กได้พยายามก่อตั้งสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใหม่ หนึ่งในนั้นคือ สถาบันวิจัยมักซ์-พลังก์ ซึ่งกลายเป็นสถาบันวิจัยสำคัญของเยอรมันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เขาทุ่มเทให้กับการสร้างบุคลากร และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เสียยิ่งกว่าการค้นคว้างานวิจัย เพราะเยอรมันสูญเสียนักวิทยาศาสตร์ และชนชั้นปัญญาชนไปเป็นจำนวนมาก ช่วงสงคราม ตัวเขาเองและมิตรสหายได้แสดงบทบาททางการเมืองอย่างแข็งขัน โดยแสดงจุดยืนที่จะไม่ให้เยอรมันพัฒนาการวิจัยอาวุธปรมาณูขึ้นมา เพราะจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสงคราม และเป็นผลร้ายต่อประเทศในภายหลัง ตัวไฮเซนแบร์กก็รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐบาลระดับสูง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยอมรับว่า ปัญหาของประเทศ ไม่อาจใช้ปัจจัยทางวิทยาศาสตร์พิจารณาเพียงโดด ๆ ได้ ต้องมองร่วมกับปัจจัยอื่นอีกหลายประการ

หนังสือเล่มนี้แม้จะมีแก่นแกนเน้นหนักเรื่องฟิสิกส์อนุภาค แต่ก็แสดงให้เห็นว่า สาขาวิชาที่ค่อนไปในทางนามธรรมเข้าใจยากนี้ ก็ไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นได้เลย ทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ทางศาสนา ปรัชญา การเมือง ก็แนบแน่นไปกับการพัฒนาความคิดและทิศทางของการวิจัย เขายืนยันว่านักวิทยาศาสตร์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มีอคติและทัศนะที่บิดเบี้ยวทางศีลธรรมได้ นอกจากนี้ เรายังได้เห็นมิตรภาพระหว่างกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ที่งอกงามขึ้นจากการทำงานร่วมกันทำความคิด แม้จะต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา และได้เห็นความเป็นมนุษย์ ความมีชีวิตจิตใจของนักฟิสิกส์ร่วมสมัยของเขา ที่ได้กลายเป็นตำนานไปแล้วในยุคสมัยของเรา

เกี่ยวกับผู้เขียน

แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก เกิดเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๐๑ ที่เมืองเวือร์ซบวร์ก เป็นผู้ร่วมก่อตั้งวิชาฟิสิกส์ควอมตัมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปีค.ศ. ๑๙๓๒ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๖ ที่เมืองมิวนิค



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗