หนุ่มสาวดัดจริต > สมณะ มนุษย์ต่างดาว และวัดไทยมึนเช่น

 

วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

เวลา ๑๗.๑๐ นาฬิกา

ชานชาลาที่ ๑๘ สถานีรถไฟมึนเช่น

เมื่อเสียงตามสายประกาศว่ารถไฟจะมาถึงช้ากว่ากำหนดยี่สิบนาฑี ข้าพเจ้าเดินเตร็ดเตร่ไปตามชานชาลา นึกปลงสังเวชตัวเองไม่หายกับการเป็นคนแปลกหน้าของเมืองในคราวนี้ นานแสนนาน ความทรงจำเกี่ยวกับมึนเช่นที่หลงเหลืออยู่ก็มีเพียงขาหมูย่างในร้านตรงข้ามศาลาว่าการกลางเมืองเท่านั้น คราวนี้ข้าพเจ้ามาทำกิจธุระ ในเมืองแปลกหน้า กับคนแปลกหน้า ปราศจากมิตรสหาย และจะกินเวลาต่อเนื่องไปสามสี่วัน ไม่รู้จะเรียกเจ้าความรู้สึกแปลกหน้านี้อย่างไรดี

 

เวลา ๑๗.๓๐ นาฬิกา

รถไฟเข้าเทียบชานชาลา ข้าพเจ้ามองไม่เห็นผู้ที่ข้าพเจ้าจะมารับ - ภิกษุณี ๑ รูป สามเณรี ๒ รูป - พวกเธอคงแต่งกายในลักษณะที่มองเห็นได้ไม่ยากนัก แต่ข้าพเจ้าก็ยังมองไม่เห็น ยกนาฬิกาขึ้นมามอง สองนาทีผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าจำขบวนรถผิดหรือเปล่าหนอ เดินย้อนไปทางหัวขบวน ก็ยังไม่เห็น พวกเธอคงเดินไม่เร็วนักหรอก หันกลับมา ใครสามคนยืนอยู่ไกล-ไกล คงใช่แน่แล้ว ข้าพเจ้าเดินเข้าไป แสดงความคำนับ ทักทาย และแนะนำตัว ก่อนพาหลวงพี่ - ภิกษุณีนิรามิสา ชาวไทย อายุ ๔๑ ปี - กับหลวงน้อง - สามเณรีเถิ่ง นิม ชาวเวียดนาม อายุ ๒๕ ปี และสามเณรีมาย นิม ชาวฝรั่งเศส อายุ ๑๘ ปี - ขึ้นแท็กซี่ ปลายทางคือวัดไทย

 

วัดไทย

หลวงพี่และหลวงน้องกราบพระพุทธรูปในลักษณาการนอบน้อม น่าชื่นชมนัก แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาซาบซึ้งมากเท่าไหร่ เพราะต้องเข้าครัวไปต้มน้ำร้อน เตรียมชา คุยกับญาติโยมในครัว เชิญให้ไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับหลวงพี่ ก่อนจะทำตัวลีบลีบทั้งที่กลมกลมอยู่นี่แหละ ปีนกะไดขึ้นไปเรียนท่านเจ้าอาวาส - พระมหาวิเชียร - ว่าคณะพระภิกษุณีจากวัดพลัม ประเทศฝรั่งเศส ได้เดินทางมาถึงแล้ว

ภาพของพระภิกษุณีและสามเณรีฝ่ายมหายาน ที่ก้มกราบทำความเคารพพระภิกษุฝ่ายเถรวาทไทยดูงดงามยิ่งนัก ญาติโยมคนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับเงียบไปชั่วอึดใจ ข้าพเจ้าหลบเข้าไปในครัว โทรศัพท์หาพี่ชายเก่าแก่ให้ช่วยสั่งอาหารเจสำหรับเย็นนั้นมาด่วนจี๋ แล้วก็ถือโอกาสโทรศัพท์หาเพื่อน และน้องอีกสองสามคนในเมือง เพื่อขอให้ช่วยกระจายข่าว และเชิญมาร่วมงานในวันเสาร์ ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะกลัวไม่มีคนมาร่วมงาน แต่รู้สึกเสียดายแทนมิตรสหาย หากจะพลาดโอกาสอันงามที่จะได้สัมผัสสิ่งวิเศษเป็นของขวัญแห่งชีวิต

 

เวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา

ท้องข้าพเจ้าครวญหาสะเต๊ะ ปอเปี๊ยะสด กระเพราไข่ดาว ราดหน้าทะเลเส้นใหญ่ บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง อาหารเจมาส่งพอดี จัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย เอาน่า พระเถรวาทไทยท่านฉันเรียบร้อยตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่ง ข้าพเจ้าคงไม่ละเมิดศีลธรรมเนียมข้อไหนของวัด ที่ว่าเป็นฆราวาสต้องทานทีหลัง สหายธรรมที่แบร์ลีนก็บอกว่าพระมหายานท่านฉันสามมื้อกับฆราวาสได้ ไหนไหนข้าพเจ้าก็ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์แล้วควรจะฉัน เอ๊ย รับประทานพร้อมท่านให้ต้องตามธรรมเนียม

ก่อนเริ่มรับประทาน ข้าพเจ้ากราบประทานขอความรู้จากหลวงพี่เกี่ยวกับมารยาทในการรับประทานกับพระ เนื่องจากเกิดมาไม่เคยเข้าใกล้พระสงฆ์องค์เจ้ารูปไหนมาก่อนเลย ความรู้ที่ว่าเขากราบพระสงฆ์กันสามหนเหมือนกราบพระพุทธรูปก็เพิ่งรู้มาไม่กี่วันนี้เอง ราชาศัพท์ที่ใช้กับพระสงฆ์ก็จนปัญญาที่จะใช้ นี่ยังบังอาจจะร่วมสำรับกับพระสงฆ์เสียอีก หลวงพี่ยิ้มน้อยน้อยก่อนกรุณาอธิบายว่า ขณะรับประทานท่านจะทำสติพิจารณาอาหารร่วมไปด้วย ดังนั้นช่วงสิบนาทีแรกจะไม่มีการสนทนากันเลย จากนั้นอาจจะพูดกันเล็กน้อย แต่ต้องทำเป็นอย่างไป ก่อนรับประทานก็จะมีการไหว้ขอบคุณพิจารณาอาหารเล็กน้อย

โอ้… ง่ายมาก ข้าพเจ้าอุทานในใจ ก่อนจะยิ้มกริ่มพนมมือมองอาหารตรงหน้า ท่องสาธยายมนต์อะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง เอาเป็นว่า ขอบคุณจ้าอาหาร ประเดี๋ยวเราจะได้หม่ำเจ้าแล้ว ขอบคุณที่ข้าพเจ้าจะได้รับประทานให้หายหิว ไม่รู้ว่าหลวงพี่และหลวงน้องท่องอะไรบ้าง แต่นับระยะเวลาแล้วคงสักช่วงสามลมหายใจเข้าออกได้ ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารจริงจริง

เมื่อเริ่มรับประทานก็เห็นว่าท่านค่อยค่อยเคี้ยว เคี้ยวเสร็จกลืนเสร็จจึงจะตักอีกคำเข้าปาก คำหนึ่งจะใช้เวลานานมาก แต่ทุกอิริยาบทเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเลยถึงบางอ้อ เอ้า… ช้าก็ช้า บ่ยั่นอยู่แล้ว และที่พอจะอวดได้จากการเป็นลูกศิษย์พระคราวนี้ก็คือทานข้าวช้ากว่าพระนี่แหละ แต่อาจจะเพราะว่าข้าพเจ้ามีกระเพาะที่มีขนาดใหญ่กว่า และพอถึงช่วงสนทนาก็ช่างพูดมากกว่านั่นเอง

เมื่อพี่ช่วงและน้องพงษ์มาถึง ข้าพเจ้าเชิญให้ร่วมสนทนากับหลวงพี่และหลวงน้อง ก่อนจะขอตัวแว้บลงไปดูที่พักด้านล่าง ซึ่งเป็นห้องสวดมนต์และทำกิจกรรมของวัด ท่านมหาวิเชียรกำลังให้คนที่วัดจัดแจงเตรียมที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย พาไปดูห้องน้ำห้องอาบน้ำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เชิญหลวงพี่หลวงน้องพัก พี่ชายและน้องชายฐานะเจ้าถิ่นก็นัดเจอกับข้าพเจ้าพรุ่งนี้ เพื่อพาเดินชมเมืองช่วงบ่าย

 

วันศุกร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

ช่วงอาหารเช้า หลวงน้องเถิ่งนิม และหลวงน้องมายนิม แสดงความกังวลเมื่อเห็นสำรับอาหารปริมาณมาก หลวงพี่นิรามิสาอธิบายว่าไม่เป็นไร เพราะตามธรรมเนียมวัดไทย ฆราวาสจะรับประทานอาหารต่อจากที่พระฉันอยู่แล้ว

เมื่อหลวงพี่วิเชียรกับหลวงพี่นิรามิสาได้สนทนาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับกำหนดการในวันเสาร์เป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็เตรียมตัวที่จะเดินทางไปชมเมือง หลวงน้องเถิ่งนิมและหลวงน้องมายนิมถามข้าพเจ้าว่าจะเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางปรกติธรรมดาได้ไหม เพราะไม่อยากจะขึ้นแท็กซี่ซึ่งจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากกว่า และไม่สมฐานะของนักบวชซึ่งจะต้องดำรงชีวิตอย่างสมถะ ข้าพเจ้าจึงอธิบายว่าเนื่องจากพวกเรามีกันหลายคนการซื้อตั๋วโดยสารรวมกันอาจจะมีราคาพอกับค่าแท็กซี่ อีกประการหนึ่งนั้นข้าพเจ้าไม่ใช่ชาวมึนเช่น ไม่รู้จักเส้นทางในเมืองดีพอ ดังนั้นอาจจะขลุกขลักเล็กน้อยในการหาเส้นทางเดินรถ และจำนวนคนที่ค่อนข้างพลุกพล่านในรถโดยสารประจำทางอาจจะทำให้สมณะทั้งสามเกิดความอึดอัดไม่สบายใจได้ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้ารับปากว่าอาจจะหาตั๋วกลุ่มให้เดินทางโดยรถใต้ดินและรถรางในช่วงเช้าได้ เพราะคนอาจจะยังไม่พลุกพล่านมากนัก

ก่อนออกจากวัด ข้าพเจ้าได้ขอคำปรึกษาจากหลวงพี่ว่าควรจะจัดการเรื่องอาหารกลางวันนอกสถานที่อย่างไรดี หลวงพี่จึงเสนอให้เตรียมอาหารที่เหลือจากช่วงเช้าติดตัวไปด้วย ทั้งนี้หลวงพี่และหลวงน้องจะเตรียมบาตร ซึ่งเป็นบาตรขนาดเล็กประมาณสองอุ้งมือติดไป ช่วงนี้มีญาติโยมซึ่งกำลังเตรียมอาหารให้พระสงฆ์ที่วัดได้เข้ามาถวายขนมให้หลวงน้องสำหรับติดตัวออกไปรับประทานด้านนอกด้วย ข้าพเจ้าเพิ่งรู้สึกตัวว่า การเป็นเด็กวัดทำให้อิ่มหมีพีมันได้อย่างไรก็คราวนี้เอง

 

เวลา ๑๑.๐๐ - ๑๘.๐๐ นาฬิกา

ฝนตก

รถไฟใต้ดิน

ฝนตก

พิพิธภัณฑ์

ฝนตก

อาหารกลางวัน

ฝนตก

รถราง

ฝนตก

หน้าโบสถ์หลังคาหัวหอม

ฝนตก

ฝนตก

หน้าศาลาว่าการ

ฝนตก

ฝนตก

ฝนตก

โทรศัพท์ตามตัว

แท็กซี่

ฝน

วัด

 

เวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา

เด็กวัด – ข้าพเจ้านั่นแหละ – จัดโต๊ะอาหารอย่างไรไม่รู้ได้ สมณะนั่งด้านหนึ่ง ฆราวาสนั่งอีกด้านหนึ่ง

นักศึกษาไทยในมึนเช่นสี่คน ฉัน เอ๊ย รับประทานอาหารพร้อมนักบวชทั้งสามท่านอย่างเกร็ง ๆ เล็กน้อย – ข้าพเจ้าเห็นใจ – ประสบการณ์ครั้งแรกนี่นะ

โทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้จากสหายผู้เคยรับหน้าที่เด็กวัดที่แบร์ลีน ข้าพเจ้าหลบออกมาจากโต๊ะอาหาร

“ทำอะไรกันอยู่”

“เพิ่งทานอาหารกันเสร็จ”

“หลวงพี่เป็นอย่างไร”

“พวกเด็กดอยกำลังซักอย่างออกรสทีเดียว”

“หลวงน้องล่ะ”

ข้าพเจ้าชะโงกหน้าไปดู

“ล้างจานอย่างมีสติ”

“เด็กวัดทำไมไม่ทำ”

“กำลังโทรศัพท์อย่างมีสติ”

ฯลฯ

 

 

วันเสาร์ – วันภาวนาสติ – ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

 

เวลาเช้า

ในหัวข้าพเจ้าเหมือนมีม้าหมุน – น้องพงษ์ยังไม่มา พี่ช่วงบอกจะมาบ่าย พี่ที่อยู่ประจำวัดต้องเดินทางไปฮัมบวร์กแต่เช้า – เหลือแค่แรงคนเพียงหนึ่ง ฟูกนอนสี่ฟูก ข้าพเจ้าขนไม่ไหว คุณลุงกับคุณป้าต้องมาช่วยเก็บ ย้ายโต๊ะข้าพเจ้ารอแรงงานชายหนุ่ม มีของลืมเตรียมอีกสองสามอย่างต้องรีบโทรฯ บอกน้องชาย กำหนดการยังพิมพ์ไม่เสร็จ หลวงพี่วิเชียรยังไม่ลงมา ข้าพเจ้าไม่กลัวพระและผี แต่กาละเทศะบังคับให้ข้าพเจ้าท่องคาถารอ - ใกล้สิบโมง งานกำลังจะเริ่ม หลวงน้องเตรียมอาสนะ เด็กวัดเก็บโน๊ตบุ๊คหลวงพี่ - น้องสาวสองคนโทรฯ ถามทางมาวัด

 

เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา

จำนวนคนเยอรมันเยอะกว่าคนไทย หลวงพี่นิรามิสาถามหาล่าม โปรแกรมแรกเริ่มด้วยการเทศน์ - ข้าพเจ้ากำลังตาลอย - ในหัวมีแต่สิ่งที่ยังไม่เรียบร้อย – หลวงพี่ถามซ้ำ ดึงสติข้าพเจ้ากลับ เข้าตาจนเสียแล้ว เถอะ! ยังไงก็ได้

สงสารชาวเยอรมันในเช้าวันนั้นเสียจริง หลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าคุยกับคอมพิวเตอร์เสียมากกว่ากับคนเยอรมัน หนังสือธรรมะภาษาเยอรมันก็ไม่เคยอ่าน เมล็ดพันธุ์แห่งความบ้าบิ่นและความหนาบนใบหน้าคงมีอยู่พอสมควร โชคดีที่คุณมาร์กิต ชาวเยอรมันผู้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดพลัมเป็นประจำยิ้มให้กำลังใจและคอยช่วยแปลขยายความอยู่เป็นระยะ เมื่อน้องพงษ์มาถึงก็ต้องเป็นล่ามแปลภาษาไทยเป็นอังกฤษให้กับหลวงน้องอีกคน ล่ามสองคนอยู่ใกล้กันเสียด้วยสิ ข้าพเจ้าแปลการฝึกสติเป็น business training ไปอย่างหน้าตาเฉย โอหนอ สติ สติ ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพี่ สำหรับบทเรียนแรกแห่งวัน เพราะถ้าไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นล่าม ข้าพเจ้าคงต้องวางแผนในหัวอีกหลายอย่าง ถึงตัวจะอยู่ในวัน เวลา สถานที่ ต่อหน้าพระผู้กำลังสอนฝึกสติ แต่ใจกลับนึกถึงแต่ชั่วโมงข้างหน้าที่จะมาถึง

 

หลวงพี่กล่าวว่าคนเรามีเมล็ดพันธุ์ทุกอย่างอยู่ในตัว ดังนั้นการฟังธรรมจึงเปรียบเสมือนการให้หยาดฝนแห่งถ้อยคำไปหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์แห่งพระพุทธเจ้าในตัวเราให้เจริญงอกงาม

สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณแล้ว ยังมีพระโพธิสัตว์คุณอีกด้วย อย่างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้มีความสามารถในการฟังเป็นเลิศ พระโพธิสัตว์เมตไตรย ผู้มีเมตตาอย่างไม่มีที่ประมาณ การสวดสรรเสริญพระคุณของพระโพธิสัตว์เปรียบเสมือนการอัญเชิญพระโพธิสัตว์ให้มาสถิตอยู่ในตัว หากเราระลึกถึงความสามารถอันวิเศษของพระโพธิสัตว์และพยายามปฏิบัติตนดังเช่นพระโพธิสัตว์ เราก็จะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกัน

 

จากนั้นก็มาถึงชั่วโมงปฏิบัติจริงของการฝึกสติ เริ่มด้วยการรับประทานอาหารกลางวันอย่างมีสติ

 

เมื่อพิจารณาจานที่ว่างเปล่านี้

จงตระหนักรู้เถิดว่า

เรามีโชคดียิ่งนัก

เพราะอีกไม่นาน

จานนี้จะเต็มไปด้วยอาหาร

ขณะเดียวกันนี้

เด็กอีกหลายคนในโลก

ไม่ได้มีโชคดีเหมือนเรา

 

จงพิจารณาอาหารนี้เถิด

เมื่อเธอเห็นข้าว

เธอจะมองเห็นรวงข้าว

เห็นดวงอาทิตย์ที่สาดแสง

หยาดฝนที่ให้ความกรุณา

หากเธอเห็นชาวนา

เธอจะเห็นใบหน้าของเขา

ครอบครัวของเขา

 

หากเธอเห็นโลกทั้งหมด

ในเมล็ดข้าวนี้

เมล็ดข้าวที่เธอรับประทาน

จะมีความยิ่งใหญ่กว่าความเป็นเมล็ดข้าว

 

อย่าได้ดื่มกินอดีตที่ผ่านพ้น

อย่าได้ดื่มกินอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

อย่าดื่มความโกรธ ความวิตกกังวล

จงอยู่กับจานอาหารข้างหน้า

อยู่กับปัจจุบันขณะ

 

ผู้ร่วมกิจกรรมทั้งหมดต้องผ่านด่านที่ว่าด้วย “การอยู่กับปัจจุบันขณะ” อีกหลายด่าน เรื่อยมาตั้งแต่รับประทานอาหาร ล้างจาน ผ่อนคลาย เดินเล่น ดื่มชา สนทนา ข้าพเจ้าเชื่อว่า สันติ หรือความสงบในใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ไม่ยากจากกิจกรรมฝึกสติดังกล่าว หลวงพ่อพุทธทาสและหลวงพ่อนัท ฮันห์ ล้วนกล่าวตรงกันว่า พระเป็นเพียงผู้ชี้ทาง แต่เราต้องเป็นคนเดินเอง

 

ช่วงเดินสมาธิอันเบิกบานในสวนสาธารณะใกล้วัด มีกวีขี้อายแอบแต่งกลอนเขียนใส่กระดาษมาเสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อข้าพเจ้า

 

แดดสีทอง

ใบไม้วิ่งเล่น

สายลมร้องเพลง

โอบพระอาทิตย์ไว้เต็มอ้อม

หายใจเข้าออกอันเบิกบาน

เรายืนอยู่บนอกแม่

 

น้ำตาล เหลือง เขียว

กรอบแกรบเริงร่า

เด็กน้อยในทะเลใบไม้

 

สายลมเกเร

อย่าเพิ่งล้อเล่น

ฉันกำลังละลาย

 

ในชั่วโมงสุดท้ายของกิจกรรม คุณมาร์กิต สหายธรรมได้เมตตาสอนการกอดอำลาอย่างมีสติให้กับข้าพเจ้า ถือได้ว่าเป็นความกรุณาที่วิเศษที่สุดของวันที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าเคยอ่านจากหนังสือของหลวงพ่อติช นัท ฮันห์ แต่การได้ “สัมผัส” ความวิเศษจากการกอดอย่างมีสติเช่นนี้ หนังสือเล่มไหนก็ให้ไม่ได้ ตั้งใจมั่นไว้เพียงว่า มิตรสนิทที่เจอคราวหน้าจะต้องถูกคว้ามากอดอย่างมีสติเสียหลายที

 

เวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา

หลวงพี่วิเชียรและพระลูกวัดอีกรูปลงมาสนทนาแลกเปลี่ยนกับหลวงพี่นิรามิสาและหลวงน้องทั้งสอง พี่ชายและน้องชายอยู่ร่วมฟังด้วย วงสนทนาเสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืน

ข้าพเจ้าซึ่งยกธงขาวยอมแพ้ไปเอนตัวนอนก่อนใครได้อาศัยใบบุญน้องชายซึ่งเล่าให้ฟังว่า หลวงพี่วิเชียรได้สัมภาษณ์หลวงพี่หลวงน้องแต่ละรูปอย่างค่อนข้างละเอียดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่ขึ้นต้นว่า “ทำไม” หรือลงท้ายว่า “อย่างไร” ท่านให้ความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับสถาพและสถานะของพระภิกษุณีในเวียดนาม ฝรั่งเศส และวัดพลัม ที่ยืนยันว่าละเอียดมากเห็นจะเป็นตอนเช้าที่หลวงน้องบอกว่าหลวงพี่วิเชียรถามละเอียดมาก แต่ก็แสดงความชื่นชมว่าเป็นคำถามที่ดีทุกคำถามจริง ๆ

น้องชายกล่าวว่า เป็นภาพที่น่าประทับใจ ที่ได้เห็นพระภิกษุและพระภิกษุณีในพระพุทธศาสนาทั้งทางฝ่ายเถรวาทและมหายาน ได้สนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นไปด้วยความนอบน้อมนุ่มนวลและถ่อมตน ได้ฟังเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกยินดีมากทีเดียว

 

วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

หม้อชามรามไหเมื่อคืนข้าพเจ้าล้างไม่หมด แต่เห็นวางตากอยู่เรียบร้อย ทราบภายหลังว่าพระลูกวัดและหลวงน้องช่วยกันล้าง เช้ามาหลวงพี่วิเชียรก็เก็บเข้าที่ วันนี้ไม่มีฆราวาสอยู่ประจำวัดเลย ข้าพเจ้าเลยเห็นภาพพระสงฆ์แยกขยะ และทิ้งขยะด้วยตนเองแต่เช้า – สารภาพว่า ข้าพเจ้าเพิ่งรู้ว่าพระก็ทำงานอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นผู้วิเศษ มีใบอนุญาตและเครื่องแบบให้คนกราบไหว้สามหน ทำให้ผู้หญิงเป็นของแสลง เทศน์ สอนธรรมะ หาเงินเข้าวัดเก่ง เล่นหมากฮอสไม่ยอมแพ้เด็ก รอฆราวาสถวายโน่นถวายนี่ ฯลฯ

น้องชายมาช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องเดินทางไปสนามบินมึนเช่น หลวงพี่และหลวงน้องขอแวะซื้อขนมปังเยอรมันไปฝากคณะสงฆ์ที่วัดพลัม น้องชายกับข้าพเจ้ายิ้มปลาบปลื้ม ภูมิใจ เยอรมันมีขนมปังอร่อย

ความใจกว้างของพระภิกษุไทย ความสมถะของหลวงพี่หลวงน้องที่มีโอกาสได้เห็นมาตลอดเวลาสี่วันนี้จับใจยิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยคุยกับพระ ไม่เคยเข้าวัด เพิ่งหัดอ่านหนังสือธรรมะมาไม่กี่เดือนนี้เอง การที่ต้องกลายมาเป็นลูกศิษย์พระอยู่สามสี่วัน สงสัยว่าพระคงปวดหัวกับข้าพเจ้าไม่น้อย ขนาดหลวงน้องมายนิมยังแอบมาหยิกมือข้าพเจ้าหลังเลิกงาน ฐานที่ทำให้สามเณรีน้อยหัวเราะบ่อยเกินไป

 อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ได้สัมผัสธรรมะจากการปฏิบัติ ได้เห็นความเป็นสมณะจากพระที่แท้ ได้รับน้ำใจในท่ามกลางคนแปลกหน้าในเมืองแปลกหน้า ข้าพเจ้าเหลียวซ้ายแลขวา ควรจะขอบใจใครดี

 

กลับบ้าน

บนขบวนรถไฟที่ออกจากมึนเช่น ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องที่สหายธรรมที่แบร์ลีนพยายามเตือนหลวงพี่และหลวงน้องแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นเหมือนมนุษย์ต่างดาว แล้วก็นึกถึงความรู้สึกแปลกหน้าที่ไร้ชื่อในขณะที่รอรับหลวงพี่อยู่ที่สถานีรถไฟมึนเช่นขึ้นมาได้ ข้าพเจ้ารู้สึกขำ เมื่อนึกหาชื่อให้เจ้าความรู้สึกแปลกหน้านั้นขึ้นมาได้ ไม่ใช่มึนเช่นล่ะหรือที่เป็นเหมือนโลกต่างดาวสำหรับข้าพเจ้า และไม่ใช่สมณะล่ะหรือที่เป็นมนุษย์ต่างดาวสำหรับข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้ารู้สึกตัวเหมือนนีล อาร์มสตรอง ผู้เพิ่งลงไปเหยียบพื้นดวงจันทร์

เมื่อก้าวเท้าลงมาจากรถไฟ ในหูก็เหมือนจะแว่วเสียงอ่อนโยนของหลวงพี่นิรามิสาถามว่า “เอาธรรมะติดตัวกลับบ้านมาด้วยหรือเปล่า อย่าลืมทิ้งไว้ที่วัดเสียล่ะ” มองเงาผ่านกระจกรถไฟ เหมือนจะมองเห็นหน้ามนุษย์ต่างดาว พยักหน้าให้กับกระจก “อีกหน่อยก็ชินไปเอง”

 

นักเดินทาง



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖