หนุ่มสาวดัดจริต > สะเต๊ะ กับสาว ๆ แล้วก็ "ลาว คำหอม" ในไฮเดลแบร์ก

 

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงานสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ชาวไฮเดลแบร์กมาครับ
ไปพบปะเพื่อนฝูง เสวนาร่วมกับนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ "ลาว คำหอม" หรือคุณลุงคำสิงห์
ศรีนอก ศิลปินแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ผู้ให้เกียรติเดินทางแวะมาเยี่ยมเยือน
พบปะนั่งคุย ถ่ายทอดความรู้ความคิดประสบการณ์อันหาค่ามิได้ ให้แก่คนรุ่นลูกรุ่นหลานด้วยความเมตตา ในโอกาสที่คุณลุงเดินทางมาเยือนเยอรมัน และได้เดินทางผ่านมาแถวนี้พอดี เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่โด่งมึนสเตอร์ ที่ช่วยประสานงานร่วมกับพี่ศิริลักษณ์แห่งหนังสือพิมพ์ชาวไทย ที่ทำให้พวกเรามีโอกาสเช่นนี้

บางคนสงสัยว่า ศิลปินแห่งชาติ เป็นยังไง ต่างกับนักเขียนหรือกวีซีไรท์ตรงไหน
ต่างกันสิครับ "ศิลปินแห่งชาติ" เป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือนจากรัฐบาลไทยให้ จนกระทั่งเสียชีวิตเลยล่ะ ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ จะได้รับการพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาเกือบทั้งชีวิต ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมากเลย
ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ นอกจากคุณ "ลาว คำหอม" แล้ว ยังมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
เป็นต้น ส่วน "ซีไรท์" น่ะ เขาให้รางวัลกันเป็นปี สลับกันไปว่าปีนี้ประกวดนิยาย หรือเรื่องสั้น หรือบทกวี พิจารณาจากผลงานที่ส่งประกวดเฉพาะปีนั้นเท่านั้น ได้รางวัลทีก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่แค่เข้ารอบก็เพิ่มยอดขายได้ตั้งเยอะแล้วล่ะ


อากาศวันเสาร์ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ แทนที่เราจะได้ทำตามแผนการที่วางไว้
คือ คุยกับคุณลุงคำสิงห์ กินอาหารง่าย ๆ นั่งบนเสื่อ ชื่นชมสายลมแสงแดดและแม่น้ำ
ในบรรยากาศเมืองสวยเก่าแก่อย่างไฮเดลแบร์ก ก็เลยต้องเปลี่ยนสถานที่เล็กน้อย
คือ ไปที่บ้านน้องนุชแทน ซึ่งโชคดีอยู่ใกล้แม่น้ำ อยู่บนตึกชั้นสี่ มองเห็นทิวทัศน์เก่าแก่ของไฮเดลแบร์ก แม่น้ำเนคทาร์ไหลเรียงเคียงคู่ แล้วก็ได้ดื่มลมชมพระอาทิตย์ตกสมใจเพียงแค่เดินออกมาตรงระเบียง

งานเริ่มบ่ายสองโมงครับ เราไปนั่งทานอะไรรองท้องเล่น ๆ รอให้พี่โจ้แม่งานคราวนี้ซึ่งรับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์พาคุณลุงเดินชมไฮเดลแบร์กทุกซอกทุกมุม
แต่สี่โมงก็แล้ว ยังชมเมืองไม่เสร็จเสียที กระเพาะของเรารอไม่ค่อยจะไหวสักเท่าไหร่ ก็เลยเริ่มบรรเลงเพลงโหมโรงด้วยสะเต๊ะหมู ไก่ ที่เพื่อนชาวไฮเดลแบร์กช่วยกันเสียบเตรียมไว้ตั้งแต่คืนก่อน ผมสมัครทำหน้าที่เฝ้าเตาย่างอย่างไม่ลังเล ทำเลไหนจะดีกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ สาว ๆ ไฮเดลแบร์กน่ะ น่ารักกันทั้งนั้น แต่พอเวลาทาน เธอต้องเดินมาหาผมก่อนทุกทีไป พร้อมกับแจกยิ้มก่อนเอื้อนเอ่ยวาจาไพเราะเสนาะหูว่า "สุกหรือยังคะ" หรือ "หมูหรือไก่คะ" ผมเองทีแรกก็ตอบไปว่า "เกือบแล้วครับ" กับ "ทั้งสองอย่างครับ" แต่สาว ๆ ก็ไม่ไปไหนสักที วงล้อมก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนผมแทบสำลักควันสะเต๊ะ ฉับพลันก็บรรลุว่า ถ้าจะให้วงแตกต้องแจกสะเต๊ะ จริง ๆ นะครับ พอทุกคนได้สะเต๊ะไปคนละไม้สองไม้ก็กระจายไปนั่งคุยกันตามที่ต่าง ๆ ผมค่อยหายใจได้คล่องหน่อย เกือบตายเสียก่อนจะได้พบคุณลุงคำสิงห์เสียแล้ว เพื่อน ๆ จำไว้นะครับ ถ้าไม่อยากให้สาว ๆ รุมล้อมจนหายใจไม่ออก กรุณาแจกสะเต๊ะให้ทั่วถึงกัน

ใกล้เวลาห้าโมง คุณลุงคำสิงห์มาถึง สวัสดีทักทายทุกคนกันถ้วนหน้าแล้ว เตาย่างซึ่งเปลี่ยนมาย่างหมูกับไก่แทนสะเต๊ะ ซึ่งแจกไปเกลี้ยงแล้ว ก็ทำหน้าที่ย่างต่อไปอีกสักพัก ทุกคนเริ่มอิ่มบ้างแล้ว ก็มานั่งล้อมวงอยู่ตรงโต๊ะอาหาร นั่งฟังคุณลุงคุยโน่นคุยนี่กับพี่โด่งชายจากซาร์บรึคเคน ยังไม่กล้าถามอะไรคุณลุงมาก ประเดี๋ยวไก่จะตื่น เอ๊ย กลัวคุณลุงรับประทานไม่อิ่ม ผมน่ะนะเห็นคุณลุงทีแรกก็ตื่นเต้นชะมัด ได้พบตัวจริงของศิลปินแห่งชาติใครจะไม่ตื่นเต้นมั่ง คุณลุงเองก็อายุไม่น้อยแล้ว สักเจ็ดสิบคงได้ อายุมากกว่าพ่อผมอีก แต่ดูท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉง ไม่งั้นคงเดินทนกับพี่โจ้ไม่ได้นานขนาดนี้หรอก คุณลุงรูปร่างผอม ตัวไม่ใหญ่นัก เป็นชายไทยตัวเล็ก ผิวคล้ำตามแบบลูกอิสาน นัยน์ตามีประกายใจดี และมองพวกผมอย่างเอ็นดู
เวลาเหนื่อย ๆ หรือเล่าเรื่องเก่า ๆ ก็หลับตาเล่าได้อย่างน่ารัก ไม่เห็นจะรำคาญคำถามของเจ้าตัวจำไมทั้งหลายที่รายล้อมคุณลุงเลย

ช่วงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร คุณลุงก็เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์การเมืองของเมืองไทย
ประมาณว่าคนไทยค่อนข้างมีความหวังกับพรรคใครรักใครอยู่มาก โฉมหน้าการเมืองไทยก็เริ่มเปลี่ยน การเมืองหรือนักการเมืองแบบเดิมก็ต้องปรับตัว คนไทยเองก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองมีอำนาจอยู่ในมือนอกเหนือจากเวลาไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
แล้วก็เลยพูดไปถึงเรื่อง อาชญากรรมทางสังคม พรรคข้าราชการ เรื่อยไปจนถึงการคอรัปชัน
เราฟังคุณลุงเล่าไปทานไปดื่มเบียร์ไปจนกระทั่งอิ่ม ก็เลยย้ายวงเข้าไปนั่งในห้องรับแขก
เพราะห้องอาหารเก้าอี้ไม่พอคนฟัง คุณลุงนั่งบนโซฟา ถูกล้อมรอบด้วยลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย
ที่นั่งพื้นบ้าง เก้าอี้บ้าง ทำตาแป๋วฟังคุณลุง ผมไม่ได้นั่งตาแป๋วหรอกครับ
แต่หมดความสนใจสาว ๆ น่ารักไปชั่วคราว ตาโตหูตั้งฟังคุณลุงพูดอย่างเดียว


รอบสองนี้คุณลุงพูดถึงงานวรรณกรรม ซึ่งคุณลุงให้นิยามไว้ว่า "วรรณกรรม คือ
การเล่าเรื่องชีวิตและชะตากรรม" เพราะฉะนั้นเราสามารถเรียนรู้โลก เข้าใจมนุษย์ได้
จากงานวรรณกรรม หลายคนคงสงสัยใช่ไหมครับว่า งานเขียนแบบไหนจัดว่าเป็นวรรณกรรมบ้าง ผมขอยืมคำพูดของคุณลุงมาขยายเพิ่มเติมนะครับ ลักษณะของวรรณกรรมก็คือ "วรรณกรรมจะมีลักษณะย่อยยากหรือต้องผ่านการตีความ"
การที่เราจะเสพงานวรรณกรรมชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเราอ่านไปจนจบแล้วระบบความคิดของเราก็ยังคงเหมือนเดิม วรรณกรรมจะมีผลต่อกระบวนการเรียนรู้และการมองโลกของเรา ตัวอย่างของวรรณกรรมที่คุณลุงยกย่องว่าเป็นชิ้นเอกอยู่ในใจ และแนะนำให้อ่าน ก็คือ "ปิศาจ" และ "ความรักของวัลยา" ของเสนีย์ เสาวพงศ์ จริง ๆ คุณลุงยังได้กล่าวถึงงานวรรณกรรมเล่มอื่น
ๆ อีกมาก ตลอดจนนักเขียนอีกหลาย ๆ คน แต่ผมจดไม่ไหวครับ เยอะเหลือเกิน ที่ได้ยินชื่อก็มี
ศรีบูรพา ม.จ.อากาศ ดำเกิง หลู่ซิ่น แม็กซิม กอร์กี้ เป็นต้น

นอกจากนี้ คุณลุงแนะนำว่า พวกเรามาอยู่ไกลบ้านอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องอ่านวรรณกรรมของไทยอย่างเดียวก็ได้ ของเยอรมันหรือของใครก็ได้ ขอให้ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านไว้ เพราะคุณลุงเชื่อว่า วรรณกรรมทำให้มนุษย์เราอ่อนโยน เข้าใจโลกและมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่ว่าเรียนทางเทคโนโลยีอย่างเดียว ก็เลยปฏิบัติต่อโลกหรือคนอย่างเครื่องจักร ประโยคหลังนี่ผมเติมเอาเองนะครับ

"งามคือง่าย ง่ายคืองาม"
"สิ่งที่ถูกฆ่าตายเป็นอันดับแรกเมื่อสงครามเกิดขึ้น คือ ความจริง"
"ในเมืองไทยหรือสังคมไทยนั้น ไม่มีใครตายด้วยคำตำหนิติเตียน มีแต่ตายด้วยคำประจบสอพลอ"

ฯลฯ

คำพูดเหล่านี้เป็นประโยคน่าประทับใจที่ได้จากการพูดคุยกับคุณลุงคำสิงห์ในหลายชั่วโมงถัดมา
ก่อนที่คุณลุงจะขอตัวไปพักผ่อน พวกเราก็เลยเอาหนังสือรวมเรื่องสั้น "ฟ้าบ่กั้น"
ให้คุณลุงเซ็นไว้เป็นที่ระลึก แล้วว่าจะเวียนกันอ่านในกลุ่ม ผมเองมีสมุดจดอยู่ในมือก็ขอคุณลุงเซ็นไว้เป็นสิริมงคลกับเก็บเอาไว้อวดสาว ๆ คุณลุงยังถ่อมตัวอีกว่า งานรวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นงานเด็ก ๆ แถมแนะนำให้เราอ่านงานล่าสุดของคุณลุง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ว่ามีคำว่า "แมว" อะไรสักอย่างอยู่ในนั้น ไว้กลับเมืองไทยค่อยไปหามาอ่าน แต่ผมว่านะ ได้คุยกับคุณลุงคราวนี้ก็ได้อะไรเยอะกว่าไปนั่งอ่านหนังสืออีกแน่ะ

สักสี่ทุ่มเราก็แยกย้ายกันกลับ ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ชาวไฮเดลแบร์ก พี่โจ้ พี่กาง พี่แนน พี่เรียบร้อย น้องนุช น้องเอ็ม เม้ง ที่อำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ การซื้อของ การจัดเตรียมอาหาร การประสานงาน และกำหนดการต่าง ๆ ผมดีใจมากเลยครับที่มาเจอศิลปินแห่งชาติและเพื่อนน่ารักอีกหลายคน พอเจอกันบ่อย ๆ เริ่มจะคุ้นหน้ากันบ้างแล้ว ที่เห็นบ่อยก็มี พี่นิ กับน้องวิทจากชตุตการ์ท พี่เข้ม พี่พาดจากทือบิงเง่น พี่แน็ต พี่ปิ่น พี่โด่งชาย พี่จ๋า น้องปอย น้องลูกหว้า น้องหญิง


จัดกิจกรรมอย่างนี้ก็ดีนะครับ มีสาระบ้าง เบา ๆ สบาย ๆ คนช่วยกันเยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ วงไม่ใหญ่มากก็กำลังดี ผมเองไม่ได้อยู่เมืองนี้ นั่งรถไฟไปก็ไม่ไกลเท่าไหร่ รถติดที่กรุงเทพฯ ยังนานกว่านี้เลย ผมกลัวโง่น่ะ เวลาอยู่คนเดียวนาน ๆ ไม่ได้คุยกับใคร ก็กลัวจะโง่ลง หรืออยู่ในเมืองเดียวกัน มีเพื่อนคุยที่คิดเหมือนกัน ก็ไม่แน่ใจว่าเราคิดประหลาดกว่าคนทั้งโลกหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นเลยชอบเดินทางไปฟังความคิดความอ่านของเพื่อนคนอื่นบ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ส่วนใหญ่ก็ไปปิ๊งไอเดียของคนโน้นคนนี้ ได้เพื่อน(ไม่ใช่อย่างอื่น) มาก็หลายอยู่

สงสัยต้องพอเท่านี้ก่อน ว่าจะเขียนเล่านิดเดียว ทำไมตัวหนังสือมันออกลูกออกหลานมาได้ขนาดนี้ ไว้เจอเพื่อน ๆ งานถัดไปก็แล้วกันนะครับ

 

ใบไม้เสเพล



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖