หนุ่มสาวดัดจริต > วิทยาศาสตร์ทำลายสังคมและชุมชนจริงหรือ?
ความไร้เดียงสาของการศึกษาไทยในยุค Privatzation ครองเมือง
 

ณัฐพันธ์ ถนอมสัตย์

“เมืองอุตสาหกรรมใหม่” หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “NICs” (Newly Industrialized Countries) คำนี้แพร่เข้ามาในเมืองไทย ในช่วง ๑๐-๑๕ ปี ที่ผ่านมา ก่อนที่ประเทศชาติของเรา จะล่มจมด้วยพิษสงครามเศรษฐกิจ ประชาชนตาดำๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ต่างหายใจเข้าออกเป็น คำนี้ โดยที่ทุกคนวาดฝันว่า ประเทศชาติของเราจะกลายเป็นประเทศพัฒนา เป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย คุณภาพชีวิตของทุกคน จะเทียบเท่ากับชาวตะวันตก มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิต แต่ทุกคนกลับลืม และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นรากเหง้าดั้งเดิมของแผ่นดิน ของชีวิตเรา หันไปรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ขยะ) จากตะวันตก โดยขาดการศึกษาที่รอบคอบ ปัจจุบัน เราทุกคนทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่บรรพบุรุษของเรา ได้สร้างสมมา ทำลายครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มของสังคม ทำลายธรรมชาติ ทำลายวัฒนธรรม เพื่อที่เราทุกคนจะเป็น “NICs”

“NICs” ที่มาพร้อมกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปลี่ยนสภาพคนไทยตาดำๆ ไปเป็นผู้บูชาเทคโนโลยี ทำให้สภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ที่หมุนเปลี่ยนผันแปรไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ (หรือโลกาพินาศ) กลายเป็นสังคมวิกลจริต หรือสังคมไม่เป็นสับปะรด*

ในแง่ของสังคมผู้บูชาเทคโนโลยี (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมือง หรือกลุ่มคนจากชนบทกลุ่มน้อย) ทั้งชีวิตจิตใจ การสร้างเขื่อนก็ดี การวางท่อก๊าซก็ดี อาจรวมไปถึงการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ดี เป็นการสร้างเครื่องรางของขลัง และไสยศาสตร์ของสังคมทางตะวันตก ที่สามารถดลบันดาล ความมั่งคงทางโภคทรัพย์ให้กับเจ้าของ ซึ่งเปรียบเสมือนคำตอบของการดำรงชีวิตของสังคมแบบนี้

ในขณะเดียวกัน สังคมของชาวบ้านพื้นถิ่น เรียนรู้และหาคำตอบของการดำรงชีวิตกับธรรมชาติ ด้วยการสร้างสรรค์วัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ตัวอย่างเช่น สายอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำมูล ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และพอเพียง

ดังนั้นการต่อสู้ของชาวบ้านในภาคอีสาน ชาวบ้านบ่อนอก หินกรูด จังหวัดประจวบขีรีขันธ์ และรวมไปถึงชาวบ้านที่จังหวัดกาญจนบุรีกับสงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มสังคมชาวบ้านพื้นถิ่น เป็นเพียงตัวอย่างการต่อสู้ระหว่าง นักวิทยาศาสตร์อิงธรรมชาติ (ชาวบ้าน) กับนักวิทยาศาสตร์อิงเทคโนโลยีตะวันตก ในคราบของกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยมีอำนาจรัฐ และอำนาจเงิน เป็นตัวหนุนอยู่เบื้องหลัง เพียงเพื่อมิให้สังคมและชุมชนของพวกเขา ได้ถูกกลืน ถูกทำลาย ไปกับกระแสที่เชียวกราดของโลกยุค “จิ๋วระทวย**” ครองเมือง และเพื่อพิสูจน์ว่า สังคมแบบการดำรงชีวิตกับธรรมชาติ ด้วยการสร้างสรรค์วัฒนธรรมเฉพาะถิ่น หรือสังคมแบบการดำรงชีวิต ที่บูชาเครื่องรางของขลังของทางตะวันตก สังคมแบบไหนคือสังคมที่แท้จริงของการดำรงชีวิตของมนุษย์

การสถาปนาแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กมหึมาตัดสายโลหิตแห่งลำน้ำ การวางท่อก๊าซในผืนป่า ตัดลมหายใจของป่าไม้ จึงเป็นการทำสงครามระหว่างเศรษฐกิจแบบพอเพียง กับเศรษฐกิจการค้าอำนาจรวมศูนย์ (Centralization) และการลดคุณค่าของความเป็นคนเป็นมนุษย์ (Dehumanization) ลงมาเสมอกับวัตถุที่ไร้จิตและวิญญาณ

ชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน จึงกลายเป็นเพียงองค์ประกอบปลีกย่อยของแท่งคอนกรีตแท่งเหล็ก ถูกกำหนดจังหวะชีวิตโดยเครื่องจักรเครื่องกล สุดแต่จะบันดาลให้เป็นไป

จากชีวิตชาวประมงฝีมือดี ไปเป็นกรรมกรที่ไร้ทักษะ ไปเป็นเด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ เป็นคนเก็บขยะอาศัยอยู่ใต้สะพานลอยในเมืองหลวง เด็กสาวไปเป็นโสเภณีตามผับตามบาร์ ชีวิตสดใสเรียบง่ายของพวกเขาเหล่านี้ ถูกสังเวย ถูกรีดเค้น ไปให้กับคนบางกลุ่มที่ลุ่มหลงเทคโนโลยีจอมปลอม เมามัวกับกิเลสตัณหาราคะ

วิทยาศาสตร์แทนที่จะเป็นศาสตร์ที่เข้าใจในโลก ธรรมชาติในมิติที่หลากหลาย ซึ่งตรงกับความหมาย ของมันเอง กลับกลายเป็นการสร้างองค์กร และบุคคล ที่ไม่เข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของสังคมและชุมชน

ถึงเวลาหรือยัง ก่อนที่มันจะสายเกิน เราต้องสร้างความคิดและจิตวิญญาณ อันเป็นตัวตนจริงแท้ หาทางออกหลุดพ้น เผชิญโลกอันสับสนวุ่นวาย ด้วยความคิดเป็นกบฎ ศึกษาวิทยาศาสตร์อันถ่องแท้ โดยอย่ายึดติดกับการจัดอันดับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของฝาหรั่งตาน้ำข้าว เราควรเปลี่ยนแปลงสถานะ วิทยาศาสตร์จอมปลอมที่ขูดรีดธรรมชาติ มาเป็นวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ

ยุติเสียทีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ทำลายสังคมและชุมชน

จริงหรือการศึกษาไทยไร้การพัฒนา

Science and Art เป็นของคู่กัน ทันทีที่เราทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เราก็จะเหมือนคนขาด้วนที่ไม่สมประกอบ เช่น มี Art มากไปก็ไร้ตรรกะ มี Science มากไปก็ไร้จิต

จะเห็นว่า ประเทศที่ส่งเสริมทั้งสองอย่างให่ควบคู่กันไปอย่าง ญี่ปุ่น ได้พัฒนาประเทศไปถึงไหนๆ แล้ว แต่ประเทศไทย ในยุค เอกชนลิซึ่ม หรือยุค รหัส ศูนย์หนึ่ง*** ครองเมือง นั้น ผู้หลักผู้ใหญ่กลับปลูกฝังค่านิยมที่ผิดๆ ให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ แบ่งแยกความเป็นวิทย์และศิลป์ ออกจากกัน ทั้งๆ ที่ ของสองสิ่งนี้เป็นของคู่กัน ค่านิยมที่ว่าก็คือ เด็กวิทย์ หรือคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์ เป็นคนเก่ง ฉลาด หัวไว เมื่อเรียนจบจะมีอาชีพการงานก้าวหน้า ส่วนเด็กศิลป์ จะถูกมองว่า เป็นคนสมองไม่ดี คิดช้า หัวขี้เลื้อย เมื่อเรียนจบ ชีวิตการงานก็จะไม่ค่อยก้าวหน้าเมื่อเทียบกับเด็กสายวิทย์

สมัยตอนวัยรุ่นเรียนอยู่มัธยมปลาย ไปไหนมาไหนเจอผู้ใหญ่ถามเสมอว่า หนูเรียนสายอะไรคะ พอตอบว่าสายวิทย์ ก็จะมีแต่คำชมอยู่เสมอ และก็จะได้ยินคำบ่นที่มาพร้อมกับคำชมว่า ลูกป้า เรียนไม่เก่งเลย เรียนสายศิลป์ จบไปก็ไม่รู้จะงานอะไร ตอนก็นั้นไม่คิดอะไร แต่พอโตขึ้นมา ประสบการณ์ที่ผ่านชีวิตมาได้สอนเราให้เป็นคนขึ้นรู้จักตัวเองมากขึ้น การเรียนสายวิทย์ไม่เป็นจำเป็นคนเก่ง หรือฉลาดเสมอไป คนเรียนสายศิลป์ก็ไม่ใช่คนโง่หัวขี้เลื้อยเสมอไป คนเราแต่ละคนมีความสามารถกันคนละแบบ

ที่จริงการเรียนการศึกษา ก็คือ การเรียนเพื่อให้สามารถรับข้อมูลต่างๆ ได้ เช่น การเรียนภาษาต่างๆ ก็ทำให้เราสามารถรับข่าวสารข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น การเรียนคณิตศาสตร์ ก็ทำให้เราเข้าใจตรรกะ สามารถรับและเข้าใจถึงข่าวสารข้อมูลในเชิงตรรกะได้ การเรียนวิทยาศาสตร์ก็เพื่อเรียนรู้ และเข้าใจถึงวิถีความเป็นไปของธรรมชาติ

แต่ทั้งหมดนี้ที่สิ่งที่เราเคยเรียนกันมาในโรงเรียน หรือในมหาวิทยาลัย ยังไม่เพียงพอกับการดำรงชีวิตในยุคที่ เอกชนลิซึ่ม หรือยุค รหัสศูนย์หนึ่ง ครองเมือง เพราะการศึกษาในบ้านเราเป็นการศึกษาฉบับบตามก้นฝาหรั่ง ที่เน้นวิทยาศาสตร์เทตโนโลยีไร้จิตใจ เราละทิ้งการศึกษา ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวตะวันออก ที่เน้นศิลปะความนุ่มนวลอ่อนไหว ซึ่งถ้าเราสังเกตุว่าปัจจุบัน ชาวตะวันตกหันมาศึกษาภูมิปัญญาตะวันออกมากขึ้น เพื่อหาทางออกจากความจำเจที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา

ศิลปะที่ว่านี้ คือ “การล่วงรู้ความเป็นไปในจิตใจของผู้อื่น” หรือ “การเรียนรู้เข้าถึงจิตใจของผู้อื่น” อันความรู้นี้มีค่ามากในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ตัวอย่างในเชิงเศรษฐกิจ เช่น การตลาด เราวิจัยคร่าวว่า คนๆหนึ่ง ต้องการสินค้าอะไร มีลักษณะอย่างไร ถ้าเราใช้ศิลปะอันนี้ คือ สามารถล่วงรู้เข้าถึงจิตใจมนุษย์ได้ เราก็สามารถผลิตสินค้าที่ถูกใจคนมากที่สุดได้ เช่น คนไทยเรายอมจ่ายเงินมากๆ เพื่อซื้อกระเป๋าหลุยส์ติงต๊อง (Luis Vuitton) เพราะสินค้าของเขาถูกใจคนของเรา

ในเชิงสังคม ถ้าเราสามารถสัมผัสความเดือดร้อนในจิตใจของผู้อื่นได้ เช่น จิตใจของคนยากไร้ ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ เราจะมีความเมตตาสูงขึ้น เห็นอกเห็นใจคน และคิดถึงคนอื่นมากขึ้น ความรักที่แท้จริง เกิดจากความที่เราได้ล่วงรู้ความเป็นไปในจิตใจของผู้อื่น นอกจากนั้นเรายังสามารถสัมผัสจิตใจที่ดีที่มีความสุข กว่าเราได้ เราก็สามารถยกระดับและพัฒนาจิตใจเราได้ การล่วงรู้จิตใจของคนอื่นนี้ สามารถพาเราท่องกลับไปหาอดีต เข้าใจความละเอียดอ่อนลึกซึ้งของคนโบราณ เราจะรู้ว่า คนในสมัยก่อน ได้พัฒนาจิตใจถึงขั้นสูงมากเพียงใด นี่คือความหมายของ ศิลปวัฒนธรรมที่แท้จริง

ในเชิงการเมือง ขอยกตัวอย่างในแง่ลบ สำหรับนักการเมืองบางคน ข้าราชการประจำบางพวก ที่กินบ้านกินเมือง พวกนี้จิตใจต่ำทราม ไฟสุมยังกับนรก ไม่เคยรู้ว่าจิตใจที่เป็นสุขเป็นอย่างไร หลงระเริงแต่วัตถุบูชาเงินตรา ถ้าเราเข้าใจถึงจิตใจคนพวกนี้ เราจะสงสารคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจและล่วงรู้ถึงจิตใจของผู้อื่นได้ คนพวกนี้ไม่ทำประโยชน์อะไร แล้วยังเป็นอันตรายต่อสังคมและประเทศชาติ ไม่ต่างอะไรกับขยะสังคมดีๆ นี่เอง

จากตัวอย่างข้างต้น สะท้อนให้เห็นสาเหตุที่ประเทศชาติของเราตกต่ำ เพราะว่า เราเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจตามก้นฝาหรั่ง โดยสร้างการศึกษาและค่านิยมที่เราเข้าใจผิดคิดว่า พื้นฐานของความร่ำรวย คือ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำอะไรต่ออะไรให้เรา ได้ก็จริง แต่สุดท้ายเราต้องการศิลปะเข้ามาผสมผสานในระดับที่พอเหมาะและสมดุล

การศึกษาไทยสร้างคนจนลูกชาวบ้านธรรมดา ให้กลายเป็นคนดูแคลนวิถีชีวิตท้องถิ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ การศึกษาไทย สามารถผลิตคน ออกไปรับจ้างทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบไร้จรรยาบรรณ ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

เมื่อฟังผู้บริหารระดับชั้นนำของรัฐวิสาหกิจมาให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ ชวนให้คิดว่า การศึกษาไทยช่างสามารถผลิตคนหัววิทยาศาสตร์ ให้ไม่เข้าใจสังคมไทยได้อย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ

การศึกษาไทยฉบับตามกันฝาหรั่ง ที่เน้นการแปรรูปของระบบการศึกษา ให้อยู่ในรูปของเอกชน เพื่อมิให้คนจนคนยากไร้ ได้รับการศึกษา สอนให้เราเรียนรู้แต่ How to do ไม่ได้เรียนรู้ What to do สอนให้เรารู้ว่า How to live แต่ไม่ได้สอนให้รู้ว่า What to live for เราเรียนรู้ว่า How to win แต่เราไม่ได้เรียนว่า What to win วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสอนให้เรารู้จักคำว่า How แต่ศิลปะสอนให้เรารู้จักคำว่า What

เราสร้าง City of Angel (เมือง ลุ้มั้งเือง) กันเกือบเป็นเกือบตาย ใช้พลังงาน ใช้เงิน ใช้กำลังคน ใช้เทคโนโลยีมากมาย แต่สุดท้ายหาได้สร้างเมืองที่น่าอยู่อะไรขึ้นมาไม่ เพราะเราไม่ได้คิดถึง What to build เราไม่เห็นภาพเมืองที่สวยในใจมาก่อน เราไม่มีจินตนาการ เพราะเราลุ่มหลงมัวเมาไปกับเทคโนโลยีจอมปลอม ขาดการศึกษาความเข้าใจในศิลปะ

การศึกษาของไทยจึงเป็นไปด้วยความไร้เดียงสา ตราบจนถึงทุกวันนี้

สวัสดีประเทศไทย

หมายเหตุ

* สังคมไม่เป็นสับปะรด หมายถึง “สภาพแวดล้อม” ที่มนุษย์โดยรวมไม่สามารถร่วมกันอยู่ได้อย่างสันติ มีความแตกต่างจากสถานภาพทางเศรษฐกิจ มีคนรวย และคนจน ที่ถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ จนคนสองส่วนนี้ไม่อาจเข้ากันได้ โดยรวมของสังคมเต็มไปด้วยความบาดหมาง ขัดเคือง เกิดการปะทะ กันในระหว่างคนรวยกับคนจน คนรวยกับคนรวย คนจนกับคนจน สังคมนี้จึงเป็นสังคมที่ขาดปัญญา ขาดจิตใจงาม มีแต่การใช้ความรู้ ความเก่ง ความฉลาดไปเอาชนะคนอื่น แข่งแย่งกับคนอื่น สังคมระส่ำระสาย วุ่นวาย สับสน ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก สังคมนี้จึงไม่มีที่ว่างสำหรับ “ปัญญาบวกคุณธรรม”

** จิ๋วระทวย อย่าแปลเอง ฟังก่อน Micro แปลว่าเล็ก, จิ๋ว ส่วน Soft แปลว่าอ่อน, นุ่ม ดังนั้นจิ๋วระทวยหมายถึง Microsoft นั้นเอง

*** ยุครหัสศูนย์หนึ่ง ก็คือ ยุค Digital นั้นเอง เพราะรหัสในการแปลงสัญญาณมีเพียงเลขศูนย์กับหนึ่งเท่านั้น

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

๑. บทความ บนเส้นสตาร์ทเดียวกัน : สันติ ตั้งรพีพากร ; “จิตงาม” นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “สังคมคุณภาพ”

๒. บทความ “อย่าให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำร้ายสังคม” ชัชวาล ปุญปัน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

๓. บทความต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ใน Webboard ของ พันทิย์จุดคอม ในส่วนของห้องสมุด และราชดำเนิน

๔. ข่าวสารต่างๆ ที่ปรากฎใน Webseit

ขอบคุณ

๑. Internet ที่ย่อโลกมนุษย์ให้เล็กลง

๒. บทเพลงของคาราบาว ที่ช่วยจุดไฟในการเขียนงานชิ้นนี้

๓. ขอบคุณสำหรับชาวเมือง Goettingen ที่ช่วยแก้ไขและตรวจสอบข้อผิดพลาดต่างๆ ของงานเขียนชิ้นนี้

ข้อคิดส่งท้าย

Technology is dominated by two types of people:

-those who manage what they do not understand

-and those who understand what they do not manage

 



หน้าแรก
| ปัญญาชนสยาม | หนุ่มสาวดัดจริต | กังวานเกี่ยวข้อง | ข้าวตอกดอกมะเขือ | กลับสู่ด้านบน

เว็บไซต์นี้จัดทำด้วยความกระตือรือล้นของใครหลายคนนั้น
ก้อนหิน และหรือดอกไม้ กรุณาหารือกับนักการ
พยายามปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗