ATM ( Asynchronouse Transfer Mode )
            ความต้องการระบบสื่อสารข้อมูลข่าวสารขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครจะนึกบ้างว่าเครือข่ายแลนที่ได้พัฒนากันมาไม่กี่ปีนี้จะก้าวหน้าเพิ่มขึ้น จนดูเหมือนจะไปไกลเกินกว่าที่คาดคะเนไว้มาก จากเครือข่ายที่รับส่งกันไม่กี่กิโลบิต มาเป็นความเร็วหลายสิบเมกะบิต จนปัจจุบันสามารถส่งรับด้วยความเร็วหลายร้อยบิต ขณะเดียวกันเราก็กำลังพูดถึงจิกะบิตเน็ตเวอร์กกันอีกแล้ว ความต้องการกับเทคโนโลยีดูจะพยายามไล่ติดตามให้ทัน

ทำไมต้องการความเร็วสูงขนาดนั้น

            พีซีเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อพีซีก้าวล้ำมาจนถึงขีดความสามารถที่ใช้งานมัลติมีเดียได้ผล ความต้องการที่จะผสมและประยุกต์สื่อหลายประเภทเข้าหากัน มีทั้งวีดีโอ โทรศัพท์ และข้อมูล พัฒนาการทางด้านมัลติมีเดียเป็นไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ผู้ใช้พีซีคงเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า พัฒนาการส่วนนี้ใช้ขีดความสามารถของซีพียูที่ดีขึ้น ใช้ซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนขึ้น
            หากจะดูสิ่งที่พัฒนามาอย่างเด่นชัดในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เริ่มจากไมโครซอฟต์พัฒนาวินโดวส์ 95 ขณะเดียวกันอินเทอร์เน็ตก็เติบโตเร็วมาก มีการใช้บราวเซอร์แพร่หลาย บราวเซอร์รับข้อมูลแบบมัลติมีเดียได้ ส่วนการพัฒนาทางด้านฮาร์ดแวร์ทำให้มีชิพรุ่นใหม่ หลายตัวที่น่าสนใจ ได้แก่ การประมวลผลกราฟิกแบบใหม่ และยังมีมาตรฐานวีดีโอ ที่มีการลดขนาดข้อมูล เช่น MPEG-1 และซอฟต์แวร์ MPEG การใช้มัลติมีเดียทำให้ต้องการแถบกว้างขวางความถี่สูงขึ้น มีการรับส่งที่มีคุณภาพมากขึ้น

อินเทอร์เน็ต - อินทราเน็ต อินเทอร์เน็ตเริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 แต่เติบโตอย่างช้า ๆ ในยุคแรก ครั้นเทคโนโลยีเครือข่ายได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น อินเทอร์เน็ตก็เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว และเชื่อมโยงเครือข่ายเข้ากับทั่วโลกเป็นเครือข่ายเดียวกัน ขณะเดียวกันพัฒนาการได้เน้นให้องค์กรพัฒนาเครือข่ายภายในองค์กรของตนเอง โดยเฉพาะที่ใช้ในงานภายใน และเรียกเครือข่ายนี้ว่า Enterprise Network หรือเครือข่ายขององค์กร แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตมีสถาปัตยกรรมเป็นแบบระบบเปิดและมีโปรแกรมประยุกต์อยู่มากมาย จึงมีการประยุกต์ใช้ในเครือข่ายสำหรับองค์กร และเรียกเครือข่ายที่ประยุกต์ในองค์กรว่า อินทราเน็ต อินทราเน็ตจึงได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมใช้ในองค์กรอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุที่การประยุกต์แบบมัลติมีเดียบนเครือข่ายได้เริ่มต้นขึ้นและกระจายไปทั่ว ทำให้ความต้องการเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานเหล่านี้จึงตามมา อินทราเน็ต เครือข่ายที่ใช้ในองค์กร ต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับการทำงานแบบสื่อประสม และเป็นเหตุให้พัฒนาการเทคโนโลยีแลน จึงมีโปรโตคอลระดับล่างรองรับมากมาย เช่น อีเทอร์เน็ต โทเก้นริง FDDI เพราะมีอุปกรณ์จำพวกเราเตอร์และสวิตชิ่งเข้ามาช่วยการทำงานของเครือข่าย
 
 


รุปที่ 1


 

ทำไมต้องพัฒนามาเป็น ATM
           เครือข่ายคอมพิวเตอร์พัฒนามาจากแลน มีการวางเทคโนโลยีระดับแลนหลายรูปแบบ แลนที่พัฒนามีขอบเขตจำกัด เช่น เป็นอีเทอร์เน็ต การส่งรับข้อมูลจะกระจายในเซกเมนต์ของตนเอง ดังนั้นเมื่อมีการเชื่อมต่อแลนเข้ากับแลน หรือเรียกว่า Internetwork จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ เพื่อกำหนดเส้นทางอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เกิดขึ้นจึงมีผู้พัฒนา เช่น บริดจ์ เราเตอร์
 


รูปที่ 2


 
 
 

           การเชื่อมต่อแลนเข้ากับแลนในยุคแรก มีจุดมุ่งหมายที่ 80/20 หมายความว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่คือ ราว 80 % ใช้ข้อมูลภายในเครือข่ายของตนเอง และอีก 20 % เป็นการใช้ข้อมูลต่างเซกเมนต์ หรือต่างเครือข่ายกัน อุปกรณ์เราเตอร์ที่ออกแบบมาจึงเป็นตัวเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากันและแยกข้อมูลระหว่างเซกเมนต์ออกจากกัน เราเตอร์มีขีดความสามารถในเชิงความเร็วไม่สูงนัก
            เมื่อความต้องการในยุคมัลติมีเดียเกิดขึ้น ทำให้การใช้ข้อมูลมากขึ้น ประจวบกับแนวคิดในเรื่องอินทราเน็ต มีการวางเซอร์ฟเวอร์ เพื่อให้ผู้อยู่ในองค์กรเรียกใช้ได้ การเรียกข้อมูลในเครือข่ายอื่นจึงมีมาก การทำงานภายในเครือข่าย จึงสวนทิศทางกลับเป็น 20/80 หมายความว่า ใช้งานภายในเครือข่ายเพียง 20 % และใช้งานระหว่างเครือข่ายถึง 80 % เมื่อเป็นเช่นนี้ ความต้องการในการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ที่สวิตซ์ระหว่างเครือข่ายด้วยความเร็วสูงจึงเกิดขึ้น และต้องการให้การรับส่งข้อมูลมีคุณภาพดีขึ้น โดยเฉพาะความต้องการในเรื่องมัลติมีเดียมีสูงขึ้น ATM จึงเป็นทางออกทางหนึ่ง

            โครงสร้างขององค์กรได้เปลี่ยนไป การแข่งขันระหว่างองค์กรเป็นไปอย่างน่าดู ระบบสารสนเทศได้มีบทบาทและสำคัญยิ่งในยุคของการแข่งขันนี้ ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องของกลยุทธ์ที่เข้ามาแทนที่อำนาจแบบอื่น การทำงานภายในองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่เป็นบุคคล เป็นกลุ่มและ Enterprise มาทำงานในลักษณะช่วยกันทำเป็นโครงงาน โครงสร้างองค์กรเริ่มแบนลง เมื่อเป็นเช่นนี้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นกำลังสำคัญ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประยุกต์ใช้งานมีลักษณะกระจาย เพื่อการทำงานร่วมกันการติดต่อประชุมปรึกษาหารือ การดำเนินงานในรูปธรรมที่มองเห็นผ่านทางเครือข่าย ภาวะการณ์สิ่งแวดล้อมในองค์กรทำให้มีความต้องการถนนข้อมูลข่าวสารที่ความเร็วสูงขึ้น คุณภาพของการส่งรับข้อมูลดี และต้องการรูปแบบของสื่อหลายชนิด ทั้งข้อมูล ภาพ เสียง และวีดีโอ
            นอกจากนี้องค์กรยังต้องการการลงทุนแบบจำกัด เน้นการได้ประโยชน์ที่คุ้มค่า ขยายตัวได้ง่าย เครือข่ายสารสนเทศที่ดำเนินการจึงต้องมีคุณสมบัติปรับเปลี่ยนได้ง่าย ( Flexibility ) และขยายความต้องการขององค์กร ( Scalable ) การจัดการในเรื่องเครือข่ายจึงต้องเหมาะสมกับสถานะความต้องการ ( Rightsize ) และการลงทุนจะต้องไม่ผูกมัดกับยี่ห้อใด คุ้มค่ากับการลงทุน ลดความเสี่ยงในอนาคต ( Investment Protection ) จากสภาพการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในลักษณะทำให้ข้อมูลข่าวสารวิ่งผ่านเครือข่ายแลน และข้ามโยงระหว่างเครือข่ายมากขึ้น แนวโน้มการใช้งานรูปแบบที่มีเราเตอร์เป็นตัวแยกข้อมูล และนำส่งข้อมูลระหว่างเซกเมนต์ จึงไม่สามารถรองรับความเร็วได้ทัน ผนวกกับเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีเวลาหน่วงในเรื่องของการ Sroer Forward ซึ่งทำให้การทำงานบางงานมีปัญหา สิ่งที่ต้องการคือ การเดินทางของสัญญาณข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางต้องถึงได้รวดเร็ว ความรวดเร็วนี้คือการใช้เวลาน้อย เรามีวิธีการวัดความเร็วนี้ และเรียกว่า Latentcy Time ปกติค่าเวลานี้ยิ่งต่ำยิ่งดี เช่น การสวิตช์ของเอทีเอ็มแต่ละโหนดอาจใช้เวลาเพียง 10 ไมโครวินาที ซึ่งถ้าหากผ่านเอทีเอ็มสวิตช์ 3 ตัว ก็จะใช้เวลาเพียง 30 ไมโครวินาที ค่าเวลานี้ทำให้งานประยุกต์ทางด้านสัญญาณที่มีการตอบโต้จึงปรากฏผลได้รวดเร็ว เช่น ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระบบอินเตอร์แอคทีฟวิดีโอ หรือการโต้ตอบในรูปแบบข้อมูลก็ต้องการเวลาต่ำด้วยเช่นกัน นอกจากนี้องค์กรยังมีการประยุกต์แบบรวม การประยุกต์แบบรวมจึงหมายถึงการนำงานหลายรูปแบบหลายระบบเข้ามาวิ่งในเครือข่ายเดียวกัน เกิดการทำงานรวมที่ส่งกระจายไปยังผู้ใช้ได้มากมาย
 
 


รูปที่ 3


 

           จากโครงสร้างในรูป เป็นสภาพเครือข่ายที่ใช้ในองค์กรทั่วไป อุปกรณ์หลักจึงใช้เราเตอร์แยกเวอร์กกรุ๊ปต่าง ๆ ในองค์กร สภาพการทำงานแบบเวอร์กกรุ๊ปเป็นที่นิยมและเชื่อมโยงผ่านเราเตอร์จำนวนมากหลายตัว ทำการแยกเวอร์กกรุ๊ปและเชื่อมโยงเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน อุปกรณ์เราเตอร์มีประโยชน์ และเสริมสร้างให้เครือข่ายในองค์กรสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พัฒนาการของเราเตอร์จึงได้คงทนและยืนหยัดให้ใช้งานได้อย่างดี
            ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ได้พัฒนาและเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วมีหลายเทคโนโลยี เช่น อีเทอร์เน็ต โทเก้นริง และ FDDI เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการพัฒนามาจนมีการสร้างอุปกรณ์ประกอบที่เอื้ออำนวยต่อการออกแบบสร้างเครือข่ายได้มาก เช่น บริดจ์ เราเตอร์ ฮับ ผู้ออกแบบเครือข่ายคุ้นเคยกับอุปกรณ์เหล่านี้จนสามารถเลือกหาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาใช้งานได้สะดวก การออกแบบตามสภาพการทำงานจึงเน้นการแบ่งเครือข่าย และสร้างเวอร์กกรุ๊ป แล้วใช้บริดจ์ หรือเราเตอร์แยกการทำงานแต่ละเวอร์กกรุ๊ป อุปกรณ์เหล่านี้เมื่อเชื่อมต่อกันทำให้มีช่วงเวลาหน่วงสูงขึ้นจนไม่สามารถรองรับการทำงานในระบบมัลติมีเดียที่เป็นความต้องการในปัจจุนได้ การแบ่งแยกเครือข่ายเป็นเครือข่ายย่อยตามซับเน็ตที่ต้องการ เป็นวิธีที่ออกแบบได้ง่าย ทำให้ในองค์กรมีเครือข่ายย่อยเป็นจำนวนมาก และสร้างปัญหาในการดูแลการจัดการเครือข่าย เครือข่ายที่มีการขยายขนาดมากขึ้นก็มีการดูแลได้ยากตาม และที่สำคัญ การลงทุนอุปกรณ์จะเข้ามามีส่วนช่วยในการทำให้เครื่อข่ายมีการเชื่อมโยงหรือทำงานร่วมกันทั้งเครือข่ายก็พลอยยุ่งยากตามไปด้วย 



หน้า 1 | 2 | 3 |
| home | menu | เทคโนโลยี |

1 : 08 : 2541