สองสามวันนี้
อากาศร้อนวูบขึ้นมาอีกแล้วค่ะ คุณๆ ทั้งหลายไปเที่ยวหน้าร้อนที่ไหนกันคะ
อิฉันเองเก็บวันเวลาว่าง (ซึ่งมีอยู่น้อยเหลือเกิน) ไปฉลองสอบเสร็จที่ปารีสค่ะ
ปารีสฤดูนี้เงียบมาก (ตามการให้ปากคำของคนปารีส) แต่สำหรับอิฉันผู้มาจากเมืองแสนเล็กแห่งหนึ่งในยุโรป
ปารีสมีเสียงเสนาะไพเราะดังกังวาลอยู่เสมอ ผู้คนเดินกันขวักไขว่สมกับเป็นเมืองหลวงของยุโรปค่ะ
ยิ่งเวลาสายเท่าไหร่ คนก็ยิ่่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในรถใต้ดินเมโทร เราต้องยืนเบียดเสียดกันยังกับขอขึ้นรถเขาฟรี
อิฉันกับยายหนูหริ่งเดินทางไปปารีสกันด้วยรถไฟเมื่อวันเสาร์ก่อนค่ะ
รถออกจากเมืองโคโลญน์ผ่านเมืองประวัติศาสตร์อาเค่น และผ่านกรุงบรัสเซล
ไปยังกรุงปารีส โดยใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ พอไปถึง หลังได้รับทานเป็ดย่าง
เป็ดกรอบ เป็ดตุ๋น (ตามสั่ง) ก็มีคณะทัวร์กิตติมศักดิ์พาเราไปเดินเล่นแถวตลาดสมัยกลาง
(อะไรจะเก่าขนาดนั้น) ที่นั่นเราไปเดินๆ ดมๆ ดูเนยขึ้นราน่าอร่อยของฝรั่งเศส
ดูร้านขายผลิตภัณฑ์โอลีฟ ที่มีตั้งแต่ลูกมะกอกดอง ยันไนท์ครีมมะกอกก่อนนอน
(ทาลงไหมเนี่ย) แต่ที่พวกเราเหมาซื้อมาเห็นจะเป็นผลไม้สดเสียมากกว่า
ที่ฤดูนี้มีหลากหลายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นลูกพรุนเขียว ลูกเชอรี่หอมแดง
ลูกสตอเบอรรีและแตงแคนตาลูปหวานเจี๊ยบ ที่ขาดไม่ได้สำหรับจะทานคู่กับหมูรมควันป่าดำ
ซึ่งเราติดไปเป็นของฝากจากเยอรมันให้คนแถวนั้น
ช่วงเย็น
เราไปเดินต่อที่ตลาดเอเซียในเขตสิบสาม เขตที่เป็นขวัญใจของคนไทยทั้งชาติ
เพราะมีร้านขายของชำแบบเอเซียตั้งอยู่ทั่วไป คุณๆ เคยเห็นกองทุเรียนกองยักษ์แถวตลาดอตก.ในกรุงเทพเป็นอย่างไร
ก็จะได้เห็นภาพเดียวกันที่ปารีสนี้ด้วย ยังกับเรื่องโกหกแน่ะ ที่ตลาดของชำใหญ่ตังแฟร์
อิฉันได้ซาลาเปาลูกยักษ์ๆ มาหนึ่งถุง เพื่อนนักเรียนไทยชาวปารีสคนหนึ่งไปเดินหาซื้อสุรานารีแดงจากประเทศจีน
เอ หรือเขาจะมอมเหล้าแขกที่มาเยือนกันนี่
คืนนั้น เราอยู่กันจนดึกดื่นพอสมควร ได้คุยกับเพื่อนนักศึกษาในฝรั่งเศสพอหอมปากหอมคอ
และได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกสองสามคน ก่อนจะหลับผลอยกันไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
วันรุ่งขึ้น อิฉันและยายหนูหริ่งขอแยกตัวออกมารับเพื่อนพ้องเยอรมันอีกสองคน
ตั้งแต่ยังไม่แปดโมง แม่น้องสาวคนเล็กก็มานั่งรอเราอยู่แล้วที่โรงโอเปรา
ท่าทางเธอเหน็ดเหนื่อยพอสมควร เพราะต้องนั่งรถกลางคืนมาจากเยอรมัน
เราไปเดินเล่นกันแถวเลอวองโดม ได้ดูโรงแรมหรูที่พระราชินีแห่งสยามชอบมาพักผ่อน
ก่อนย้อนกลับไปที่โรงโอเปราอีกครั้งเพื่อรับแม่น้องสาวคนกลาง ที่เดินทางจากกรุงเทพกลับมาประชุมที่ยุโรปในช่วงสองสามป
ีหลังจากที่เธอจบจากเยอรมันไป
เราเลือกร้านกาแฟแห่งสันติภาพ cafe de la paix ร้านที่ท่านปรีดีไปนั่งดื่มกาแฟในสมัยก่อน
เป็นที่รับทานอาหารเช้า (ยันบ่าย) มีหัวข้อสนทนากว่าพันห้าร้อยเรื่องตามประสาเพื่อนฝูงที่ไม่ค่อยได้เจอกัน
น้องสาวคนกลางเล่าเรื่องความขัดข้องที่ได้ไปพบเจอในการปฏิบัติราชการหลายอย่าง
โดยมีแม่น้องอีกสองคนนั่งถามและถกเถียงด้วยความสนุก อิฉันออกจะเงียบกว่าใครๆ
ก้มหน้าก้มตาทานแพนเค้กกับหมูแฮมและปลาซัลมอนอย่างเอร็ดอร่อย เพราะสำหรับคนแก่ที่ผ่านชีวิตวกวนมาอย่างอิฉัน
ปัญหาระบบราชการไทยเป็นแค่หนึ่งในสามสิบล้านปัญหาของมนุษย์เดินดิน
ที่ยังเต็มไปด้วยตัณหาและกิเลส (ฟังดูเหมือนปลงไหมคะ)
ช่วงบ่าย เราไปแจมกิจกรรมกับนักเรียนไทยในปารีส ที่นัดทำปิกนิคและฟังเพลงแจ๊ซที่สวนแวงแซนแถบตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง
สวนนี้มีต้นไม้ร่มรื่น ผู้คนมาปูเสื่อนอนเล่นกันเพลิดเพลิน ที่นั่น
เราได้ทำความรู้จักเพื่อนๆ ในปารีสอีกหลายคน ทุกคนมีโปรเจ็คการเรียนดีๆ
ที่น่าสนใจ ฟังแล้วทำให้อยากย้ายไปเรียนปารีสกับเขาเสียเลย ตอนเย็น
เราขึ้นไปกราบพระที่โบสถ์พระหฤทัย Sacre-Coeuer อธิษฐานให้มีหัวใจเข้มแข็ง
เพื่อจะได้นำพาชีวิตที่เหลือไปได้อย่างราบรื่นในเส้นทางที่ถูกต้อง
ใครเคยได้ดูหนังอเมเลีย แม่หญิงหน้าทะเล้น คงจำได้ถึงวิวสวยแถวๆ
นั้น รวมถึงที่ตลาดมงมาร์ทแสนร่มรื่น คืนวันนั้น เราเริ่มตั้งหน้าตั้งตาคุยกับเพื่อนๆ
ในปารีสอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตีสามตีสี่ยังหัวเราะกันกิ๊กกั๊กริม
Place de LItalie ทั้งเหล้านารีแดง ชีวาส คอนยัค และไวน์อีกสิบขวด
โดนพวกเราซัดเรียบ ไม่รักกันวันนั้นแล้วจะไปรักกันวันไหนก็ไม่รู้
J
วันจันทร์ พิพิธภัณฑ์ที่ปารีสก็ยังเปิดหลายแห่งนะคะ เราเริ่มเช้าวันจันทร์ด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กิเมท์
ที่มีศิลปะจากเอเซียตั้งโชว์มากมาย ที่ประทับใจพวกเราที่สุดน่าจะเป็นรูปปั้นสวยๆ
จากเขมร ยายหนูหริ่งไปนั่งตาลอยอยู่ที่หุ่นปั้นหน้าอิ่มของพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ จากนั้น เราไปหาอาหารเที่ยงแถวเมืองใหม่ La defense ตามคำเรียกร้องของยายน้องคนเล็กผู้หิวโหย
ยามบ่าย เราเข้าไปในเมือง เดินหาโบสถ์ Pantheon เข้าไปคารวะดวงวิญญาณของรุสโซ
วอลแตร์ วิคเตอร์ อูโก มารีคูรี และศพ The great man ของชาวฝรั่งเศสอีกหลายคน
ดิฉันไปโบสถ์นี้เป็นครั้งที่สองโดยไม่รู้สึกเบื่อ เพราะชื่นชมในคอนเซพต์
ที่เขาตั้งใจเอาประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ทำคุณให้บ้านเมืองมาเทิดทูนกัน
แต่พวกเราก็ยังนึกกันไม่ออกว่าถ้าจะเอาไอเดียนี้มาทำที่บ้านเรา ศพใครจะได้มาอยู่แถวนั้นมั่ง
พวกนักการเมืองคงแย่งกันน่าดู
ช่วงบ่าย
เราไปนั่งดื่มกาแฟกันในสวนลุกเซมบวร์กใกล้มหาวิทยาลัยซอร์บอน ดูผู้คนนั่งเล่นกันรื่นรมย์ท่ามกลางอากาศสดใส
หลังจากนั้นเรานั่งเมโทรไปโผล่แถวศาลปกครองสูงสุด (กองเซย์ เดตาท์)
ก่อนจะเข้าไปเดินในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์จนสามสี่ทุ่ม เราตบท้ายทัวร์วันนั้นด้วยการล่องแม่น้ำแซน
ชมเมืองปารีสแสนสวยในยามค่ำคืน ที่หอไอเฟลมีการจุดพลุสีสันสดใสเป็นแสงวิ่งไปมา
เรามองดูอย่างมีความสุขในขณะที่เจ้าน้องสาวคนกลางบอกว่าดูยังกับตัวเชื้อโรควิ่งวุ่น
(สงสัยเป็นมุมมองแบบนักเรียนสายวิทย์ ฮิฮิ) เรานั่งเถียงกับไอ้เจ้าหริ่งว่าระหว่างนั่งเรือกับเดินริมแม่นำ้ชมวิว
อะไรจะดีกว่ากัน สำหรับเรา เราชอบนั่งเอื่อยอยู่กลางสายนำ้ ทิ้งพื้นที่พักสายตาชมอาคารงดงามทั้งหลาย
ที่ว่าง (Space) เป็นสิ่งช่วยเสริมให้สถาปัตยกรรมทั้งหลายงดงามขึ้นอีกแบบมหัศจรรย์
ไอ้หริ่งมันว่าการเดินนั้นติดดินกว่า ได้สัมผัสชีวิตจริงมากกว่า
เถียงกันไปเถียงกันมา ไอ้เจ้าหนูหริ่งหัวตกหลับไปเพราะความเหน็ดเหนื่อยบนเรือนั้นเอง
รุ่งขึ้น หลังส่งแม่น้องคนเล็กที่รีบกลับเยอรมันเพื่อเรียนหนังสือต่อ
อิฉันกับแม่หนูหริ่งได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์รูปปั้นของนายโรแดง
ที่แห่งนี้เป็นความประทับใจสูงสุดของอิฉันแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน
โรแดงปั้นปูนและหล่อสัมฤทธิ์ให้กลายเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจได้
รูปปั้นของเขาไม่สวยแบบไอดีลเหมือนของสมัยกรีกโรมัน แต่ถอดความเป็นคนแบบแท้จริงออกมาได้อย่างแนบเนียน
รูปปั้นประชาชนแห่งเมืองกาเลส์เป็นประติมากรรมเพื่อชีวิตที่น่าสนใจมาก
ทำให้คิดว่าถ้าเขายังอยู่ น่าจะเชิญมาปั้นอนุสรณ์สถานให้นักปฏิวัติยุคเดือนตุลาของไทยบ้าง
จากโรแดง ไปดอร์เซย์ พิพิธภัณฑ์ที่รวมภาพเขียนแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
รูปที่เคยเห็นในแบบเรียนวาดเขียนสมัยเด็ก เช่น ของโมเน่ โกแกง ก็ได้มาเห็นที่นี่
น่าเสียดาย ที่ห้องแวนก๊อกเล็กไปสักหน่อย ดูไม่ค่อยหนำใจเหมือนที่อัมสเตอร์ดัม
บ่ายวันน้ัน เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมบ้านเพื่อนเก่าของเราด้วย Maison
der Victor Hugo ใหญ่กว่าที่เราเคยคิดไว้ วิคเตอร์ อูโก นักเขียนเรื่องที่แสนรันทดสุดเศร้า
มีบ้านหรูในแถบเศรษฐีกลางกรุงปารีส คนละแบบกับที่เราเคยจินตนาการไว้เลย
ระหว่างดูรูปวาดจากนิยายเรื่อง Les miserable เราฮัมเพลง Kosett,
mein Kind Du friest.. ให้เจ้าหริ่งฟังด้วย นอกจากนั้น เราได้้ยืนดูวีดีโอชีวิตสมัยที่อูโกต้องลี้ภัยการเมืองจนจบม้วน
ทำให้เกิดแรงไปยุเพื่อนๆ ในปารีส ให้เตรียมทำวีดีโอเรื่องการลี้ภัยของปรีดีในปารีสบ้าง
ก่อนที่พยานหลักฐานต่างๆ จะสูญหายล้มตายกันไปหมด
ก่อนกลับไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ เรานั่งเอื่อยเฉื่อยดื่มกาแฟที่ร้านกาแฟอูโกอีกนาน
ปารีสให้ไอเดียดีๆ กับเราและยายหนูหริ่งมากมาย ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์
สังคม วัฒนธรรม การเมือง ฯลฯ น่าเสียดาย ที่เราไม่มีโอกาสไปเรียนที่นั่น
แหะ แหะ สงสัย ได้เลิกเรียน หนีไปเป็นศิลปินกันหมด
มื้อเย็นวันสุดท้าย ก่อนที่รุ่งขึ้นเราจะแยกย้ายกันกลับเยอรมัน เพื่อนๆ
ที่ปารีสจัดงานฉลองให้มิตรสองคนที่เรียนจบ เรานั่งชนแก้วกันอีกรอบ
มีเรื่องราวร้อยพันที่แลกเปลี่ยนกันพูดคุย บ้านของนายกสมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศสที่เราไปพักแน่นขนัดไปด้วยผู้คนอีกครั้ง
น่าดีใจ ที่เราได้เห็นเพื่อนเก่าแก่ของเรายังคงสนุกกับการทำกิจกรรมนักศึกษา
พยายามสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นร่วมกัน เราได้ฟังเรื่องราวกิจกรรมน่าสนใจที่ปารีส
ที่บอร์โด เราได้ยินเรื่องโครงการวิชาการที่เมืองเกรอนอบ เราได้ยินโปรเจ็คมีตติ้งที่มงเปอลิเยร์
เราได้ฟังประสบการณ์การร่วมกิจกรรมช่วยเหลือคนไทยในยุโรป ที่ร่วมกับกลุ่มผู้หญิงและทางหน่อวยราชการทางเมืองไทย
รวมทั้งการร่วมกิจกรรมกับกลุ่มนักวิชาชีพในยุโรป เราได้ฟังข่าวการเยี่ยมเยือนของนักการเมืองและนักวิชาการดังหลายท่าน
ทำให้เราเชื่อมั่นว่านักเรียนไทยที่นั่นจะไปไกล ซึ่งพวกเราก็ขอส่งกำลังใจไปให้ด้วยแบบเต็มหัวใจ
หกโมงเช้าของวันถัดไป ท่านเจ้าของบ้านผู้มีเมตตาตื่นมาส่งพวกเราแต่เช้า
ท่านมีแก่ใจตื่นขึ้นมาอุ่นซาลาเปาหวังให้เรานำติดไปรับทานในระหว่างการเดินทางอีกด้วย
อิฉันน่ังรถไฟกลับเยอรมันแบบหมดแรง (สิริระยะเวลาการนอนหลับมีไม่ถึงสิบห้าชั่วโมงในสี่วัน)
บนรถไฟ อิฉันนอนหลับปุ๋ยแบบไม่ได้สติ ฝันเห็นการได้พบปะกันกับเพื่อนนักเรียนไทยในฝรั่งเศสที่กรุงปารีส
ในครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน นอนยิ้มดีใจที่มิตรภาพของพวกเราได้งอกเงยรุ่งโรจน์และจะยังคงอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์...
จอมโจรหน้าสวย
นำเสนอครั้งแรกในเว็บบอร์ดสมาคมนักเรียนไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๖
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=tsvd&topic=1562
|