หนุ่มสาวดัดจริต > จิ๋วแต่แจ๋ว เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ

หนังสือเล่มนี้พบโดยบังเอิญในร้านหนังสือเก่า รู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ยินชื่อเสียงของหนังสือและผู้เขียน คือ อี เอฟ ชูมัคเคอร์ มานานหลายปี ด้วยความที่เป็นหนังสือเก่าแก่ไม่อาจหาได้จากร้านหนังสือโดยทั่วไป และต้นฉบับหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าเลยมิได้กระตือรือล้นขวนขวายหามาอ่าน แม้ยุคปัจจุบันจะหาสั่งซื้อผ่านอินเทอร์เนตได้ง่ายก็ตาม แต่ในเมื่อฉบับภาษาเยอรมันโผล่มาทักทายให้เห็นอยู่ตรงหน้า Small is Beautiful. Die Rückkehr zum menschlichen Mass. จะไม่อ่านก็กระไรอยู่

พลิกดูปีที่พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. ๑๙๗๓ แปลเป็นภาษาเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๗ ส่วนฉบับภาษาไทยนั้นตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ภายใต้ชื่อว่า จิ๋วแต่แจ๋ว – เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ โดย สมบูรณ์ ศุภศิลป์ ทีแรกข้าพเจ้ายังชั่งใจ หนังสืออายุร่วมสามสิบปีแล้ว จะไม่ล้าสมัยไปสักหน่อยหรือ รู้สึกทอดถอนว่าทำไมไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ให้เร็วกว่านี้ เมื่อลองอ่านไปได้ราวห้าสิบหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องอ่านให้จบ แล้วก็ใจหายว่าถ้าคนไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาก หรือนักเศรษฐศาสตร์ได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพิ่มเติม จากการศึกษาเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในมหาวิทยาลัย สังคมไทยยุคธนบดีได้เป็นเอกอัครเสนาบดี ก็คงไม่บูชาเงินเป็นพระเจ้า และคงตระหนักเห็นโทษภัยของการพัฒนาที่ละทิ้งคุณค่าดีงาม อันเป็นวิวัฒนาการที่นำไปสู่ความวิบัติอย่างแท้จริง

อี เอฟ ชูมัคเคอร์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่ปฏิเสธหนทางแห่งความเป็นนักวิชาการบนหอคอยงาช้าง เขามุ่งแสวงหาความรู้จากประสบการณ์ตรง ความสนใจอันหลากหลาย ทำให้เขาปฏิเสธความเป็นเผด็จการทางสัจจะความรู้ ของผู้ชำนาญการเฉพาะทาง เขาไม่เชื่อว่า ความรู้ใดความรู้หนึ่งจะนำมนุษย์ไปสู่ความจำเริญได้ หากไม่พิจารณาถึงคุณค่าทางจิตวิญญานร่วมด้วย

ในหนังสือเล่มนี้ เขาชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบัน ว่าไม่อาจนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพของสังคม ในการอยู่ร่วมอย่างผสานสอดคล้องกับโลกกับมนุษย์ด้วยกันเอง อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงได้ อำนาจในการพิจารณา “ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ” ที่ตกอยู่ในมือของนักเศรษฐศาสตร์จำต้องถูกตรวจสอบอย่างถ่องแท้ ว่ามีปัจจัยในการพิจารณาครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ มิใช่ละทิ้งคุณค่าความดีงาม ดังที่ปรากฏอยู่ในรูปของ ประชาธิปไตย ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มาตรฐานการครองชีพ การตระหนักรู้ในตนเอง หรือเบียดเบียนทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน ทั้งที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่ และคนรุ่นหลังที่ยังมิได้ถือกำเนิด เราจำต้องตระหนักว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของมนุษย์ในการพัฒนาสังคม ต้องมองเห็นว่าทิศทางของการพัฒนานั้นจะนำเราไปสู่สังคมแบบใด

เขาได้ยกตัวอย่างคุณค่าที่อยู่ในศาสนา ในที่นี้คือ ศาสนาพุทธ ขึ้นมากล่าวถึงหนทางดำรงชีพอันชอบ เป็นทางสายกลาง เป็นสัมมาอาชีวะ ก่อตัวขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมและผู้อื่น คุณค่าทางจิตวิญญานเช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างขึ้น ด้วยการจัดระบบการศึกษาซึ่งปลูกฝังและระบบคุณค่าดีงามขึ้นมา มีจิตสำนึกในการบริโภคที่ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และมุ่งการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ร่วมด้วยเสมอ

จากประสบการณ์ในการเดินทางที่อินเดีย และการเป็นที่ปรึกษารัฐบาลอินเดีย เขาได้เสนอความคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ซึ่งมีต้นทุนต่ำ และเหมาะสมกับสภาพปัญหาของประเทศยากจน ที่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว เขากล่าวถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขนาดกลาง ความคิดนี้แม้จะถูกปฏิเสธในทีแรกแต่ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภายหลัง แม้ในการทำธุรกิจเขาก็เสนอแนวคิด และมีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัท ที่มิได้มุ่งหวังผลกำไรเป็นตัวเงิน ซึ่งมีเป้าหมายสี่ประการ คือ (๑) ทำธุรกิจโดยไม่ขาดทุน (๒) มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าเสมอ (๓) ผู้ร่วมงานมีความสุขความพอใจในการทำงานมีการพัฒนาตนเอง และ (๔) มีจิตสำนึกทางสังคมและการเมือง โดยมีกรอบในการปฏิบัติ คือ บริษัทมีขนาดกลาง มีตำแหน่งงานราว ๓๕๐ คน เพื่อที่จะมองเห็นความคิดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ถ้วนทั่ว ความแตกต่างระหว่างเงินเดือนต่ำสุดและสูงสุดไม่ควรเกินอัตรา ๑ ต่อ ๗ โดยไม่ขึ้นกับอายุ เพศ งาน หรือประสบการณ์ คนงานไม่อาจถูกไล่ออกด้วยเหตุผลส่วนตัว และสามารถลาออกจากงานได้ตามกำหนดที่เหมาะสม มีคณะกรรมการเลือกตั้งผู้อำนวยการ และไม่ขายสินค้าให้กับผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสงครามหรืออาวุธสงคราม เป็นต้น บริษัท Scott Bader Co. Ltd. ที่เขาร่วมก่อตั้งกับสก็อตต์ บาเดอร์ตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๒๐ ประสบผลสำเร็จอย่างสูง เป็นตัวอย่างยืนยันอันดี ถึงการปรับประยุกต์แนวคิดการทำธุรกิจ ที่ตั้งอยู่บนปรัชญาพื้นฐานของชูมัคเคอร์

ชูมัคเคอร์ยืนยันว่า เราจำต้องเปลี่ยนทัศนะที่ว่า เงินตราหรือทุนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เขาเสนอไม่ได้เป็นเพียงความคิดเลื่อนลอย หากแต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ แม้ชูมัคเคอร์จะมิได้มีบทบาทเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ความคิดเขาก็ดูเหมือนจะอยู่นอกกระแสหลัก แต่ชูมัคเคอร์กลับมีบทบาทอย่างมาก ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอังกฤษและเยอรมัน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขารับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐบาลในหลายองค์กร ทั้งอังกฤษ เยอรมัน อินเดีย และพม่า เคยทำงานด้านธุรกิจการลงทุน แม้กระทั่งไปเป็นเกษตรกรอยู่พักหนึ่ง ประสบการณ์ที่ผสานเข้ากับอัจฉริยภาพ ในการพิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน ได้ก่อตัวเป็นความคิด เรื่องการพัฒนาที่ไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม แม้ว่าเขาจะถึงแก่กรรมไปก่อนที่งานของเขาจะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าสามสิบปี ความคิดในงานเขียนเล่มนี้ของเขายังมีคุณค่ายิ่ง ทรงพลังยิ่ง ไม่ถือว่าเป็นงานล้าหลัง นับเป็นงานร่วมสมัยที่น่าให้ความสนใจทีเดียว

เกี่ยวกับผู้เขียน

แอร์นสต์ ฟรีดดริค ชูมัคเคอร์ เกิดวันที่ ๑๖ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๑ เมืองบอนน์ เยอรมนี เป็นบุตรคนที่สามของแฮร์มันน์ อัลแบร์ต ชูมัคเคอร์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน พี่น้องอีกสี่คน ประกอบด้วย คู่ฝาแฝดอีดิธ แฮร์มันน์ เอลิซาเบธ และแอร์นสต์ อีดิธ ชูมัคเคอร์ได้แต่งงานกับอีริค คูบี ผู้เป็นนักข่าวและนักเขียน ส่วนเอลิซาเบธแต่งงานกับแวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์กนักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล และมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษาทางควอนตัมฟิสิกส์

แฮร์มันน์ อัลแบร์ตเป็นครูที่ดี และเป็นบิดาที่เข้มงวด ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรชายค่อนข้างจะมีปัญหา ชูมัคเคอร์ตัดสินใจเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่เคยเข้าสอบ ไม่เคยเป็นนักวิชาการ มีความสนใจหลายด้าน ความคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ของเขาแตกต่างจากบิดา เขาไม่สนใจว่ากระบวนการทางเศรษฐกิจจะพัฒนาไปอย่างไร แต่มุ่งไปที่ว่าเศรษฐกิจควรจะเป็นอย่างไร ทั้งยังใฝ่ใจขวนขวายหาความรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งต่างจากบิดาโดยสิ้นเชิง

ช่วงปี.ศ. ๑๙๒๙ เขาศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบอนน์ และไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลินอยู่หนึ่งปี ก่อนที่จะได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในปีค.ศ. ๑๙๓๐ โดยเป็นนักเรียน ๑ ใน ๒ จากผู้สมัคร ๕๐๐ คน ไปศึกษาที่อังกฤษสองปี ได้มีโอกาสพบจอห์น ไมนาด เคนส์ จากนั้นช่วงค.ศ. ๑๙๓๒ – ๑๙๓๔ ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก ก่อนจะกลับมาเยอรมัน เข้าทำงานในบริษัทส่งออกของรูดอล์ฟ ปีเตอร์เซน นายกเทศมนตรีเมืองฮัมบวร์ก และแต่งงานกับอานเนมารี ลูกสาวของปีเตอร์เซน ในปีค.ศ. ๑๙๓๖ ผู้ซึ่งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่ชูมัคเคอร์รวมกันสี่คน

ปีถัดมาชูมัคเคอร์และครอบครัวได้อพยพหนีความวุ่นวายทางการเมืองไปอังกฤษ ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัทยูนิลีเวอร์ มีเพื่อนในแวดวงการเมืองและหนังสือพิมพ์จำนวนมาก ช่วงสงครามเขาได้มีโอกาสทำงานด้านเกษตรกรรม ซึ่งได้ให้ประสบการณ์ในการพัฒนาความคิด เรื่องการจัดการที่ดินเป็นอย่างมาก เขาถูกกักตัวอยู่ในค่ายเชลยสงครามอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกมา เพราะงานวิจัยว่าด้วยระบบบัญชีแบบใหม่ของเขา ที่ลอร์ดเคนส์นำเสนอต่อรัฐบาล ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะสมาชิกสถาบันสถิติของอ็อกซ์ฟอร์ด เข้าไปอยู่ในกลุ่มของลอร์ดบีเวอร์ริดจ์ ที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอังกฤษหลังสงคราม และด้วยการเสนอชื่อของลอร์ดบีเวอร์ริดจ์ ชูมัคเคอร์ผู้ซึ่งไม่เคยเข้าสอบ ไม่มีสัญชาติอังกฤษ ก็ได้กลายเป็นอาจารย์ ประจำมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๔๖

ชูมัคเคอร์ได้กลับเข้ามาในเยอรมันอีกครั้งหลังสงคราม รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับหลายองค์กร ทั้งกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและรัฐบาลเยอรมัน ความสนใจของชูมัคเคอร์นั้นมีหลากหลาย ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า พื้นฐานสำคัญของเศรษฐศาสตร์มีสามประการ ได้แก่ ความรู้ทางทฤษฎี ประสบการณ์จากภาคปฏิบัติ และการเขียนเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ ด้วยการวางตนในฐานะนักสังเกต และด้วยความสงสัยใคร่รู้ บทบาทของชูมัคเคอร์ที่เหมาะสมที่สุดเห็นจะเป็นที่ปรึกษาฯ เพราะเขามีศักยภาพในการรวบรวมข้อเท็จจริงหลายด้านเข้ามาไว้ด้วยกัน และนำเสนอให้ผู้อื่นมองเห็นภาพโดยชัดเจนขึ้น

ช่วงระหว่างปีค.ศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๗๐ เขาได้กลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการถ่านหินแห่งชาติ ของอังกฤษ จากนั้นจึงเป็นผู้อำนวยการสำนักงานสถิติ และหัวหน้าฝ่ายวางแผน ชูมัคเคอร์ทำหน้าที่ได้ย้ำเตือนถึงความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจที่ขึ้นกับน้ำมัน เตือนให้เห็นภัยของพลังงานนิวเคลียร์ และเมื่อได้เดินทางไปยังประเทศโลกที่สามบ่อยครั้ง ชูมัคเคอร์ก็ได้พัฒนาความคิดเรื่อง “จิ๋วแต่แจ๋ว” และ “เทคโนโลยีขนาดกลาง” ขึ้นมา ว่าด้วยวิถีของการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับประเทศเหล่านี้ เมื่อเขาได้รับเชิญไปที่อินเดียในปีค.ศ. ๑๙๖๐ เขาได้เดินทางในอินเดียด้วยเครื่องขนส่งคมนาคมนานับประเภท และเสนอความคิดเรื่องเทคโนโลยีขนาดกลางสำหรับเกษตรกรรมในอินเดีย ข้อเสนอนี้ครั้งแรกถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง จนเขาต้องออกมาจากที่ประชุมด้วยความหัวเสีย แต่สิบห้าเดือนหลังจากนั้น การประชุมทั้งหมดในอินเดีย ก็ว่าด้วยหัวข้อเทคโนโลยีขนาดกลางนี้

ชูมัคเคอร์รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษารัฐบาลอินเดียและพม่าด้วย มีบันทึกว่าเขาเคยฝึกปฏิบัติธรรมในวัดที่พม่าด้วย ในปีค.ศ. ๑๙๖๕ เขาได้ก่อตั้ง Intermediate Technology Development Group ในลอนดอน และมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งบริษัท Scott Bader Commonwealth ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินการแบบใหม่ที่ไม่มุ่งหวังกำไรเป็นตัวเงิน เขายังเป็นประธาน Soil Association ปีค.ศ. ๑๙๖๗ ก็ได้กล่าวปาฐกถาต่อต้านการใช้พลังงานปรมาณูอย่างรุนแรง

เขาเคยกล่าวถึงตัวเองว่า “นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ขององค์กรถ่านหินของรัฐบาลอังกฤษ ข้าพเจ้ายังมีอาชีพหลักอีกสามอาชีพ และถือว่าทั้งหมดทั้งนั้นเป็นดังงานอดิเรก” มิตรของเขาล้วนกล่าวตรงกันว่า เขาเป็นผู้ซึ่งไม่เชื่อในสัจจะความรู้ใดความรู้หนึ่ง เป็นผู้ชำนาญการที่หาตัวจับยากและมีความสนใจในการพัฒนาจิตวิญญาน เขาตีพิมพ์หนังสือเดินทางไปปาฐกถาหลายแห่ง ชูมัคเคอร์ได้เดินทางไปที่อเมริกาและได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าฟังปาฐกถาของเขากว่าหกหมื่นคน ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ก็เชิญเขาไปที่ทำเนียบ

หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง อีกสองปีถัดมาเขาได้แต่งงานใหม่กับเวเรนา โรเซนแบร์กเกอร์ และมีบุตรด้วยกันสี่คนเช่นเดียวกัน

ในช่วงท้ายของชีวิตเขาได้ปวารณาตนเป็นคาธอลิก ด้วยความที่ไม่เคยศรัทธาในการแพทย์สมัยใหม่ เขาไม่เคยเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ ในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟจากโลซานน์ไปซังค์ มอริตซ์ ชูมัคเคอร์ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุได้ ๖๖ ปี

 

 

 

 

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗