| 
 
 
 
 
    | 
 
        
          | กินสดไส้ติ่งอักเสบ 
  ผักผลไม้ลดปัญหาไส้ติ่งอักเสบ ผู้ที่เป็นไส้ติ่งอักเสบส่วนใหญ่มักไม่ถึงตาย ทั้งนี้ เพราะวิทยาการทางการแพทย์ยุคใหม่ทำให้สามารถผ่าตัดไส้ติ่งได้ทัน 
              ไส้ติ่งอักเสบจึงกลายเป็นเรื่องปกติของเด็กฝรั่ง ได้ยินได้ฟังกันชาชิน 
              แม้แต่เด็กไทยเองในปัจจุบันก็เริ่มจะบ่นรื่องไส้ติ่งอักเสบให้ได้ยินกันบ่อยขึ้น ไส้ติ่งอักเสบก็เพราะมีเศษอาหารไปตกค้างในไส้ติ่ง ตามปกติร่างกายจะมีกลไกขจัดเศษอาหารแข็งเกินไปร่างกายก็ขจัดไม่ไหว 
              เหมือนมีคราบหินปูนไปเกาะฟัน แปรงฟันธรรมดาคงยากที่จะขจัดหินปูนออกไปได้
              วิธีการที่ป้องกันเศษอาหารตกค้างในบริเวณไส้ติ่งจำเป็นจะต้องใช้ 2 
              เทคนิคง่าย ๆ เทคนิคแรกคือทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านบริเวณปากไส้ติ่งเร็วขึ้น 
              และเทคนิคที่สองคือจะต้องทำมห้เศษอาหารนุ่มขึ้น อย่าให้แห้งหรือแข็งเกินไป
              การเพิ่มฟักผลไม้หรือแม้กระทั่งธัญพืชรวมไปถึงอาหารประเภทถั่วในมื้ออาหารจะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารเพิ่มขึ้น 
              ใยอาหารเหล่านี้ย่อยได้ยากทำให้มีมวลมาก ถ่วงอาหารให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารเร็วขึ้น
              ขณะที่ใยอาหารบางชนิดผ่านทางเดินอาหารมันจะดึงน้ำไว้ ทำให้ใยและกากอาหารเหล่านี้อ่อนนุ่ม 
              ไม่แข็งกระด้าง หากว่าเศษอาหารพวกนี้เข้าไปติดในไส้ติ่งมันก็ยังถูกกำจัดออกไปได้ยากเย็นนัก 
              ไม่ถึงขนาดทำให้บริเวณปากไส้ติ่งปิดตายเหมือนกับที่เกิดกับอาหารแข็ง 
              โอกาสไส้ติ่งจะอักเสบก็ย่อมน้อยลง
              การรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช หรือข้าวขัดสีน้อยให้มากขึ้นจึงทำให้ร่างกายได้ใยอาหาร 
              ผลดีต่าง ๆ ที่ตามมา คือ เรามีสุขภาพดีขึ้น เป้นมะเร็งในทางเดินอาหารน้อยลง 
              คุมไขมันในเลือดได้ดีขึ้น ไม่มีปัญหาดรคอ้วนเบาหาวนจะหลีกหนีไปไกล 
              และไส้ติ่งอักเสบไม่มารบกวน
 
              นักวิชาการชาวตะวันตกหลายคนกล่าวว่าชาวเอเซีย ชาวแอฟริกาอุจจาระกันบ่อย 
                ทั้งก้อนใหญ่ เพราะรับประทานใยอาหารกันมาก ส่วนฝรั่งถ่ายอุจจาระน้อย 
                ก้อนเล็ก มีกลิ่นเหม็น เพราะรับประทานใยอาหารน้อยอยากจะลดปัญหาไส้ติ่งอักเสบจึงต้องรับประทานใยอาหารหรืออาหารประเภทพืชผักให้มากขึ้น 
                แต่น่าเสียดายคนไทยยุคใหม่แม้จะอยู่ในดินแดนผักผลไม้แท้ ๆ เป็นแผ่นดินที่เรียกว่าสวรรค์แห่งผลไม้เมืองร้อน 
                (Paradise of the tropical fruits) กลับรับประทานผักผลไม้น้อย นิสัยการบริโภคอย่างนี้เห็นทีจะต้องเปลี่ยนให้ได้ 
  กินลดโรคหัวใจ โครงการให้การศึกษาเรื่องคอลเลสเทอรอลแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NCEP) 
              มีข้อแนะนำทางโภชนาการเพื่อลดครอเลสเทอรอลออกมาดังนี้
              หากควบคุมระดับครอเรสเทอรอลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป วิธีปฏิบัติอย่างง่าย 
              ๆ ในทางโภชนาการมีอยู่ 2  3 ข้อ ข้อแรกก็คือต้องได้รับอาหารให้เพียงพอ 
              ถูกสัดส่วน และต้องได้รับอาหารหลากหลายชนิด อย่ารับประทานอาหารซ้ำซากจำเจ
              ข้อที่สองคือควบคุมน้ำหนักให้ปกติ อย่าให้มากหรือน้อยเกินไปเรื่องความพอเหมาะของน้ำหนักตัวนั้นมีหลายทฤษฎี 
              แต่วิธีการคิดคำนวณง่าย ๆ ก็คือให้ใช้ส่วนสูงคิดเป็นเซนติเมตรหักลบด้วย 
              100  110 ผลที่ได้จะเป็นน้ำหนักตัวคิดเป็นกิโลกรัม เช่น ใครสูง 170 
              เซนติเมตรควรมีน้ำหนักตัวประมาณ 60  70 กิโลกรัม หากมีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยไปกว่าค่านี้ร้อยละ 
              20 อย่างเช่นต่ำกว่า 48 กิโลกรัมหรือมากกว่า 84 กิโลกรัมย่อมถือได้ว่าคนนั้นมีน้ำหนักตัวน้อยหรือมากเกินไปแล้ว
              การควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลดีนั้นต้องคุมจากอาหารเป็นหลัก ขณะที่การควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังการยจะให้ผลน้อยกว่า 
              อย่างเช่นหากเรารับประทานข้าวเปล่าไป 1 จาน อาจจะต้องออกกำลีงกายขนาดปานกลางมากกว่า 
              1 ชั่วโมงเพียงเพื่อสลายพลังงานจากข้าว 1 จานนี้ ซึ่งไม่คุ้มกับกำลังงานและเวลาที่เสียไปเลย 
              หากอดใจไม่รับประทานให้มากเกินไปย่อมจะได้ผลในการควบคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า
              การควบคุมน้ำหนักมีผลต่อการควบคุมคอเลสเทอรอลก็เพราะคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป 
              การควบคุมคอเลสเทอรอลหรือการลดครอเลสเทอรอลจะทำได้ยากขึ้น และยิ่งยากขึ้นเป็นทวีคูณหารน้ำหนักมากจนเกินระดับปกติ
              ข้อที่สาม การควบคุมคลอเลสเทอรอลก็คือลดการรับประทานไขมันสัตร์หรือไขมันอิ่มตัว 
              โดยต้องระวังอย่าให้ร่างกายได้รับพลังงานจากไขมันอ่มตัวเกินร้อยละ 
              10 ของพลังงานที่บริโภค ยกตัวอย่างเช่น หากร่างกายต้องการพลังงานวันละ 
              2,200 แคลอรี ร่างกายก็ไม่ควรได้รับไขมันอิ่มตัวเกิน 24 กรัมต่อวัน 
              หรือประมาณ 1  2 ช้อนชา (1 ช้อนชาเท่ากับ 5 มิลลิกรัมหรือ 5 ซีซี)
              ข้อที่สี่คือจำกัดการรับประทานไขมันทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวลงให้ได้ 
              โดยอย่าให้ร่างกายได้รับพลังงานจากไขมันเกินร้อยละ 30 หรือไม่ควรเกิน 
              73 กรัม คิดง่าย ก็คือประมาณ 5 ช้อนชา หรือ 1.5 ช้อนโต๊ะ และข้อสุดท้ายคือจำกัดการรับประทานคอเลสเทอรอลจากอาหารไม่ให้เกิน 
              300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเป็นคอเลสเทอรอลจากไข่ไก่ประมาณหนึ่งฟองครึ่ง
              ข้อปฏิบัติอย่างนี้อาจฟัวดูว่าวิชาการมากเกินไป ปฏิบัติตามได้ยาก แต่ก็มีวิธีง่าย 
              ๆ ให้ปฏิบัติตามคือ รับประทานอาหารให้หลากหลายมากขึ้นและดูแลน้ำหนักตัวไว้ให้ดี 
              คอยสังเกตอยู่บ่อย ๆ ว่าน้ำหนักตัวเกินปกติหรือเปล่า หากมีน้ำหนักตัวมากเกินไปควรหาหนทางลดน้ำหนักลงให้ได้ 
              หากลดไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องระวังการรับประทานไขมัน หาทางลดไขมันจากอาหารให้มากที่สุดกินลดครอเลสเทอรอล
 
 
 |  
 |