สวัสดีค่ะ
พี่โด่งได้เขียนเกริ่นและเล่ามาก่อนหน้านี้แล้วเกี่ยวกับกิจกรรมของกลุ่มที่จะได้จัด
ให้มีในวันเสาร์ที่จะถึงนี้
ซึ่งเราจะจัดการเสวนาเรื่อง
"ปัญหาภาคใต้กับกระบวนการ
ทางความคิดและการรับรู้ของคนไทย"
ในวันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๔๗
ณ ห้อง
๒๒๑คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์
ในทั้งนี้กลุ่มของเรา
ได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน
ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่
และรับหน้าที่
โดยตรงในการดูแลปัญหาดังกล่าว
การที่ผู้หลักผู้ใหญ่ให้เกียรติเราเช่นนี้ก็ด้วย
ความเมตตาของท่านต่อคนรุ่นหลังอย่างพวกเราประการหนึ่ง
และอีกประการหนึ่งก็
คงจะเป็นด้วยว่าท่านเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหา
และการรับรู้และพิจารณา
ปัญหาต่างๆด้วยกัน
จุดมุ่งหมายหลักอันหนึ่งของการเสวนาในวันนั้นก็คือการที่เราจะได้มาพิจารณาร่วม
กันในกระบวนการรับรู้และกระบวนการคิดของสังคมไทยต่อปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้น
และมีอยู่
โดยนำเอาปัญหาภาคใต้
ซึ่งเป็นปัญหาจริงและเป็นปัจจุบันมาเป็นกรณี
ศึกษา ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าเพื่อนๆเราหลายคนได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจยิ่งในการ
พบปะครั้งก่อนๆว่า
"สังคมไทยเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อมาแต่เดิม
และเราทั้งหลายก็ดู
จะมีความสุขกันดี
ทำไมในวันนี้สังคมของเราจึงดูเหมือนจะมีปัญหามากมาย
และดู
เหมือนการแก้ปัญหาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาใหม่อยู่เรื่อยๆ
ซ้ำ
แล้วซ้ำเล่า
อะไรคือปัญหากันแน่?"
จากความเห็นที่ตรงไปตรงมานี้
พวกเราก็ได้
คิดตามลำพัง
และช่วยกันคิดดังๆ
มาหลายหน ประเด็นแรกที่เราจับมาได้ก็
คือ "กระบวนการคิด
และกระบวนการรับรู้ปัญหาของสังคมของเรา
(หรือของเรา
เอง) เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือเปล่า?"
เมื่อมีคำถามที่ชัดเจนแล้ว
ก็น่าจะมาถึง
ขั้นตอนของการตอบคำถาม
การเสวนาในวันเสาร์ที่จะถึงนี้อาจจะพาเราไปสู่คำตอบที่เป็นไปได้
หรืออาจจะแค่
ให้ข้อมูลอันใหม่กับเรา
อย่างไรก็ตามอยากเชิญชวนเพื่อนๆ
มาร่วมรับฟัง
ขบคิด
ด้วยกันดังๆ
เผื่อว่าเราจะสามารถหาข้อสรุปที่เป็นเหมาะสม
และประโยชน์ได้
กำหนดการคร่าวๆของการเสวนาในวันเสาร์นี้เป็นดังนี้
โครงการเสวนา
เรื่อง "ปัญหาภาคใต้กับกระบวนการทางความคิดและการรับรู้ของคนไทย"
วันที่ ๑ พฤษภาคม
๒๕๔๗
ห้องประชุมคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เวลา ๙.๐๐ น.
๑๒.๐๐ น.
ไดอะล็อก เรื่อง
"กระบวนการทางความคิดและการรับรู้ของคนไทย:
ศึกษากรณี
ปัญหาภาคใต้"
๑๒.๐๐ น. ๑๓.๐๐
น.
รับประทานอาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ น. ๑๔.๓๐
น.
คุยกับพลเอกหาญ
ลีนานนท์ วุฒิสมาชิก
อดีตแม่ทัพภาค
๔ เรื่อง "ประสบการณ์
ภาคใต้ในมุมมองทหาร"
๑๔.๓๐ น. - ๑๖.๐๐
น.
คุยกับพลตำรวจโทชัชจ์
กุลดิลก อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
เรื่อง "ประสบการณ์ภาคใต้ในมุมมองตำรวจ"
๑๖.๐๐ น.- ๑๗.๐๐
น.
หาบทสรุปเรื่องกระบวนการทางความคิดและการรับรู้ที่ถูกต้องในการมองปัญหา
หากเพื่อนๆ
คนใดตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมาคุยกัน
กรุณาโทรแจ้งที่ยู--สิวินีย์
หรือพี่โด่ง--สุนทรียา
หรือจา--จารุพรรณ
ด้วยค่ะ เพื่อที่เราจะได้ทราบจำนวนคร่าวๆ
จะได้เตรียมขนม
เครื่องดื่ม
และอาหารกลางวันเผื่อไว้ให้
(ท่านละ 80 บาทค่ะ)
ส่วนเพื่อนๆที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
ก็อย่าลังเล
หรือรีรอที่จะมาพบกันที่ธรรมศาสตร์นะคะ
เพราะท่าพระจันทร์มีของกิน
เหลือเฟือสำหรับพวกเราทุกคนอยู่แล้ว
ใครอยากจะชวนใครมาเพิ่มก็ตามสบายนะ
คะ หวังว่าจะมีเพื่อนๆมากันเยอะๆ
เพราะปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาจริง
มีลักษณะที่
น่าสนใจและท้าทายหลายประการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นปัญหาที่มีศักยภาพใน
อันที่จะสามารถขยายและลุกลามไปสู่ปัญหาอื่นได้
แล้วพบกันวันเสาร์นี้ค่ะ
ด้วยความเคารพ
ยู--สิวินีย์
สวัสดีเพื่อนๆ
ทุกท่านค่ะ
ขออภัยที่หายศีรษะไปนาน
ท่ามกลางเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น
ทั้งเรื่องดีและไม่ดี
และเรื่องดีมั่งไม่ดีมั่ง
หวังว่าทุกท่านจะยังคงมีสติ
ร่ำรวยสตางค์
และเคารพสิทธิสตรีกันนะคะ
วันนี้อิฉันมีเรื่องมารายงานแปดร้อยห้าสิบเรื่อง
กรุณาอ่านกันโดยไม่กระพริบตาค่ะ
๑.
เพื่อนๆ รู้จัก
ยายไฮ
กันไหมคะ ยายไฮเป็นหญิงเหล็กจากภาคอีสาน
เธอตัวเล็ก
มีผมหงอกขาว
หน้าตาสดใส
แม้มีรอยเหี่ยวย่นมากมาย
ดวงตาก็มีแวว
ฉายประกาย
ยายไฮพูดจาฉะฉาน
เสียงดังฟังชัด
เธอกล้ายืนหยัดท้าทายอำนาจรัฐ
แบบเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
ถ้าชาวบ้านไทยเป็นอย่างยายไฮสักครึ่งหนึ่ง
พวกเราหลายคนคงไม่ต้องถ่อสังขารไปเรียนกฎหมายกันให้เหนื่อย
เพราะชาวบ้านเขาแน่กว่าเราเยอะ
๒.
แล้วเพื่อนๆ
รู้จัก สยามเด็กเล่น
ไหมคะ เมื่อวันก่อน
อิฉันไปสัมมนางานหนึ่ง
ได้มีโอกาสเจอสมาชิกของกลุ่มนี้ค่ะ
กลุ่มสยามเด็กเล่นเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่
ที่พยายามรวมตัวกันจากนักเรียนนักศึกษาหลายๆ
สาขา สนใจในกิจกรรมหลากหลาย
อยากรู้ไปเสียทุกเรื่อง
(คล้ายกลุ่มคนแก่แถวนี้เหมือนกัน)
เคยมีคนถามพวกเขาว่าทำไมกลุ่มถึงชื่อสยามเด็กเล่น
พวกเขาบอกว่าต้องการแสดงถึงตัวตนที่แท้จริง
ก่อนมาถึงชื่อนี้
เคยคิดชื่อกันมากมาย
ตั้งแต่ สยามสคูล
(siam school), Modern Act, ห้องน้ำ
(ตั้งด้วยความรู้สึกที่ว่าห้องน้ำเป็นที่ระบายเฉกเช่นกับโครงการตั้งกลุ่มที่มีไว้ระบายความคิดเห็นของพวกเขา)
ห้องน้ำไม่ปิดประตู(เป็นการระบายอย่างเปิดเผย),
ลานหน้าโรงเรียน
แล้วก็ยังมีอีกหลายชื่อ
ในที่สุดที่ลงท้ายที่ชื่อสยามเด็กเล่นเพราะคำว่า
สยาม มีความหมาย
2 นัย หมายถึงประเทศไทย
กับ สยามสแควร์
ที่เป็นแหล่งแสดงเสรีภาพของวัยรุ่น
ส่วน เด็ก
หมายถึง
เยาวชนคนรุ่นใหม่
คำสุดท้าย
เล่น
ในความหมายขั้นต้น
คือ การกระทำเพื่อความสนุก
เร้าใจ แต่ในขณะเดียวกัน
คำว่า เล่น
ก็มีความหมายอื่น
เช่น เล่น บางทีไม่ได้แปลว่า
เล่น มันแปลว่าทำจริง
เช่น เล่นการเมือง
หรือ ทำอย่างหมกมุ่น
เช่น พวกสมัครเล่น
ฯลฯ
ดูที่มาเรื่องชื่อกลุ่มที่เด็กๆ
เขาตั้งกัน
ก็อาจทำให้พวกเราพยายามตั้งใจหาชื่อกลุ่มของเรากันอีกสักครั้งนะคะ
ตามที่จ๋าและยูได้เคยตั้งประเด็นไว้ค่ะใน
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=siamsynchronicity&topic=23
ใครมีไอเดียอะไรดีๆ
ก็ลองแนะนำมาอีก
และลองมา Vote
กันดูสักครั้ง
ดีไหมคะ
๓.
กิจกรรมพบปะของพวกเราเมื่อวันที่
๑ พค. ที่ธรรมศาสตร์
เป็นไปอย่างน่าสนใจมาก
ตามที่เพื่อนของเราบางคนได้รายงานไปแล้ว
ช่วงเช้าพวกเราประมาณ
๑๐ คน ได้คุยแลกเปลี่ยนมุมมองของพวกเราที่มีต่อเหตุการณ์ในภาคใต้
แอ๋มเปิดประเด็นไฟใต้ด้วยภาพถ่ายดาวเทียมไฟป่าที่นราธิวาสที่เผาลุกร้อนแรงในวันถล่มกรือเซะ
สะท้อนมุมมองนักอนุรักษ์บรรยากาศเป็นอย่างดี
ดร.จามาด้วยสูตรเอ็นจิเนียร์
อินพุท..โพรเซส..เอ้าท์พุท
ดร.จุฬานีจากเบอร์ลินมาเล่าประวัติศาสตร์โจรจีนใต้ในฐานะคนเบตง
ต่อด้วยอาจารย์กิตติศักดิ์กับทางออก..ต้องให้อิสลามดี..ล้างอิสลามแย่..
ฯลฯ ช่วงบ่าย
ท่านสว.หาญฯ
เตรียมเรื่องราวมากมาย
พร้อมเอกสารประกอบที่ท่านทำทั้งคืนเพื่อพวกเรามาเผยแพร่ให้พวกเราได้รับรู้แนวคิดของท่าน
ในฐานะอดีตผู้ดับไฟใต้และผู้ยังคงอยากช่วยดับไฟที่ยังลุก
ท่านชัชจ์
กุลดิลก อดีตผชก.และอดีตตำรวจสายความมั่นคง
มีข้อมูลน่าสนใจ
พร้อมกับได้แสดงมุมมองตำรวจอย่างตรงไปตรงมา
ทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองของเจ้าหน้าที่ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นห่วงสถานการณ์ที่ลุกลามไม่หยุด
โดยเน้นย้ำประเด็นเรื่องการก่อการร้ายและขบวนการโจรที่มีพัฒนาการอย่างเป็นระบบ
ซึ่งเป็นปัญหาที่คนไทยต้องรู้จักจัดการอย่างเหมาะสม
โดยท่านผู้ใหญ่ได้ฝากความหวังไว้กับเด็กๆ
อย่างพวกเราด้วย
ที่จะต้องดูแลปัญหาบ้านเมืองกันต่อไป
ช่วงเย็นวันนั้น
เราไปกินข้าวเย็นกันต่อแถวริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ะ
ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าพวกเราหกเจ็ดคนอาจจะลองเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องภาคใต้กันคนละหนึ่งบท
แล้วเอามาโพสต์ให้เพื่อนๆ
ในกลุ่มที่ไม่ได้มาร่วมงานได้อ่าน
นอกจากนี้
เราอาจจะเอาบทความเหล่านี้ไปลงหนังสือพิมพ์เผยแพร่ความคิดให้กว้างขวางขึ้นต่อไป
(ซึ่งระบบการคุยแล้วเขียนนี้
อาจนำไปใช้หลังการพูดคุยเรื่องอื่นๆ
ของเราในอนาคตด้วย)
ซึ่งก็อย่างที่จ๋าได้เคยถามไว้แล้วว่าเราควรจะนำเสนออย่างไรต่อที่สาธารณะ
ที่วันนั้นพวกเราคิดๆ
กัน ก็คือเราจะใช้ชื่อพวกเรา
(นามจริงหรือนามแฝง)
แล้วต่อด้วยชื่อกลุ่ม
(หากสรุปชื่อกันได้)
ทั้งนี้ เพื่อให้แต่ละคนรับผิดชอบเรื่องราวที่ตัวเองเขียนไป
สำหรับชื่อกลุ่ม
ก็เพื่อแสดงความเกี่ยวเนื่องและความต่อเนื่อง
ว่าเรามากันหลายคน
แบบช่วยกันคิดในระดับหนึ่ง
มิใช่ Individual
ที่นั่งคิดคนเดียวแล้วก็เขียนอะไรออกมาคนเดียวค่ะ
ไม่รู้เพื่อนๆ
ท่านอื่นๆ
เห็นกันยังไง
เท่าที่ทราบตอนนี้
แอ๋มกับกุ๊กไก่เขียนเสร็จแล้ว
อิฉันเองสนใจเขียนเรื่อง
อวิชชาและอัตตา:
Keywords ปัญหาภาคใต้
ฟังดูผู้เขียนมีอัตตามากไปไหมเนี่ย
??
ประเด็นเรื่องภาคใต้
พวกเรายังสามารถทำอะไรได้อีก
หากสนใจ เช่น
เพื่อนบางคนแนะนำให้ลงไปในพื้นที่ไปเลย
(เอาจริงป่าว
??)
นอกจากนี้
มีกลุ่มกรรมการกลางอิสลามที่เราเคยติดต่อไว้
สนใจจะให้ข้อมูลแก่เราด้วย
(เขาติดต่อผ่านยูมาค่ะ)
ทั้งหมดก็คงแล้วแต่พวกเรานะคะ
เท่าที่ได้ยิน
คิดว่าพวกเราบางคนยังให้ความสนใจอยู่
เช่น อาจารย์เอเชียที่เพิ่งรับหน้าที่ใหม่ที่สสส.
เรื่องการดูแลด้าน
Spiritual อาจมีแผนทำอะไรต่อไป
ซึ่งหากมีอะไรจะมาเผยแพร่แก่เพื่อนๆ
ทุกคนที่นี่ก็คงจะอยากฟังค่ะ
๔.
ปรากฏการณ์ที่เพื่อนๆ
ทางต่างประเทศทั้งทางยุโรป
อเมริกา ฯลฯ
ตื่นตัวต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
หลายคนก็อาจมองกันไปได้หลายทาง
ดังเช่นความเห็นเกือบสองร้อยความเห็นในกระทู้ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสองวันนี้
http://www.manager.co.th/asp-bin/Viewnews.asp?NewsID=4783937661050
ในส่วนตัวของอิฉัน
แม้จะไม่ได้ร่วมลงชื่อ
หรือไม่ได้มีเวลา
comment เรื่องที่หมอจู๋
น้องเอก หมออึ่ง
ยัยจ๋า อาจารย์ชลัท
และเพื่อนหลายท่านกรุณาร่างกันมา
เพราะการงานมากมายไม่เปิดโอกาส
ก็ขอแสดงความชื่นชมทุกท่านที่หวังดีต่อประเทศชาติค่ะ
ประเด็นเรื่องเราจะเอายังไงกับปัญหาของประเทศชาติเราก็เป็นประเด็นหนึ่ง
สำหรับประเด็นที่ว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่ดีควรมีขอบเขตที่ไหน
ก็เป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องช่วยกันคิดอีกประเด็นหนึ่งค่ะ
มีคนว่าเป็นนักเรียนก็ควรจะเรียนหนังสืออย่างเดียว
เป็นข้าราชการก็ควรจะทำงานไปวันๆ
อย่างเดียว
ก็น่าพิจารณาว่ามันจะถูกกับยุคสมัยในโลกที่มีระเบิดพลีชีพกันทุกวัน
มีมีดตัดหัวให้เห็นกันทุกคืนอย่างยุคนี้หรือไม่ค่ะ
๕.
คุยเรื่องความร่วมมือจากฝ่ายอื่นที่จะมีแก่กิจกรรมทางเมืองไทยของเราบ้างดีกว่า
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
พวกเราบางคนได้มีโอกาสไปพบดร.โครบอท
ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริด
อีเบอร์ท ที่สนใจงานด้านการสร้างกิจกรรมประชาธิปไตยในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งท่านยินดีสนับสนุนกิจกรรมของพวกเรา
เช่น อาจจะมีกิจกรรมร่วมกัน
ได้แก่การจัดคุยเรื่องปัญหาชนกลุ่มน้อยในยุโรป
เรื่องเลือกตั้งกทม.และการจัดการเมืองหลวงในมุมฝรั่ง
ฯลฯ หรือยินดีให้เราไปใช้ห้องประชุมได้
ก็นับเป็นความกรุณาอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้
ทางสมาคมศิษย์เก่าเยอรมันฯ
(สนย.) ก็ยินดีอนุญาตให้พวกเราใช้สถานที่ห้องประชุมของสมาคมฯ
(office
สมาคมภาคพื้นยุโรปก็อยู่ที่นี่ค่ะ)
เพื่อพบปะทำกิจกรรมเป็นครั้งคราวได้
และพี่ๆ ได้เชิญพวกเราบางคนไปนั่งเป็นกรรมการกลางเพื่อช่วยบริหารงานของสมาคมฯ
ด้วย โดยกิจกรรมหลายส่วนนั้นน่าจะสามารถแจมกับกิจกรรมของ
Circle of Friends ได้
ดังที่เคยเรียนให้ทราบแล้ว
เช่น กิจกรรมไดอะล็อกที่เรามีนัดกับพี่ชัยวัฒน์ไว้
(กลุ่ม InWent ที่จะให้เงินขอให้เราแก้โปรเจ็คเล็กน้อย
โดยมีแนวโน้มจะได้เงินตามที่ขอค่ะ)
นอกนั้น พี่ๆ
บอกว่าถ้าเราสนใจเรื่อง
Conflict Management ก็ขอให้ลองเขียนโปรเจ็คมา
เพราะ กลุ่ม
InWent ยินดีจะให้เงินเพื่อการนี้เป็นพิเศษ
อ้อ ทางสถาบันเกอเต้
ขอเชิญร่วมจัดงานเกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยอรมัน
(อาจมีเวอร์ชั่นทางส่วนไทย
รวมทั้งการจัดประเด็นเรื่องเทคโนโลยีกับสังคม
ฯลฯ) ในช่วงปลายปีนี้ด้วย
หากใครสนใจขอให้ติดต่อยู
แฟรงค์หรืออาจารย์สุริยันต์
รุ่นพี่สนย.นะคะ)
๖.
อย่างที่เล่าข้างต้นค่ะ
เรื่องกิจกรรมในอนาคตของทางเมืองไทย
มีคนคิดช่วยเหลือหลายทางอยู่
แต่กิจกรรมจะเดินไปได้จริงอย่างไร
คงแล้วแต่พวกเราทุกคน
ถ้าเหนื่อยกันนัก
ก็หยุดมันสักพัก
แต่หากใครยังไฮเปอร์อยู่ก็พากันเดินต่อไปค่ะ
ไม่มีอะไรต้องคิดมาก
ใดใดในโลกล้วนมายา
คนที่ยังโสดหนา
แต่งได้ ฮ่า
ฮ่า ไปดีฝ่า
หวัดดีทุกท่าน
ฝันดีทุกคนค่ะ
ด้วยความรักจับขั้วหัวใจ
โด่งศรี
มณีรินทร์
ปล.
คำคมก่อนนอน
แหะ แหะ
สร้างศูนย์กีฬาดีจังหวัดละร้อยล้าน
สร้างลูกหลานเตะบอลดีดุจโอเว่น
|