ถ้าใครติดตามข่าวการประท้วงของนักศึกษา เรื่องการปฏิรูประบบอุดมศึกษาของเยอรมัน
ผมมีข้อสังเกตซึ่งเป็นภาพสะท้อนทางสังคมอยู่สองประการ
ประการแรก
ผมมีความรู้สึกว่า ประเทศเยอรมันนี่เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ที่พูดนี่ไม่ได้ประชดหรือเสียดสีสังคมเยอรมันนะครับ
แต่อยากจะบอกว่า ความเป็นประชาธิปไตยนั้นมันวัดกันตรงที่ ระดับของความรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมนี่แหละ
คือผมกำลังจะบอกว่า คนจะต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในประชาคมที่ตัวอาศัยอยู่เสียก่อน
การรักษาสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงจะตามมา
เช่นกรณีนี้ เมื่อระบบมหาวิทยาลัยกำลังจะถูกเปลี่ยนแปลง คนที่อยู่ในประชาคมมหาวิทยาลัยอันประกอบไปด้วยนักศึกษา
ครูบาอาจารย์ และคนทำงานทั้งหลาย จะต้องออกมาบอกว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น
อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถาบัน ผลประโยชน์ รวมถึงชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง
ดีขึ้นหรือว่าเลวลง เขาจะไม่ปล่อยให้นักการเมือง ซึ่งเป็นคนนอกมหาวิทยาลัยมาใช้อำนาจเปลี่ยนอะไรได้ง่าย
ๆ ตามอำเภอใจ ผมหมายถึงนักการเมืองอาจจะมีมุมมองของเขาในเรื่องนโยบายหรือข้อจำกัดต่าง
ๆ ทางงบประมาณ แต่นักการเมืองไม่มีทางรู้ปัญหาของระบบมหาวิทยาลัย
ได้ดีไปกว่าคนในมหาวิทยาลัยเอง
ผมคิดว่า
นี่คือเนื้อแท้ของความเป็นประชาธิปไตยที่เราอยากให้มีขึ้นในบ้านเมืองเราบ้าง
แนวความคิดเรื่อง Civil Society หรือ "สังคมเข้มแข็ง"
ที่เรากำลังพูดกันอยู่ในเมืองไทยเวลานี้ มันก็อยู่ตรงนี้แหละ การส่งเสริมให้อำนาจในการจัดการกับเรื่องต่าง
ๆ ในสังคมกระจายอยู่ทั่วไป ไม่ให้กระจุกอยู่แต่เฉพาะนักการเมือง
ข้าราชการ หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สำคัญเสียยิ่งกว่าเปอร์เซนต์ของการไปใช้สิทธิลงคะแนนเวลามีเลือกตั้งเสียอีก
ผมมีตัวอย่าง
เช่นเวลาเราพูดเรื่อ?????A?ปงการรักษาป่าไม้หรือสิ่งแวดล้อม แต่ก่อนเรามักมองไปที่หน่วยงานของรัฐ
ผมว่า ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนตรรกะในการคิดใหม่ โดยหน้าที่หลักเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อม
ควรจะเป็นของประาชนที่อยู่ในท้องถิ่น ที่ต้องพึ่งพาอาศัยป่าและต้นน้ำลำธารนั้น
ๆ ในการยังชีพ ผมคิดว่าประชาชนเขาไม่ทำลายแหล่งทำมาหากินของเขาหรอกครับ
ป่าไม้ถูกทำลาย สภาพแวดล้อมเสียหายนั้น ต้นเหตุมันมาจากนายทุนคนนอกท้องถิ่นทั้งนั้น
รัฐควรจะคิดว่าทำอย่างไร จึงจะส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรักษาป่าและทรัพยากรท้องถิ่นของเขาเอง
มากกว่าจะลงไปใช้อำนาจจัดการเอง ซึ่งที่ผ่านมา เราก็รู้กันอยู่ว่าล้มเหลว
และผมไม่เคยเชื่อเลยว่ารัฐจะมีทางทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างอีกอันหนึ่งที่เห็นกันชัด
ๆ ในบ้านเรา เวลาเกิดอุทกภัยหรือภัยพิบัติอะไรก็ตามแต่ในท้องถิ่น
เราต้องรอการสั่งการ รอเงิน รอความช่วยเหลือ รอทุกสิ่งทุกอย่างว่าทางส่วนกลางจะว่าอย่างไร
ความเสียหายมักจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกครั้ง เพราะเราแก้ไขอะไรได้ไม่ทันการณ์
ในประเทศที่ภาคสังคมมีความเข้มแข็งอย่างในเยอรมันนั้น
สถาบันต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรวิชาชีพหรือกลุ่มผลประโยชน์มีอำนาจมาก
และมักออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ
ๆ ในขณะที่รัฐมีพลังน้อย เพราะจำกัดทั้งงบประมาณและทรัพยากร และโดยความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจะดูแลพื้นที่ทุกตารางนิ้ว
และประชาชนทุกหมู่เหล่าให้อยู่ดีกินดีได้ทั่วถึง อย่างที่พรรคการเมืองในบ้านเราชอบหาเสียง
ประชาชนจะอยู่ดีกินดีได้ก็แตจ่การดูแลตนเอง ชุมชนของตนเอง การรักษาสิทธิและหน้าที่ของตนเองเท่านั้น
ขณะนี้แนวการศึกษาเรื่องการเมืองในวิชารัฐศาสตร์กำลังจะเปลี่ยนไป
จากรัฐศาสตร์แนวเดิมที่พูดกันแต่ว่า ทำอย่างไรจะให้พรรคการเมืองของเราเข้มแข็ง
ทำให้นักการเมืองเรามีคุณภาพ ทำให้รัฐสภาเป็นสถาบันหลัก มาเป็นการศึกษาในแนวสังคมวิทยาการเมืองที่เน้นมิติและพลังทางสังคมมากขึ้น
เดี๋ยวนี้เราเลิกสนใจพรรคการเมืองแล้ว เราหันมาพูดกันใหม่ว่า ทำอย่างไรจะให้คนและชุมชนต่าง
ๆ ในสังคมมีความเข้มแข็ง สามารถต่อรองและต้านทานอำนาจของรัฐได้ เพราะเราเชื่อว่า
ถ้าภาคสังคมและประชาชนเข้มแข็ง พรรคการเมืองประเภทไร้อุดมการณ์ ประเภทตั้งขึ้นมาเฉพาะเวลามีการเลือกตั้ง
รวมทั้งนักการเมืองพวก "ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ" หรือ "หลงจู๊ตกยุค"
จะค่อย ๆ หมดและสูญพันธุ์ไปเอง
ผมเองเชื่อในวิถีทางนี้นะครับ
เพราะไม่ว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญที่เลอเลิศเพียงใด ประชาธิปไตยบ้านเราไม่มีวันจะพัฒนาขึ้นมาได้เลย
หากสังคมและประชาชนในท้องถิ่นยังไม่รู้ว่า เขาควรจะจัดการกับชีวิตและชุมชนของเขาเองอย่างไร
เขายังไม่รู้ว่าจะปลูกพืชอะไรในท้องถิ่นของเขา (จริง ๆ เขารู้ แต่มักจะสวนทางกับความต้องการของหน่วยงานรัฐ)
โดยที่ไม่ต้องรอให้รัฐบาลหรือจังหวัดมาคอยบอกและเอาพันธุ์มาแจก
ในทศวรรษต่อไป
ผมทำนายว่า การเมืองจะเป็นเรื่องของการต่อรองรักษาผลประโยชน์กันระหว่างกลุ่มพลังและชุมชนต่าง
ๆ ไม่ใช่การเมืองในรัฐสภา ไม่ใช่การเมืองในภาคที่เป็นทางการ แต่จะเป็นการเมืองในภาคสังคมและประชาชน
เราจะมีกลุ่มและขบวนการทางสังคมใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย เราจะมีสมัชชาคนจน
สมัชชาคนรวย กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อม กลุ่มคนรักสัตว์ป่า กลุ่มพิทักษ์สิทธิเกย์และเลสเบี้ยน
กลุ่มคนไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง กลุ่มคนมีทุกข์จากปัญหารถติด (จส.
100 ไง) และกลุ่มอื่น ๆ อีก สารพัด กลุ่มและขบวนการต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกลไกที่จะดูแลพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง
โดยไม่ต้องรอรัฐบาลหรือหน่วยราชการ เดี๋ยวนี้คนกรุงเทพฯ รู้ดีว่า
ถ้าเจ็บท้องใกล้คลอดแล้ว นั่งติดแหง็กอยู่ในรถแท็กซี่กลางถนน เขาควรจะโทรฯ
ไปขอความช่วยเหลือ จส. 100 ซึ่งมีเครือข่ายโยงใยเป็นชุมชนทางอากาศที่มีประสิทธิภาพกว่า
รวดเร็วกว่า ก่อนที่จะนึกถึงโรงพยาบาลของรัฐบาล อันนี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้ว
ประการที่สอง
สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องเป็นสังคมที่เปิดกว้างให้มีการถกเถียงโต้แย้งกัน
หาข้อยุติกันได้อย่างสันติวิธี กลุ่มพลังต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สื่อมวลชน ต้องเป็นกลไกและเวทีสาธารณะที่จะนำประเด็นข้อขัดแย้งมาโต้เถียงกันเพื่อให้ได้ข้อสรุป
บางเรื่องอาจจะยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่อย่างน้อยผู้มีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือ
รัฐสภา จะมีข้อมูลในการตัดสินใจมากเพียงพอ ชาวบ้านทั่วไปเองก็จะรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ในส่วนของสังคมทั่วไปก็จะเห็นกระแสทัศนะของคนส่วนใหญ่ที่พอจะมองออกว่า
ประเด็นเรื่องนี้มันควรจะลงเอยอย่างไรที่สังคมส่วนรวมจะได้ประโยชน์มากที่สุด
เราเรียกรูปแบบของประชาธิปไตยแบบนี้ว่า ประชาธิปไตยแบบตรวจสอบ ที่กลุ่มและสถาบันในสังคมตรวจสอบถ่วงดุลกันเอง
ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่เลือกคนพูดเก่งแต่โกงเข้าไปนั่งในสภาแล้วก็จบ
พอเวลามีปัญหาขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะด้วยหลักการหรือผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง
ๆ กลไกทางการเมืองที่เรามีอยู่ ต่างก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะช่วยยุติความขัดแย้งได้
บ้านเราจึงมักตัดสินความขัดแย้งทางการเมืองกันกลางถนน และมีแนวโน้มที่จะใช้กำลังจนเกิดการนองเลือดขึ้นทุกครั้ง
ซึ่งไม่ใช่การเมืองประชาธิปไตยที่แท้จริง
กรณีการออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษาเยอรมันครั้งนี้
ผมจึงเห็นภาพของประชาธิปไตยแบบตรวจสอบ ภาพของการโต้แย้งกันทางความคิดความเห็นของกลุ่ม
ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ที่ดุเดือดเผ็ดร้อนทางเวทีสาธารณะ แต่ไม่มีอะไรรุนแรงเลย
แล้วที่สำคัญ ไม่มีใครออกมาบอกว่า นักศึกษาที่ประท้วงกันอยู่นั้นมีมือที่สามมือที่สี่หนุนหลัง
ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเอาทหารตำรวจพร้อมอาวุธออกไปรักษาความสงบ (เอ
เหมือนประเทศไหนหว่า)
การประท้วงของนักศึกษาจึงออกมาดูน่ารักน่าชังไปหมด
เอาสีมาเขียนหน้าเหมือนกับจะไปแสดงละครใบ้ พิมพ์เสื้อยืดยี่ห้าบุหรี่
Lucky Streik เขียนป้ายประท้วยด้วยข้อควยามเสียดสีที่อ่านแล้วยังไง้ยังไง
(ให้ตายสิ
โรบิน!) ถ้าเป็นนักการเมืองบ้านเราไม่มีวันสะดุ้งสะเทือนหรอก
_______________________
ผมก็ไปร่วมประท้วงกับเขาเหมือนกันนะครับ
คือไปนั่งกินกาแฟกับเพื่อน ๆ เยอรมัน ในห้องที่เขาจัดรายการถกเถียงกัน
ก็อดไม่ได้ที่จะซักไซร้ไล่เรียงถามถึงที่มาที่ไปของการประท้วงว่ามันเริ่มยังไง
แล้วมันก็จะลงเอยยังไง ในฐานะที่เราก็เป็น activist เก่าสมัยเรียนธรรมศาสตร์
ไปนั่งอยู่กับเพื่อนมันหลาย ๆ วันเข้า มันก็ชวนไป Vollversammlung
ที่บอนน์ เพื่อแสดงว่าร่วมประท้วงด้วยอย่างเอาจริงเอาจัง ผมบอกเพื่อนมันไปว่า
ไม่ไปหรอก ich mache lieber hier mit ได้ไหม ฉันเป็นนักเรียนปริญญาเอก
ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เข้าเรียนสักวิชาหนึ่ง (เพราะจริง ๆ ไม่มีวิชาเรียนแล้ว)
ฉันประท้วงด้วยการนั่งเขียนงานวิทยานิพนธ์อยู่ที่บ้านไง แล้วก็ไอ้
BAfoeG อะไรนี่ ฉันก็ไม่เคยได้ ส่วน Studiengebuehr ถ้าจะมาเก็บเพิ่ม
คนอื่นก็จ่ายแทนฉันอยู่แล้ว เพราะว่าฉันเป็นนักเรียนทุน ขอ Beobachtung
อย่างเดียวก็แล้วกัน เพื่อนมันก็เข้าใจ
ผมยังมีโอกาสคุยกับเพื่อน
ๆ นักศึกษาที่ประท้วงอีกหลายเรื่อง ประเด็นส่วนใหญ่ก็คือ การใช้ความรุนแรงในการประท้วง
ฝรั่งเยอรมันนั้น แค่ตำรวจเอากระบองตีนักศึกษา หรือจับอุ้มไปขึ้นรถก็ถือว่าตำรวจใช้ความรุนแรงมากแล้ว
เพื่อนผมมันบอกอย่างนั้น
ผมเองได้แต่นั่งนึกอยู่ในใจ
แต่ไม่กล้าเล่าการประท้วงในเมืองไทยให้เพื่อนฟัง เพราะว่าฟังมันพูดแล้ว
แค่โดนกระบองตี กระจอกจังเลย นี่ถ้าเล่าว่า เมืองไทยบ้านฉันน่ะนะ
เอา Bundeswehr ออกมาถล่มเหมือนยกกองกำลังไปช่วยรบในเซอร์เบียเนี่ย
ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเชื่อไหม
อะไร
อะไร ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ Amazing Thailand!
สุชาติ
ศรียารันย์
จุลสารเพื่อน
ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
|