คุณภาวิณี วงษา เป็นบุคคลที่พูดได้อย่างภาคภูมิใจว่าตนเป็นพุทธมามกะ เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นผู้อยู่ใกล้พระรัตนตรัย เธอเป็นคนจังหวัดเชียงราย แต่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงเทพฯ กับสามี ด้วยความที่มีฐานะยากจน เธอจึงเสียสละทำงานช่วยพ่อแม่หาเงินส่ง น้องๆ เรียนหนังสือ แสดงถึงความเป็นพี่ที่มีความรับผิดชอบ
จากความที่ตนเองไม่มีความรู้ จึงเกิดปมด้อยคอยปิดกั้นตนเอง กลัวคนอื่นเขาดูถูกเหยียดหยาม เพราะเธอเคยถูกคนในสังคมมองว่า เป็นคนไม่รู้หนังสือ สิ่งนี้คอยเตือนใจตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง แต่เมื่อได้มาพบกัลยาณมิตรท่านหนึ่งจากวัดพระธรรมกาย ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ คำพูดแรกที่ได้ยินว่า "ขออนุโมทนาบุญนะคะ" เป็นคำพูดที่ฟังดูไพเราะ และไม่เคยได้ฟังใครกล่าวคำนี้กับเธอมาก่อน ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกที่วัดอรุณอัมรินทร์ กรุงเทพฯ ทั้งคู่ต่างก็มาทำบุญถวายข้าวสารให้กับวัด และคนยากจนที่อยู่ต่างจังหวัด กัลยาณมิตรท่านนี้ ก็ได้ชวนเธอทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว เพื่อประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ พร้อมกับให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ แล้วก็แยกจากกันไป
เธอรู้สึกว่ายังไม่รู้จักวัดพระธรรมกายดี เคยได้ยินเขาพูดกันว่าวัดนี้รวย มีแต่คนมีเงินมาทำบุญ ด้วยความที่เธอเคยทำบุญกับวัดเล็กๆ ที่ยากจน วัดที่อยู่ตามป่าเขาที่ทุรกันดาร เพราะคิดว่าการ ได้ทำบุญกับวัดที่อยู่ในถิ่นกันดาร ยิ่งอยู่ตามเขตชายแดนที่ต้องดั้นด้นเสาะแสวงหา จะทำให้ได้บุญมาก เนื่องจากเธอยังไม่เคยได้มาสัมผัสที่วัดพระธรรมกาย จึงทำให้มองภาพไม่ออกว่า ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร แต่ด้วยความที่อยากสร้างพระธรรมกายประจำตัว ที่สามารถสร้างในจำนวนปัจจัยที่พอทำได้ ถ้าคิดจะสร้าง พระประธาน ไว้ที่วัดสักแห่งนั้น คงเป็นเรื่องลำบากพอสมควร เพราะแต่ละวัดก็มีพระประธานอยู่แล้ว และปัจจัยที่จะสร้างได้ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว หากสร้างเสร็จก็ไม่แน่ใจว่า จะสามารถไปกราบไหว้เป็นประจำได้ เพราะอยู่ไกลกันมาก เมื่อคิดดังนี้จึงมีความตั้งใจที่จะสร้างพระธรรมกายประจำตัวไว้ที่วัดพระธรรมกายแห่งนี้
คุณภาวิณี จึงตัดสินใจค้นดูเบอร์โทรศัพท์ของกัลยาณมิตรท่านนั้น และเธอก็ได้สร้างพระธรรมกายประจำตัวตามความตั้งใจ ครั้งแรกที่มาวัดเธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะทุกคนที่ได้ พบเห็น ดูแล้วเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มาจากทุกหนแห่ง โดยเฉพาะน้องๆ เจ้าหน้าที่ของวัดดูคล่องแคล่ว ทักทายกันด้วยอัธยาศัยที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส และให้การต้อนรับ เป็นอย่างดี เธอจึงคลายความประหม่า คุณภาวิณีรู้สึกชอบความสงบ เรียบร้อย และเหล่ากัลยาณมิตรของที่นี่มาก
หลังจากนั้นมา เธอจึงเริ่มต้นศึกษาพระธรรมจากเทปธรรมะ มงคลชีวิต ที่นำมาจากวัด เมื่อฟังไปคิดพิจารณาไปด้วย
จึงทำให้ทราบถึงชีวิต
ที่เกิดมา
ต่างกรรมต่างวาระนั้น
เป็นอย่างไร ทำให้เข้าใจในกรรมที่เรียกว่ากุศลกรรม และอกุศลกรรม ว่าเป็นอย่างไร ประกอบเหตุอย่างไร ผลที่ตามมาคืออะไร
นอกจากนั้นยังได้อ่านประวัติของ
คุณยายอาจารย์
อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้ทราบประวัติว่า
ท่านเป็นครูบา อาจารย์
ที่บุกเบิกในการสร้างวัดพระธรรมกายเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามปณิธานของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คุณยายอาจารย์ท่านไม่เคยได้เรียนหนังสือ ไม่รู้หนังสือเลย แต่คุณยายท่านมีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็กๆ แต่ท่านมีกำลังใจสูงยิ่งนัก เมื่อ คุณภาวิณีทราบประวัติคุณยายแล้ว ทำให้เธอมีกำลังใจขึ้นมาในทันที เธอเองก็ไม่รู้หนังสือเลย ทำให้ปิดกั้น โอกาสของตนในการแสวงหาบุญและบารมี เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอจึงตั้งใจ ปวารณาเป็นผู้นำบุญ แต่ครั้งแรกก็คิดหนัก นอนไม่หลับว่า ควรพูด หรือ ทำอย่างไร น้องๆ เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้คำปรึกษาแนะนำ และเธอเองก็ได้ตั้งใจทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ซึ่งเป็นทางมาแห่งบุญ อยู่เป็นนิจสิน
จากนั้นก็มีคนที่รู้จักอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงแวะมาเยี่ยมมาพูดด้วย แต่ก่อนเธอไม่กล้าที่จะสุงสิงกับใครเลย เพราะกลัวเขาดูถูก แต่ตอนนี้ด้วย การ ประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างกำลังใจ ให้กับตนเองหลังจากที่เข้าวัด เธอสามารถ ข้ามพ้นอุปสรรคนี้ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอจะนึก ถึง พระคุณของคุณยาย อาจารย์ และพระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโย ที่ช่วย ทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบันนี้หลายๆ คนที่เข้ามาในชีวิตของเธอ เมื่อเขากลุ้มใจเดือดร้อน เธอก็จะนำธรรมะที่ได้ฟังจากครูบาอาจารย์ มาถ่ายทอดให้พวกเขา เหล่านั้น ได้ยึดในหลักของพระรัตนตรัย นำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เธอสามารถบอกบุญองค์พระได้หลายองค์ บางคนไม่รู้จักกันเลย เธอก็จะแนะนำทุกอย่าง แม้แต่ในต่างประเทศเธอก็บอกบุญได้ เพราะน้องชายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ก็บอกบุญผ่านไปยังเพื่อนๆ เขาหลายคน ด้วยอานิสงส์ใน การบอกบุญ และสร้างพระธรรมกาย ประจำตัว บุญได้ส่งผลให้ลูกชาย หายป่วย เป็นอัศจรรย์ และสามารถเปลี่ยนแปลงน้องชายที่เคยพลาดในชีวิต ท้อแท้ ชีวิตเกือบดับสูญ กลับเป็นคนใหม่ที่มีจิตใจ ที่เข้มแข็ง มีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการจุดแสงสว่างให้มวลชน
วันนั้นเป็นวันธรรมะคุ้มครองโลก (ทอดผ้าป่าสามัคคีวัดทั่วประเทศไทย) วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นวันที่เธอรอคอย เตรียมกาย วาจาใจพร้อม ที่จะต้อนรับบุญใหญ่ ในครั้งนี้ พร้อมกับปัจจัยที่อุตสาห์เก็บหอมรอมริบไว้จำนวนหนึ่ง ในคืนนั้นเองเวลาประมาณ ๕ ทุ่ม ลูกชายทั้งสองคนเกิดป่วยเป็นไข้มาลาเรียพร้อมกันทีเดียวสองคน
คุณภาวิณีรีบพาลูกชายทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที คืนนั้นลูกชายมีไข้ขึ้นสูงถึง ๓๙.๕ องศา มีเม็ดสีแดงเป็นจุดคล้าย กับห้อเลือดผุดขึ้นเต็มตัว ปวดตามเนื้อตามตัว คุณหมอ บอกว่า อย่าให้คนไข้แปรงฟัน หรือทำอะไรก็ตามที่จะกระทบให้เกิดบาดแผล เพราะจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด และอาจถึงตายได้ ในคืนแรกคุณภาวิณีจิตใจว้าวุ่น คอยเช็ดตัวให้ลูก ทั้งคืน จนพยาบาลทักว่า "ระวังคุณแม่จะป่วยเป็นอะไรไปอีกคนนะคะ" เนื่องจากคุณภาวิณี ไม่ได้พักเลย และลูกชายก็บ่นปวดหัวเหมือนจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เธอจึงขอให้ แพทย์ ฉีดยาระงับอาการปวดให้คนไข้ และต้องให้น้ำเกลือถึงคนละ ๑๐ ถุง
พอย่างเข้าเช้าวันที่สามอาการก็ยังไม่ดีขึ้น เธอจึงหวังพึ่งพุทธานุภาพที่จะเป็นที่พึ่งในยามนี้ได้ เธอจึงรีบนำองค์พระมหาสิริราชธาตุที่ได้จากการทำบุญที่แกนกลาง พนมมือ อธิษฐานจิตขอองค์พระมหาสิริราชธาตุท่านช่วยลูกชายให้ปลอดภัย และขอให้เธอมีเงินเหลือไว้สำหรับทำบุญ เพราะเงินจำนวนนี้เธอได้เก็บรักษาไว้เพื่อทำบุญใหญ่ครั้งนี้ วันนั้น ทั้งวัน ได้สวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ นึกถึงงานบุญใหญ่ในครั้งนี้และได้ฝากเงินจำนวนหนึ่งพันบาทให้น้องที่รู้จักกันทำบุญให้ เพื่อที่อานิสงส์นี้จะได้ส่งผล ให้ลูกชาย หายป่วย โดยเร็วพลัน
คุณภาวิณีสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุตลอดเวลาขณะที่ลูกชาย ป่วยในวันนั้นจนนับจำนวนไม่ได้ว่าตนเองสวดไปกี่จบ และช่วงเช้าวันนั้นเอง เมื่อคุณหมอเข้ามาตรวจ อาการคนไข้ ปรากฏว่าไข้ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่ขึ้นสูงถึง ๓๙.๕ องศาจากเดิม ลูกชายทั้งคู่สามารถลุกได้ และเริ่มรับประทานอาหารได้ จนคุณหมอรู้สึกแปลกใจ มากว่า คนไข้หายเร็วกว่าที่คาดไว้ เธอจึงขออนุญาตนำลูกกลับบ้าน ตอนแรกคุณหมอยังไม่วางใจไม่ยอมให้กลับ แต่ในที่สุดก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ และยังได้กำชับว่าภายใน ๕ วัน อย่าให้คนไข้ถูกแสงแดด และห้ามไม่ให้เลือดออก เธอจึงกลับบ้านด้วยความโล่งใจ
คุณภาวิณีได้เล่าเรื่องน้องชายคนเล็ก (คุณจีระพงษ์ วงษา) ว่า น้องชายคนนี้ถูกเพื่อนโกงเงินที่เข้าหุ้นกันทำธุรกิจเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน เงิน ๕ แสนบาท จนถึงขั้นขึ้น โรงขึ้นศาล ต้องจ้างทนายความจนเงินหมด และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้น้องชายเธอคิดมาก เพราะเงินจำนวนดังกล่าว ถือเป็นทุนก้อนสุดท้ายในชีวิตของเขา ที่ทุ่มให้กับ ธุรกิจครั้งนี้ แต่ก็ต้องสูญสลายไป เขาเหมือนคนบ้า เดินไปเดินมาอย่างเลื่อนลอย ในระยะแรกๆ คิดอยู่อย่างเดียวคืออยากตาย
จนกระทั่งคุณภาวิณีได้ชวนน้องเข้าวัดพระธรรมกาย ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ และพูดถึงหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้น้องชายมีที่พึ่งทางใจ พยายามปลอบใจ ว่าไม่ต้อง คิดมาก ขอให้ทำใจให้สงบ คิดหาทางแก้ไข เรายังมีที่ดิน ปลูกผักปลูกผลไม้ขายได้ ไม่ควรท้อถอย เธอได้แนะแนวทางโดยนำธรรมะมาประยุกต์ใช้ตามพุทธวิธี เตือนสติน้องชาย เมื่อเขาคิดได้จึงติดตามพี่สาวมายังวัดพระธรรมกาย พอทราบว่ามีการบอกบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว และผู้ที่เป็นเจ้าของบุญยังได้พระของขวัญคือ พระมหาสิริราชธาตุ ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง ในใจเขาเฝ้าครุ่น คิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้สร้างพระเพราะ ตอนนั้นไม่มีเงินเลย ถ้าหากสร้างพระได้สำเร็จ จะพาครอบครัว มากราบไหว้ พระธรรมกาย ประจำตัว ขอให้ได้เป็นครอบครัวธรรมกาย เขาจึงปรึกษาภรรยา ภรรยาจึงนำแหวนทองที่เก็บไว้ไม่ค่อยได้สวมใส่ ไปขายเพื่อเปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ในทันที เขาดีใจมาก รีบนำเงินไปสร้างพระธรรมกายประจำตัวทันที
หลังจากที่ได้รับพระมหาสิริราชธาตุมา ก็สวดสรรเสริญคุณท่าน พร้อมกับนำหลักการนั่งสมาธิที่ได้เรียนรู้จากวัดพระธรรมกาย มาปฏิบัติ ใหม่ๆ ใจไม่นิ่งพอ ยังคงฟุ้งซ่าน แต่เขาก็ไม่ ละความ พยายาม วันหนึ่งท่ามกลางความเงียบสงบ เมื่อใจสงบนิ่ง จิตเริ่มดิ่งลงสู่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ภาพในนิมิตก็ปรากฏ เป็นภาพของพระเดช พระคุณหลวงพ่อ เข้ามา ซ้อนที่ศูนย์กลางกาย ตามด้วยพระธรรมกายนับพันนับหมื่นองค์ซ้อนเข้ามาเป็นสายไม่หยุด เขารู้สึกถึงความเย็นกายเย็นใจ จิตใจที่เคยเศร้าหมอง กลับผ่องใสเบิกบาน อย่างไม่เคย เป็นมาก่อน มีแต่ความปีติเอิบอาบอยู่ในจิต ความคิดที่เคยฟุ้งซ่าน คิดอยากฆ่าตัวตายหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีแต่ความสุขขึ้นมาทดแทน เขาจึงตั้งใจสวดมนต์ สวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ และนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันมิได้ขาด เมื่อใจนิ่งสงบแล้วจึงอธิษฐานจิตตอกย้ำขอให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ถ้าหากบุญที่เขาได้สร้างพระส่งผลในชาตินี้ ขอให้ได้เงินที่สูญไปกลับคืนมา
จากนั้นไม่นานนัก ภายในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ก่อนวันทอดกฐินที่วัดพระธรรมกาย อยู่ๆ เพื่อนคนที่เคยโกงเงินไปก็โทรศัพท์มานัดให้ไปพบที่ศาล คุณจีระพงษ์ปฏิเสธที่จะไป เพราะเขา ไม่มีเงินจ้างทนายความ จากนั้นไม่นานนัก เพื่อนคนนั้นก็โทรศัพท์มาอีก บอกให้เขาไปพบที่ธนาคาร คุณจีระพงษ์จึงไปพบ ปรากฏว่าเมื่อไปถึงเพื่อนก็บอกว่า เขาจะจ่ายเงินให้หมด ๕๐๐,๐๐๐ บาทและชดเชยให้อีก ๓๐,๐๐๐ บาท เขาแทบไม่เชื่อหูตนเอง เป็นไปได้อย่างไร เมื่อก่อนมีเรื่องถึงศาล เขาก็ไม่ยอม ทำไมตอนนี้ถึงยอมง่ายๆ แถมเงินให้อีก ๓๐,๐๐๐ บาท เขาตื่นเต้นมาก นึกถึงพระมหาสิริราชธาตุที่คอยสวดสรรเสริญทุกวัน บุญเป็นอย่างนี้นี่เอง ที่เขาเรียกกันว่าหยุดคือตัวสำเร็จ นั่นคือเมื่อทำจิตให้หยุดนิ่งถูกส่วนแล้ว ทุกอย่าง ก็จะ สำเร็จ
คุณจีระพงษ์เมื่อได้ประสบกับอานุภาพบุญ ยิ่งเกิดความศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา เขาจึงทุ่มเทช่วยงานพระศาสนาเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยการเป็นผู้นำรถ ร่วมกับผู้นำบุญ ท่านอื่นๆ จัดนำสาธุชนจากจังหวัดเชียงราย มาร่วมงานบุญใหญ่ที่วัดพระธรรมกายได้ถึงคราวละหลายสิบคัน ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยในยามที่ต้องนำสาธุชนมาร่วมงานบุญใหญ่ แต่เมื่อมาถึงวัดมองเห็นภาพสาธุชนจากทั่วประเทศมาปฏิบัติธรรม จิตใจก็ปีติเบิกบาน และภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่
ปัจจุบันคุณภาวิณีชวนพ่อ-แม่ พี่น้องทุกคน เปิดบ้านกัลยาณมิตร ทุกคนรู้ซึ้งถึงคุณของพระรัตนตรัย และมีความยินดีปรีดาในการเปิดบ้านสวดมนต์กัน รวมทั้งน้องชายที่อยู่ ที่ญี่ปุ่น ก็เพิ่งไปรับป้ายบ้านกัลยาณมิตรที่ศูนย์ฯ โตเกียว คุณภาวิณีบอกว่าเธอมีความสุขมากในชีวิตปัจจุบัน และเป็นหลักให้ทุกคนรอบข้างเธอ ทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับงานบุญ อย่าง ไม่ย่อท้อ ด้วยหวังว่าอานิสงส์จะติดตัวเธอไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป