Home
29 ตุลาคม 2542 เวลา15.40น.ขณะที่ผมกำลังหม่ำบะหมี่เกี๊ยวน้ำหมูแดงเจ้าอร่อยที่สำเพ็งอยู่นั้นมือถือของผมก็ดังลั่นขึ้นมา นั่นคือคุณเชาวน์นั่นเอง "ได้ข่าวว่าเสาร์นี้คุณหมูจะไปปั่นจักรยานบนเขาใหญ่เหรอครับ?" "ครับผม ก็ไม่มีใครไปไหนกันเลยนี่นา พี่เด่นก็เจ็บคนอื่นๆที่ไปแสลงหลวงก็ไม่ไปไหนกัน ผมเลยว่าจะไปปั่นบนเขาใหญ่อีกซักทีติดใจครับ" "เอางี้ไหมคุณหมู ปั่นขึ้นเขาใหญ่กัน แต่จากทางปราจีนนะครับไม่ใช่ทางปากช่อง"" เหวอ!!!!!!! จะไหวเหรอครับคุณเชาวน์? สามสิบกิโลเมตรเชียวนาแถมขึ้น75%แต่ลงแค่25%เองด้วย!!!!!!! " "ไม่ยากหรอกครับ ทางปราจีนเขาก็ใช้เส้นนี้เป็นที่ซ้อมกันตกลงนัดเจอกันเวลาไหนดี"เอาก็เอานะ ตายเป็นตาย ผมคิดในใจ แล้วตอบคุณเชาวน์ไปว่า"ตกลงเจอกันที่ด่านเนินหอมเวลา08.30น.ก็แล้วกันครับ" พรุ่งนี้ต้องเจอศึกหนักแน่ๆปั่นทั้งขึ้นและลงไม่ต่ำกว่าหกสิบกิโลเมตรแน่นอน อย่างนี้ต้องCarboLoadให้หนักๆ ว่าแล้วก็"พี่ๆบะหมี่เกี๊ยวน้ำเบิ้ลอีกหนึ่งครับ" ฮิฮิ คืนนั้นผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน จะเอาตัวรอดไหมนะ?? เอาน่าถ้าไม่รอดก็เปลี่ยนสภาพจาก"สิงห์นักปั่น"ไปเป็น"สิงห์นักโบก"ก็แล้วกันลุย.....30 ตุลาคม 2541 เวลา08.30น. คุณเชาวน์มาก่อนเวลานัดนิดหน่อย แต่ผมมารออยู่ก่อนแล้วครับ ประกอบรถเสร็จก็พอดีคุณเชาวน์มาถึงพอดี เอ...พาใครมาอีกคนด้วยเนี่ย? อ้อ คุณม้อนี่เองแฮะ อย่างคุณม้อนี่ไม่น่าห่วง เท่าไหร่อยู่แล้ว(ใครที่เคยไปออกทริปกับเธอจะรู้ดี)ตกลงวันนี้พวกเรามีกันแค่2คนกับหมู(ผมเอง)หนึ่งตัวขณะที่กำลังประกอบรถกันนั้น คุณม้า เพื่อนคุณเอ๋ I-Driveก็ผ่านมาพอดีเพราะว่าจะไปปั่นกันบนเขาใหญ่พอรู้ว่าพวกเราจะบ้าปั่นขึ้นเขากันแกก็ทำหน้าชอบกลคงคิดในใจว่า"พวกนี้มันบ้าจริงๆแฮะ ตั้งสามสิบกิโล"... เมื่อประกอบรถเรียบร้อย เตรียมน้ำและอาหารครบครันเพราะกะว่าไม่ทันทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารบนที่ทำการแน่ๆแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางตอน08.52น.พอดิบพอดี เขาใหญ่ทางด้านด่านเนินหอมก็ต้อนรับเรา ทันทีด้วยเส้นทางที่สูงชันขึ้นไปเรื่อยๆ สลับด้วยทางโค้งซิกแซกไปมา แต่ว่านี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น แรงยังมีกันแยะ เลยสามารถผ่านช่วงแรกไปได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไร นักโดยที่จะพักกันทุก5กิโลให้พอหายเหนื่อยแล้วลุยต่อแล้ว5กิโลเมตรแรกก็ผ่านไปแบบไม่ทรมานมากนักแค่ลิ้นห้อยออกมาจุกปากกับHRMระดับ180+ตลอดเวลาเท่านั้นเอง แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆ เลยหยุดพักกันดีกว่านะ หลังจากหยุดพักกันพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางกันต่อช่วงนี้ทางเริ่มจะชันขึ้นและยาวขึ้นทุกขณะ ยอดเนินที่เห็นอยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่ทำไมถึงใช้เวลามากมายเหลือเกินหนอกว่าจะ ฝ่าฟันไปได้ แถมพอถึงยอดเนิน หวา...ยังมีเนินซ้อนกันอีกต่างหาก กำลังใจผมเองที่ไม่มั่นคงมาตั้งแต่เมื่อคืนก็เริ่มสั่นคลอนมากขึ้นๆ เริ่มนึกถึงการเป็น"สิงห์นักโบก"แทนที่จะ เป็น"สิงห์นักปั่น"มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็แข็งใจว่าไปตัดสินใจกันที่ทางเข้าน้ำตกเหวนรกเถอะ.....และแล้ว พวกเราก็มาถึงน้ำตกเหวนรกที่กิโลเมตรที่10(โดยประมาณ)จนได้ไม่มีการรั้งรอละ ครับ รีบสั่งน้ำเย็นและน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งมาทานดับกระหายกันเป็นการใหญ่นั่งพักรออยู่จนรู้สึกดีขึ้นเลยมีมติว่าอีกซักพักถ้าไม่ไหวค่อยโบกก็แล้วกันนะ โอเคไหม? เป็นอันตกลง เราเลยนั่งพักอีกครู่ใหญ่แล้วออกมาจากปากทางเข้าน้ำตกเหวนรกออกมาได้ไม่นานนักแค่2กิโลก็ต้องรีบเข้าข้างทางทันที เพราะว่ามีรถทัวร์ปรับอากาศ2คันขับไล่กันมาจากทาง ด้านหลังด้วยความเร็วสูงทำเอาผมใจหายวูบกลัวจะเป็นเหยื่อให้มันขม้ำไปเสียเปล่าๆ แถมเวลาขึ้นเนินรถทั้งสองคันต่างก็พร้อมใจกันพ่นควันดำๆออกมามากมาย ยังงี้จะปั่นไปทำไมกันล่ะ? พักดีกว่า เห็นด้วยไหมครับ? พักกันแว๊บนึงพอให้ควันจางก็ไปต่อ ทางช่วงนี้ไม่โหดเหมือนอย่างช่วงแรกเป็นทางขึ้นที่ไม่ชันมากนักและมีทางลงมาสลับอยู่พอสมควรทำให้พวกเราใช้ความเร็วกันได้ดีขึ้นความ เหนื่อยแบบจะรากเลือดแบบช่วงแรกก็ไม่มาปรากฎเลยมีมติกันอีกทีว่าถ้าถึง20กิโลเมตรแล้วค่อยมาตัดสินกันใหม่อีกทีว่าจะโบกหรือปั่น ปั่นกันไปเรื่อยๆจนผมมาพักอยู่ที่สะพานประมาณกิโลเมตรที่19 ขณะที่คุยกันอยู่นั้น รถที่เพิ่งแล่นลงมาจากด้านบนก็มีข่าวดี(มั้ง)มาบอกว่า"น้องๆ จะปั่นไปถึงไหนน่ะ?""ไปถึงข้างบนเลยครับ" "เลยจากที่น้องพักนี่ไปอีกซักสองโลมีช้างมายืนขวางอยู่นะระวังหน่อยก็แล้วกัน""!!!!! ได้ครับ จะระมัดระวังอย่างที่สุดเลยครับ กึ๋ยๆ" คราวนี้ต้องมีมติกันใหม่ทันที ก็คือปั่นไปเรื่อยๆก่อนถ้าช้างมีกิริยาท่าทางอยากจะมาทักทายพวกเราก็ให้เปลี่ยนสภาพเป็นนักDHกันเลย ไม่ปงไม่ไปมันแล้วข้างบนน่ะ ก็โอเค ผมเลยออก นำมาก่อนเป็นการเบิกทางขณะที่ปั่นอยู่ก็มีรถแซงไปสองคัน ดีเหมือนกันนิ จะได้รู้ตัวก่อนว่ามีช้างหรือเปล่า บนถนนก็เต็มไปด้วยขี้ช้างสดๆหลายกองและชักจะมีมากขึ้นเรื่อยๆจน กระทั่งผมเห็นรถที่แซงผมไปสองคันจอดอยู่ ก็รู้ได้ทันทีว่ามีช้างขวางอยู่แน่นอน(จากที่ผมหยุดพักเมื่อครู่สองกิโลเมตรจริงๆซะด้วย)..... เขาเป็นช้างโทนครับ เป็นช้างพลายเสียด้วย เดินส่ายหัวส่ายหูด๊อกแด๊กๆไปมาอยู่กลางถนนอย่างสบายใจโดยค่อยๆเดินเข้ามาทางผมและรถทั้งสองคันที่แซงผมไปด้วย!ช้างทำท่าสบาย ใจแต่คนขับรถทั้งสองคันทำท่าว่า"ตูจะรอดไหมเนี่ย"ลนลานถอยรถหนีจนกระทั่งหวุดหวิดจะชนกันเอง ผมเห็นท่าจะไม่ดีเลยหันหัวกลับลงมาบอกคุณเชาวน์และคุณม้อที่เพิ่งจะปั่นมา ถึง เราทั้งสามเลยกลายเป็นนักDHชั่วคราวปั่นๆๆลงมาประมาณเกือบกิโลเมตรนึงแล้วก็มานั่งรอว่าจะเอายังไงกันดี สรุปอีกทีว่าถ้ามีรถลงมาได้นั่นคือว่าช้างเขาหลบเข้าไปในป่าแล้ว ปั่น ต่อได้ นั่งรอได้ไม่นานก็มีรถลงมามากมายหลายคัน เป็นอันว่าเรียบร้อย ปั่นขึ้นเขาต่อกันเถอะ แต่.....
ช้างป่า มักปรากฎตัวให้เห็นอยู่เสมอบริเวณข้างทางขึ้นเขาใหญ่ทางปราจีน ภาพโดย ตาเกิ้น
หลังจากที่มีฉันทามติว่าไปกันต่อ ผมก็ออกนำตามเดิม ปั่นมายังไม่ทันถึงจุดที่เจอช้างดีก็มีเสียงไม่ไผ่หักโผงดังมาจากทางซ้ายมือผมรีบฉากออกมาอยู่กลางถนนแล้วเหลียวไปทางซ้าย นั่นปะไร!!คิดอะไรไม่มีผิดเขานั่นเองครับ แอบอยู่ข้างทางตรงโป่งหักต้นไม้ใบไม้มากินโดยที่ผมปั่นห่างจากเขาไม่ถึง20เมตร! ดูท่าทางเขาคงจะไม่"ขับ"ผมแน่ แต่ก็วางใจไม่ได้เพราะ ว่าตาเล็กตี่ของเขาจ้องมาที่ผมเขม็งเชียว ผมรีบปั่นหนีออกมาอีกแล้วมองไปข้างหลังเพื่อเตือนคุณเชาวน์และคุณม้อให้รีบปั่นหนีซะก่อนที่พ่อพลายโทนจะเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาก็ ผ่านพ้นมาได้แบบสวัสดิภาพ(แต่ใจหายวาบๆไปสองสามหน!)เหตุการณ์ช่วงนี้ทำเอาเส้นทางที่ดูว่าโหดกลายเป็นง่ายขึ้นมาทันทีหลังจากปั่นกันจนแฮ่กๆแล้วก็มาหยุดที่สะพานอีกสะพานหนึ่งเพื่อพักเอาแรง(และใจ)กลับ คืนมาตรงนี้เจอเรื่องที่ไม่น่าชมเกิดขึ้น นั่นคือรถตู้ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง2คัน"ขับแข่ง"และไล่แซงรถคันอื่นๆที่อยู่บนเส้นทางโดยที่ไม่สนใจเลยว่าตรงนั้นมันเป็นสะพานหรือ ว่ามันเป็นทางโค้ง! แย่มากครับ มาทัศนศึกษาบนนี้น่าจะทำตัวให้มีคุณค่ามากกว่านี้สักหน่อยแย่จริงๆ นอกเรื่องไปหน่อย กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับหลังจากที่พักกันเรียบร้อยก็ไปต่อ ตอนนี้เหลือระยะทางอีกไม่เกิน10กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานแล้วพวกเรามีกำลังใจกันมากขึ้น(หรือผมคนเดียวก็ไม่รู้เพราะว่าท่าทางสองคนนั้นคงไม่โบกแหงๆ) ถึงแม้ว่าทางจะขึ้นๆๆๆๆและมีช่วงทางลงน้อยลง และทางเริ่มขรุขระมากขึ้นแต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเอาไว้ได้ จนมาถึง Stairway to heaven(อันนี้ผมตั้งเอง) เป็นทางขึ้นที่เมื่อมอง แล้วจะเห็นแต่ท้องฟ้าไม่มีภูเขาหรือต้นไม้เป็นฉากหลังเลย ซึ่งก็คือทางลงอันมหากาฬนั่นเองครับ ผมเตือนคุณม้อและคุณเชาวน์ให้ลงอย่างระมัดระวังเพราะว่าทางจะขรุขระมาก แล้วผมก็เริ่มก่อน ขนาดลงมาแบบเลียเบรคและคอนโทรลรถโดยไม่ได้ปั่นเลยยังได้ความเร็วกว่า53กิโลเมตร/ชั่วโมง โหดและสนุกมากครับ แต่สุดทางลงก็เป็นเนินยาวที่ขึ้นมาถึงข้างบนได้ด้วยเกียร์1-1เท่านั้น ทั้งๆที่ลงมาด้วยความเร็ว53กม./ชม.แท้ๆ เฮ้อ.....พ้นตรงนี้ไปก็คือทางขึ้นเขาเขียวพอดี นี่เรามาอยู่บนเขาใหญ่แล้วนี่นา ไชโยหลังจากที่พักกัน นิดนึงก็ตกลงกันว่าไปทานอาหารกลางวันกันที่ที่ทำการเลยดีกว่าไปถึงที่นั่นไม่น่าจะเกินเที่ยงครึ่งแน่ๆเพราะว่าเหลืออีกแค่3กิโลเมตรเท่านั้นปั่นไปปั่นมาจนเกือบถึงมอสิงโตก็เจอกลุ่ม คุณI-driveกำลังล้างรถกันอยู่ สอบถามได้ความว่าไปปั่นเส้นSinglt Trackช่วงสนามกอล์ฟกัน แต่ตอนเช้าฝนตกหนัก เพราะฉะนั้นจึง...เละ...ไป...ตาม...ระ...เบียบ หลังจากนั้นก็มาถึงที่ทำการโดยสวัสดิภาพแบบเป็นตะคริวนิดหน่อย? ระยะทางอยู่ที่34กิโลเมตร ใช้เวลาบนรถอยู่ที่2ชั่วโมงกับอีกนิดหน่อยแต่เวลาปั่นจริงรวมพักและหนีช้าง ด้วยอยู่ที่สามชั่วโมงเศษครับ รีบสั่งอาหารเที่ยงมาทานด้วยความหิวโหยอย่างหนัก และนั่งผึ่งให้หายเหนื่อยจริงๆประกอบกับมีฝนตกลงมาจึงรอให้ฝนหยุดด้วยทำเอากว่าจะออกเดินทางลงมาข้างล่างก็บ่ายโมงครึ่งพอดิบพอดี ลงมายังไม่ทันถึงทางแยกลงปราจีนก็เห็นนกเงือกบินผ่านหน้าไปหนึ่งคู่ เป็นการยืนยันได้กระมังว่าป่าเขาใหญ่เป็นป่าสมบูรณ์แล้วพอเจอนกเงือกปั๊บก็เกิดฝนตกหนักอีกแล้ว เลยไป จอดรอตรงอาคารอบรมของเขาใหญ่นั่งรออีกครึ่งชั่วโมงฝนเริ่มซาลงจึงออกเดินทางกันต่อ
นกกาฮัง นกเงือกขนาดใหญ่ที่พบเห็นได้ไม่ยากนักที่เขาใหญ่ ภาพโดยตาเกิ้น
ขาลงนี่ความยากลำบากในขาขึ้นก็จะเป็นความสบาย นั่นคือเป็นทางลาดลง75%และความสบายในช่วงขาขึ้นก็คือความลำบากที่มากกว่าปกติเพราะว่าหมดแรงกันแล้ว นั่นคือทาง ขึ้น25% และStairway to heavenก็กลายเป็นเนินมหึมาที่ต้อง1-1เหมือนเดิมความโหดได้กลับมาเป็นช่วงๆตลอดเลยละครับ แถมยังมีฝนตกหนักเป็นช่วงๆทำให้ทางลื่น และอันตรายมากกว่าปกติ แต่พอปั่น(ที่จริงปล่อยไหล)ลงมาได้สัก10กิโลเมตร คราวนี้ทางแห้งสนิท ปล่อยไหลแบบหมอบสุดๆเอามือซ้ายจับท่อล่าง ได้ความเร็วมาก กว่า60กิโลเมตร/ชั่วโมง เมามันไปกับความเร็วจนเกือบจะกลิ้งเพราะว่าไปเจอเอาโค้งที่มีหลุมบ่ออยู่ตรงกลางพอดิบพอดี ดีที่เนียนเบรคมาแต่ไกลเลยรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เส้นทางขา ลงนี่ถือเป็นสิ่งที่สนุกที่สุดของการมาปั่นในครั้งนี้ครับ คุณม้อมาบอกในตอนหลังที่ลงมาถึงที่จอดรถแล้วว่า ไม่รู้ว่าตัวเองปั่นขึ้นไปได้อย่างไรจริงๆกับเส้นทางที่โหดแบบนี้ ขาไปใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงครึ่ง แต่ขากลับใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง นี่ถ้าไม่เป็นเพราะว่าฝนในช่วงแรก เวลาคงจะดีมากกว่านี้อย่างแน่นอนครับระยะทางบนรถของผมอยู ที่68.15กิโลเมตร แต่คุณเชาวน์และคุณม้อคงได้เฉียด69กิโลเพราะว่าแกจอดรถห่างจากผมมากเป็นการปั่นที่สนุกสนานและประทับใจมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยครับ หมูภูเขา
เพื่อนชาวเสือภูเขาคนอื่นๆถ้าอยากจะเขียนเล่าเรื่องการเดินทางให้อ่านกันก็ส่งมาได้เลยนะครับ
คุยกันรอบกองไฟ
เซ็นสมุดเยี่ยม
สมัครสมาชิก Thailand Outdoor ฟรี