บทละคร
นักฟิสิกส์ Die Physiker สุขนาฏกรรมสององก์จบ โดยฟรีดคริค
เดือเร็นมัทท์ นับตั้งแต่นำออกแสดงรอบปฐมทัศน์ที่โรงละครซูริค
สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยานยน ค.ศ. ๑๙๖๒ ก็ประสบความสำเร็จสูงสุด
และได้รับการนำไปแสดงในโรงละครแถบประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันอย่างแพร่หลาย
เฉพาะในเยอรมันก็มากกว่า ๕๐ แห่ง ถือได้ว่าเป็นบทละครภาษาเยอรมันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
บทละครได้ถูกตีพิมพ์ในปีเดียวกัน
มีการเปลี่ยนแปลงต้นฉบับหลายหน โดยมิได้เปลี่ยนเนื้อเรื่อง ฉบับแก้ไขในปีค.ศ.
๑๙๘๐ ถือว่าเป็นฉบับสมบูรณ์ เดือเร็นมัทท์เป็นผู้ตรวจแก้ด้วยตนเอง
โดยมีให้ความสำคัญกับรสทางวรรณกรรมมากกว่ารสทางการละคร ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างกัน
แก่นแกนของเรื่อง
ว่าด้วยการตั้งคำถาม ต่อความรับผิดชอบของมนุษย์ ในการปกป้องโลก และมนุษยชาติ
ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากความรู้ของตน แม้ว่าเนื้อหาทางวิชาการของแต่ละสาขาวิชา
จะเป็นเรื่องของนักวิชาการ หรือผู้ชำนาญการในสาขานั้น แต่ผลกระทบจากการใช้ความรู้เป็นเรื่องของมนุษย์ทุกฝ่าย
บางทีเราอาจจะพบว่า บางเรื่องบางอย่างเราไม่อาจจะเสี่ยงได้ ดังเช่น
ชะตากรรมของมนุษยชาติ แม้จะเป็นไปเพื่อบรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่าจุดสุดยอดทางวิชาการ
บางทีการละทิ้งความรู้บางอย่าง ก็อาจนำไปสู่การเข้าถึงปัญญาญานอื่นได้
เมอบิอุส
นักฟิสิกส์ผู้ซึ่งค้นพบทฤษฎีอันน่าแตกตื่นของโลก เขาเป็นผู้นำมนุษยชาติมาถึงสุดขอบแห่งความรู้ตน
อัจฉริยะผู้เปรื่องปราดผู้นี้ แม้จะเข้าถึงสิ่งอันเป็นยอดปรารถนาของเพื่อนร่วมวิชาชีพด้วยกัน
แต่เขาก็ต้องจ่ายคุณค่านี้ออกไปเช่นกัน เขาต้องทอดทิ้งครอบครัว ได้เลือกที่จะเป็นคนวิกลจริต
ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เลือกที่จะทำลายความรู้ แทนที่จะปล่อยให้ความรู้ออกไปทำลายมนุษยชาติ
เลือกที่จะเป็นฆาตกรที่มีความหมาย แทนที่จะทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไร้ความผิด
เขาและผองเพื่อน
- ไอน์สไตน์และนิวตัน เป็นผู้ป่วยในความดูแลของจิตแพทย์หญิงมาธิลเด
โฟน ซาห์นด์ หมอรักษาคนบ้าผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค เหตุฆาตกรรมในโรงพยาบาลบ้าอันมีชื่อเสียงนี้
ทำให้สารวัตรสอบสวน โฟส ต้องเข้ามาสืบหาสาเหตุที่แท้จริง โมนิคา
นางพยาบาลผู้เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อความรัก แม้จะเป็นความรักที่มีต่อคนวิกลจริตก็ตาม
ตัวละครเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของบทสนทนาที่แหลมคมยอกย้อน บทพูดที่สลับบทตัวละครอย่างต่อเนื่อง
นอกจากจะช่วยให้เกิดเสียงหัวเราะหึ-หึเวลาอ่าน ยังเน้นให้เห็นพาราด็อกซ์ของละคร
การดำเนินเรื่องแบบหักมุมเกือบทุกตอนก็ทำให้ต้องทำตาปริบ ๆ อยู่บ่อยครั้ง
หนังสือเล่มนี้ไม่หนาสักเท่าไหร่
สักวันคงมีคนแปลเป็นภาษาไทยออกมา
ฟรีดดริค
เดือเร็นมัทท์ - Friedrich Duerrenmatt

|