หนุ่มสาวดัดจริต > เหตุเกิดกรุงเทพฯ : หญิงสาวของผม ความรุนแรงเดือนตุลา และคอนเสิร์ตเจ้าฟ้า

เพื่อน ๆ ครับ

ต้นเดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสกลับไปเมืองไทย เดือนนี้เป็นเดือนตุลา เดือนที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญเกิดขึ้นถึงสองเหตุการณ์ คือ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519

ปีนี้ครบรอบ 25 ปี "6 ตุลา 19" คนเดือนตุลาหลายคน ก็กำลังมีบทบาทสำคัญอยู่ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน อย่างสุธรรม แสงประทุม อดีตผู้นำนักศึกษา พ.ศ. 2519 ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย ปีนี้เป็นปีแรกที่รัฐบาลรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดงานรำลึกเดือนตุลา มีงบประมาณมาสนับสนุนหลายล้าน โปรแกรมการจัดงานยาวตั้งแต่วันที่ 5-14 ตุลาคม เลยทีเดียว วันสุดท้ายมีการเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา อย่างเป็นทางการโดยนายกรัฐมนตรีฯ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับญาติวีรชน

บางคนอาจจะยังงงอยู่บ้าง ว่า "14 ตุลา 16" กับ "6 ตุลา 19" เป็นเหตุการณ์อย่างไหน เกี่ยวข้องหรือแตกต่างกันอย่างไร ขออนุญาตอธิบายคร่าว ๆ นะครับ

ช่วงปี พ.ศ. 2516 เกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง นำโดยนิสิตนักศึกษาและประชาชน ต่อต้านรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร สถานการณ์ระหว่างรัฐบาลผู้ชุมนุมประท้วงตึงเครียดขึ้นตามลำดับ มีการจับกุมผู้นำนักศึกษาหลายคน เป็นต้นว่า ธีรยุทธ บุญมี เสาวนีย์ ลิมปนนท์ แม้เมื่อปล่อยตัวผู้นำนักศึกษาเหล่านี้ออกมาแล้ว การเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้อง ให้ปล่อยตัวผู้นำศึกษาก็เปลี่ยนเป็นเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แกนนำสำคัญขณะนั้นก็คือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ในที่สุดก็เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับผู้รักษาความสงบในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มีการบาดเจ็บล้มตายกันมาก ผู้นำรัฐบาลในขณะนั้น ลาออกจากตำแหน่งและเดินทางไปต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ แต่ความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทยก็มิได้หมดสิ้นลงไป เพียงแต่รอเวลาปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งจอมพลถนอม กิตติขจรได้เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2519 โดยข้ออ้างว่าเพื่อมาบวชเณร นักศึกษาได้ชุมนุมประท้วงอีกครั้งหนึ่ง ศูนย์กลางการชุมนุมยังคงเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกเช่นเคย ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นตามลำดับ มีการเผชิญหน้าทางความคิดระหว่างกลุ่มนักศึกษา กับกลุ่มต่าง ๆ อันนำไปสู่เหตุการณ์ล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ซึ่งถือได้ว่าเป็นบันทึกแห่งความโหดร้ายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คนหนุ่มคนสาว พลังทางปัญญาของสังคมไทยได้เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์นี้เป็นจำนวนมาก และมีอีกมากหลายที่เลือกเดินทางเข้าป่า เพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เหตุการณ์สองเหตุการณ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่สังคมไทยยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เพราะไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึง อยากจะให้ลืมกันไปเสีย การชำระประวัติศาสตร์ก็ยังไม่สามารถกระทำกันได้ เพราะบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังมีชีวิตกันอยู่ แต่ตามความเห็นผม ประเด็นความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ บางทีอาจจะสำคัญน้อยกว่า สิ่งที่คนไทยควรจะเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดเห็นที่แตกต่างอย่างสันติ เรื่องเหลือเชื่อก็คือว่า ดูเหมือนเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากสองเหตุการณ์นี้เลย มิฉะนั้นแล้วเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก

ช่วงแรกที่อยู่เมืองไทยก็ได้แต่โต๋เต๋ไปมาตามประสาคนโสด ถึงแม้ว่าหญิงสาวนักกิจกรรมของผมเคยบอกไว้ก่อนกลับเมืองไทยว่า ถ้ามีเวลาก็ให้ลองแวะไปดูงานที่ธรรมศาสตร์บ้าง ผมก็รับปากและคิดแค่ว่า "ถ้ามีเวลา" ก็คงจะ "แวะไปดู" คือ ไม่ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจอะไรเป็นพิเศษ ที่จะไปร่วมงานรำลึกเดือนตุลา เหตุการณ์ในอดีตที่ไกลพู้นจากความรู้ความคิดของผม

แต่อาจจะเป็นโชคดีของผมก็ได้ หญิงสาวเธอมีโอกาสกลับมาเมืองไทยหลังจากนั้นไม่นาน มีหรือผมจะไม่ดีใจที่จะมีโอกาสพบเธอ ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์นัดเจอกันตอนบ่ายวันเสาร์ที่ 6 ตุลา ที่ธรรมศาสตร์ ผมก็เหมือนลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง ออกจากบ้านได้ก็มุ่งตรงไปธรรมศาสตร์ทันที

เจอหน้าปุ๊บ ยังไม่ทันทักทายอะไร เธอก็ลากผมเข้าหอ(ประชุมเล็ก) เพราะรายการเสวนา "การชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 2519 - ผลกระทบ 6 ตุลา ต่อสังคมไทย" กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บุกฝ่าหาที่นั่งที่เหลืออยู่ไม่กี่ที่ได้ พอนั่งลงเรียบร้อย ผมก็พยายามหาช่องทางส่งตาหวานให้เธอ โธ่เอ๋ย ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ตาเธอจ้องเวทีเป๋ง ฟังเสวนาตาไม่กระพริบเลย นี่ถ้ามีรีโมทคอนโทรลกายสิทธิ์ ผมอยากจะเนรมิตตัวเองให้ไปอยู่บนเวทีชะมัด

ด้วยความอยากจะมีส่วนร่วมกับเธอ ก็เลยหันไปสนใจบนเวทีบ้าง มีวิทยากรอยู่สี่ท่าน อ. (ขอโทษครับ ลืมชื่อไปแล้ว แต่ไม่ใช่ อ.ธงชัยหรอกครับ) วินิจจกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ วิทยากรท่านแรกคือ ศ.(พิเศษ) ดร. ชลธิรา สัตยารักษ์ ได้พูดถึงงานของคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลา ที่ผ่านมาให้ฟังโดยสรุป วิทยากรท่านถัดมาคือ คุณสุรพล ธรรมรมดี ออกตัวว่าเป็นพ่อบ้านที่เคยเป็น "คนเดือนตุลา" มาก่อน พูดถึงเหตุการณ์เดือนตุลาในความทรงจำ ต่อด้วย ดร.ไชยยันต์ ไชยพร เป็นอาจารย์สถาปัตย์ มามาดแปลก ผมยาว ท่าทางเซอร์ ๆ ถ่อมตัวว่าพูดไม่ค่อยเก่ง ก็เลยอ่านเรื่องสั้นให้ฟังแทน ตามด้วยคุณบัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ พูดเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน บทบาทของแรงงานต่อการเมืองไทย ปิดท้ายด้วย ผศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ ว่าด้วยการเรียนรู้ของสังคมไทย

เพื่อน ๆ งงบ้างไหมครับ ดูเหมือนจะพูดกันคนละเรื่อง คนละทิศละทาง ทั้งที่ทุกคนก็อยู่บนเวทีเดียวกัน และมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เดือนตุลาบ้างไม่มากก็น้อย ผมเองก็ยังงงเลย แต่สรุปกันกับหญิงสาวนักกิจกรรมของผมได้ว่า สังคมไทยทุกวันก็อย่างนี้แหละ มีความหลากหลายแตกต่างมากขึ้น และเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ให้ได้

ผมว่านะ สังคมไทยมีผู้เชี่ยวชาญเยอะเกินไปแล้วล่ะ เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่เรายังขาดพหูสูตรที่จะเชื่อมโยงความรู้ทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ หรือไม่ก็ขาดความเป็นสามัญชนธรรมดา ที่จะพดคุยปรับความเข้าใจกันด้วยสามัญสำนึกปรกติกระมัง

ตอนท้ายรายการ มีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังร่วมซักถาม บรรยากาศดูจะร้อนแรงขึ้นมาทันที เมื่อชายคนหนึ่ง ทราบทีหลังว่าคือ อ. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้พูดผ่านไมโครโฟนประโยคแรกว่า "ผมว่า งานรำลึกเดือนตุลาควรจะเลิกจัดได้แล้ว" เหตุผลของอาจารย์ที่น่ารับฟังพอสมควรก็คือ รูปแบบซ้ำซาก เดิม ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยน การชำระประวัติศาสตร์ก็ไม่สามารถทำได้ กลายเป็นประวัติศาสตร์อิหลักอิเหลื่อ น้ำท่วมปาก กันไป สู้ไม่รู้เลยยังจะดีกว่า พูดไปพูดไปหลายคนก็เริ่มโห่และไล่ไม่ให้พูดต่อ ที่ประทับใจผมมากเห็นจะเป็นความกล้าหาญของแก ที่ยืนพูดต่อและจบด้วยประโยคประมาณว่า "ตอนหกตุลา ฝ่ายซ้ายบอกว่า ฝ่ายขวาไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง จนทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น แล้วขณะนี้ ปัจจุบันนี้ สิ่งที่ผมได้รับการปฏิบัติอยู่ มันต่างจากที่ฝ่ายขวาทำกับฝ่ายซ้ายตรงไหน" เท่านั้นแหละครับ เสียงปรบมือก็ดังลั่นทั้งหอประชุม เยี่ยมจริง ๆ ครับ สปิริตของคนพูดและคนฟัง รวมทั้งผู้จัดงาน ที่อยู่บนเวทีด้วย

หลังจากนั้นผู้ฟังท่านอื่นก็ได้พูดบ้าง อ่านบทกลอนบ้าง ผมรู้สึกเสียดายบรรยากาศก่อนหน้านั้นไม่น้อย สัมผัสก็แต่ความทุกข์ทรมานในบ่วงแห่งความทรงจำอันโหดร้าย ความโกรธแค้น และเกลียดชัง ประการหลังไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นในเดือนตุลา เราจะชำระประวัติศาสตร์ไปทำไม หากเป็นไปเพื่อการแก้แค้น ไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้ที่จะให้อภัย และเรียนรู้ที่จะอยู่ในความแตกต่างร่วมกัน

ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมรู้สึกถึงอานุภาพของความเกลียดชัง ครั้งแรกที่เห็นก็คือภาพเครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ครั้งที่สองก็คือ ภาพรัฐสภาสหรัฐฯ ออกมาประกาศให้ความสนับสนุนการดำเนินการทางทหารทุกชนิด ต่อรัฐบาลอเมริกันในการตอบโต้ผู้ก่อการร้าย ครั้งที่สามคือในหอประชุมแห่งนี้ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงความรุนแรงเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว

ความเกลียดชังทำให้มองไม่เห็นคุณค่าชีวิตของผู้อื่น เกิดการทำร้ายทำลายและประหารชีวิตผู้ที่เราเกลียดชังได้ง่าย ความเกลียดชังมักจะเกิดจากความรู้สึกและความคิดที่ว่า "คนอื่นแตกต่างจากเรา" ไม่ว่าจะเป็นทาง เพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ความคิดเห็น การศึกษา สถานะทางสังคม เพียงเท่านั้นเอง

เย็นนั้น ก่อนแยกจากหญิงสาวนักกิจกรรมของผมด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นซุ้มหนังสือตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลังหอประชุมใหญ่ ก็เลยนึกอยู่ในใจว่าจะชวนหญิงสาวนักวิชาการของผม มาเดินเลือกซื้อหนังสือวันหลัง รู้สึกดีใจอยู่บ้างที่เธอไม่อยากจะมางานวันนี้สักเท่าไหร่ เธอทนเห็นภาพความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ปรากฎในหนังสือ วีดีโอเทป ที่ขายเกลื่อนเต็มแผงยังกับงานวัด ไว้รองรับตลาดมิตรรักแฟนเพลงขาประจำซาดิสม์ ชั่วแต่ว่ามันเป็นของจริง และอาจจะจากมุมมองข้างเดียว เธอว่างั้น

คืนนั้นผมจับพลัดจับผลูไปดื่มชาที่โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงอย่างไรไม่รู้ โทรศัพท์ตามหาหญิงสาวนักกิจกรรมของผมคนเดิมจนเจอ เธอเพิ่งกลับมาจากคอนเสิร์ตคาราวาน เห็นว่าประทับใจพี่หงา คาราวานมาก ที่เล่นเพลงเกี่ยวกับสันติภาพถึงสามเพลง ไม่ได้ร้องเพลงอะไรเกี่ยวกับความทรงจำเดือนตุลาอันขมขื่นสักเท่าไหร่ เราเลยได้มีโอกาสฟังเพลงจากนักร้องกิตติมศักดิ์ในคืนนั้นเป็นพิเศษร่วมกัน คือ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ และคุณกร ทัพพะรังสี บรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองมาก

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อสิ้นสุดวันนั้น กลางวันไปร่วมงานรำลึกวีรชนหกตุลา กลางคืนได้มาดูคอนเสิร์ตเจ้าฟ้า เพื่อตัดปัญหา ก่อนหัวถึงหมอน ก็เลยตั้งใจไว้ว่าจะฝันถึงหญิงสาวของผม ไว้แก้ความสับสนวุ่นวายในหัว โชคดียังเป็นของผม คืนนั้นได้ฝันหวานสมใจ

แล้วพบกันใหม่

(อดีต)ใบไม้เสเพล

 

ป.ล. เพื่อน ๆ ได้ข่าวกันบ้างหรือยังครับ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 อ. ดร. ธงชัย วินิจจกุล นักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งประจำอยู่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา "คนเดือนตุลา" อีกคนหนึ่ง มาเป็นองค์ปาฐกในหัวข้อเรื่อง "ความรุนแรงในสังคมไทย บทเรียนจาก 6 ตุลา" เวลา 15.00 น. ที่ Internationales Zentrum "Die Bruecke", Wilmergasse 2, 48143 Muenster งานนี้ไม่เก็บค่าใช้จ่าย มีอาหารไทยและเครื่องดื่มจำหน่ายตลอดงาน เห็นว่าจะมีการแสดงดนตรีจากเพื่อนนักศึกษาไทยในเยอรมันด้วย

สอบถามรายละเอียดติดต่อได้ที่ คุณเจตนา 0253 - 46 45 460

เพื่อน ๆ คนไหนสนใจก็รีบตัดสินใจนะครับ เพราะตั๋วรถไฟแบบ Surf&Rail จะต้องจองผ่านอินเทอร์เนตล่วงหน้าก่อน 7 วัน ตั๋วกลุ่มสำหรับคน 5 คนขึ้นไป ยิ่งจองนานก็จะยิ่งถูกลง หรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ จะเดินทางโดยตั๋ว Schoenes Wochenendticket ก็ยังไหว แจ้งล่วงหน้าก็รับประกันว่ามีข้าวทานกันอิ่ม มีที่นอนสบาย แล้วเจอกันนะครับ



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖