หนุ่มสาวดัดจริต > จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ

 

The Turning Point ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. ๑๙๘๒ และได้รับการแปลเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อ จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ โดย พระประชา สันธัมโม พระไพศาล วิสาโล และคณะ เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๙ หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองของฟริตจอฟ คาปรา นักฟิสิกส์ทฤษฎีผู้มีชื่อเสียง และเป็นนักคิดแถวหน้าของการคิดแบบองค์รวม เต๋าแห่งฟิสิกส์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของเขานั้น ได้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของฟิสิกส์ กับฐานความคิดในปรัชญาโบราณ โดยชี้ให้เห็นความโน้มเอียงของฟิสิกส์ยุคใหม่ ที่คล้ายคลึงกับความคิดดั้งเดิมเข้าไปทุกที เล่มที่สองของเขา กล่าวถึงกระบวนทัศน์สองแบบ ซึ่งมีพื้นฐานจากรากความคิดทางวิทยาศาสตร์สองยุค และยืนยันว่าเราจำต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม ่เพื่อก้าวผ่านวิกฤติแห่งยุคสมัยร่วมกัน

หนังสือแบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนแรกว่าด้วยภาวะวิกฤติซึ่งเป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เขากล่าวถึงวิกฤติแห่งยุคสมัยอันเกิดจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำลายล้าง การบริโภคอันก่อให้เกิดหายนะต่อสิ่งแวดล้อม โครงสร้างทางวัฒนธรรม และระบบคุณค่าในสังคมที่บิดเบี้ยวเหล่านี้ ก่อให้เกิดการมองแบบแยกส่วน อันเป็นเหตุที่มาของวิกฤติอย่างแท้จริง

ส่วนที่สอง เขากล่าวถึงความเป็นมา และลักษณะของกระบวนทัศน์สองแบบ ได้แก่ วิทยาศาสตร์เก่าตามแบบกลศาสตร์ของนิวตัน และวิทยาศาสตร์ใหม่ตามแบบควอนตัมฟิสิกส์ กลศาสตร์ของนิวตันก่อให้เกิดการมองโลก เป็นดังเครื่องจักรกลที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ประกอบเข้าด้วยกัน แต่ควอนตัมฟิสิกส์ก่อให้เกิดการมองโลก เป็นดังปรากฏการณ์ที่ปราศจากการดำรงอยู่ของตัวตนที่แน่นอน และเชื่อมกันอยู่ด้วยปรากฏการณ์ไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ คาปรามิได้กล่าวว่าวิทยาศาสตร์ใหม่นั้นดีกว่าวิทยาศาสตร์เก่า เป็นแต่ว่า วิทยาศาสตร์ทั้งสองแบบใช้อธิบายชุดความจริงที่ต่างกัน มนุษย์ย่อมเข้าถึงความจริงได้ ผ่านวิทยาศาสตร์ทั้งสองแบบในระดับที่แตกต่างกัน

ในส่วนถัดมา เขากล่าวถึงผลกระทบของการมองโลกแบบแยกส่วน ตามแบบกลศาสตร์ของนิวตันในสาขาวิชาต่าง ๆ ดังเช่น ชีววิทยา แพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ จิตเวชวิทยา เศรษฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในที่สุด เพราะรากความคิดเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในตัวเราอย่างแยกไม่ออก และจะแสดงออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างที่เศรษฐศาสตร์ปฏิเสธปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม โดยมิได้คำนึงถึงว่าเป็นปัจจัยที่พึงพิจารณาร่วมด้วย หรือแม้จะกล่าวว่าการทดลองจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ทิศทางการวิจัยนั้นย่อมเป็นไปตามกรอบความคิดและมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจรู้ตัวได้เช่นกัน

ด้วยทัศนะการมองโลกแบบใหม่ ดังที่เขาอธิบายไว้ในตอนท้าย เราจำต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ มองเห็นความเชื่อมโยงของทุกสิ่ง เห็นความเป็นชีวิตที่สัมพันธ์กับโลกในทุกด้าน อันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในวิทยาการสมัยใหม่หลายด้าน ทั้งทางชีววิทยาที่ว่าด้วยนิเวศน์วิทยาแนวลึก ทฤษฎีกายาที่ว่าด้วยโลกมีชีวิต การจัดการสาธารณสุขแบบองค์รวม การบำบัดรักษาทางกายผสานกับทางจิตไม่แยกจากกัน การปรับใช้เทคโนโลยีแบบยั่งยืน เป็นต้น

ฉบับภาษาเยอรมัน Wende Zeit นั้น คาปราได้เพิ่มเติมบทนำว่าด้วยความเป็นมาของความคิดแบบองค์รวมในเยอรมัน และบทปิดท้ายว่าด้วยกระบวนการทางนิเวศน์ตลอดจนทางเลือกในเยอรมัน พร้อมทั้งตัวอย่างการพัฒนา โครงการ และเอกสารตีพิมพ์ ถือว่าเป็นการขยายความเชื่อมกับรากความคิดในวัฒนธรรมเดิมของผู้อ่าน ก่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งเชื่อมโยงขึ้น ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่านฉบับภาษาไทย แต่ก็คิดว่า หากมีบทความเขียนอธิบายความเป็นมาความคิดแบบองค์รวมในเมืองไทย และตัวอย่างแบบรูปธรรม ของกระบวนการดำเนินงานแบบองค์รวมในเมืองไทยเพิ่มเติม ก็คงเป็นการดีไม่น้อย

หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าเจอโดยบังเอิญในร้านแขกตุรกีขายของชำ จึงถือว่าบังเอิญยิ่งกว่าบังเอิญ เพราะปรกติข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกค้าของร้านนี้ และร้านนี้ปรกติไม่ขายหนังสือ แต่วันนั้นสะดุดตาที่เห็นแผงลอยวางหนังสือเก่าอยู่หน้าร้าน ชั่วแวบที่เหลือบมองก็เห็นหนังสือเล่มนี้พอดี หยุดยืนตาโตด้วยความประหลาดใจ เพราะข้าพเจ้าเพิ่งเดินออกมาจากร้านหนังสือ ไปลูบคลำเล่ม Hidden Connection เล่มล่าสุดของคาปราอยู่ แต่หนาเหลือเกิน แถมเป็นปกแข็ง ขี้เกียจขนสมบัติบ้า และยังไม่อยากเสียกะตังค์ แต่เจ้าโชคดีก็ทำให้ต้องควักกะตังค์ให้แขกด้วยราคากาแฟแก้วหนึ่ง

ขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบาน และก็รู้สึกว่าคาปราเขียนเล่าอธิบายอะไรได้ละเอียดละออ โดยเฉพาะส่วนที่ว่าด้วยภาพรวมของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์นั้น ให้ภาพชัดเจนมาก และไม่สับสนเลย ปรกติข้าพเจ้ารังเกียจวิชาฟิสิกส์ เพราะรู้สึกว่าความรู้เรื่องอนุภาคและจักรวาลนั้น ไม่ทำให้มนุษย์รู้สึกเชื่อมโยงกับโลกเหมือนความรู้ทางนิเวศน์ หรือไม่ตระหนักถึงผลกระทบต่อโลกเหมือนความรู้ทางเคมี แต่เมื่อคาปราอธิบายเรื่องควอนตัมฟิสิกส์ ข้าพเจ้าก็รู้สึกสว่างไสว เหมือนเดินจากที่มืดสู่ที่สว่าง ฟิสิกส์ไม่ได้เป็นวิชาที่ล้าหลังอีกต่อไป ควอนตัมฟิสิกส์นั้นให้ภาพงดงามยิ่ง ในการยอมรับความไร้ตัวตน และยืนยันความคิดที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง และทุกสิ่งนั้นล้วนอาศัยสิ่งอื่นในการเกิด ข้าพเจ้าสงสัยใจอยู่ว่า ความชื่นชมนี้เกิดจากการพบว่า ควอนตัมฟิสิกส์ตรงตามหลักพุทธหรือไม่ ข้อสงสัยนี้ข้าพเจ้าโยนทิ้งไปในไม่ช้า เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคาปราคงตื่นเต้นในข้อนี้เช่นเดียวกัน

กระบวนทัศน์นั้นสำคัญมาก การอ่านหนังสือเล่มเดียว คงไม่อาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากแยกส่วน ไปเป็นแบบองค์รวมได้อย่างฉับพลันทันที หากการใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงเหตุและผล อย่างลึกซึ้งชัดเจนต่างหาก ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความคิดและการกระทำของเรา เมื่อฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ก็จักฝังรากกลายเป็นนิสสัยสันดาน กลายเป็นสัญชาตญาน เมื่อนั้นคงเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

 

เกี่ยวกับผู้เขียน

ฟริตจอฟ คาปรา เกิดปี ค.ศ. ๑๙๓๙ เมืองเวียนนา ออสเตรีย ภายหลังจบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ทฤษฎีจากมหาวิทยาลัยเวียนนา ก็ได้รับตำแหน่งเป็นอาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ดังที่ ปารีส ซานตา ครูซ สแตนฟอร์ด และลอนดอน นอกจากงานทางด้านพลังงานระดับสูง และฟิสิกส์อนุภาคแล้ วคาปรายังให้ความสนใจกับทางปรัชญา และผลกระทบทางสังคมของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทั้งฟิสิกส์และทฤษฎีระบบกับนิเวศน์วิทยา เขาได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้นำทางความคิดและการตีความทางความคิดแบบองค์รวม

หนังสือเล่มแรกของเขาคือ เต๋าแห่งฟิสิกส์ ว่าด้วยความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างฟิสิกส์กับปรัชญาดั้งเดิมทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษเป็นหนังสือเล่มที่สอง อีกหลายเล่มถัดมาคือ ความคิดใหม่ ข่ายใยชีวิต และความเชื่อมโยงซ่อนกาย

ปัจจุบันคาปราพำนักอยู่ที่เบิร์กเลย์ คาลิฟอร์เนีย และทำงานวิจัยที่สถาบันวิจัยลอว์เรนซ์ เบิร์กเลย์

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗