ศิลปะอยุธยาสมัยกลาง

รุงศรีอยุธยามีอายุยืนนานถึง ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครอง ๓๔ พระองค์หากนับรวมสมัยอโยธยา ด้วย แล้วก็ต้องเพิ่มจำนวนกษัตริย์อีกเท่าตัว แม้ว่าคำให้การชาวกรุงเก่าจะแจ้งว่า พระเจ้าอู่ทอง ทรงเป็น กษัตริย์องค์ที่ ๑๖ ของอโยธยา แต่เมื่อศึกษาจากพระราชพงศาวดารเหนือจะเห็นความ เจริญมีมา หลายซับหลายซ้อน จำนวนกษัตริย์ ต้องมากกว่านั้นอย่างแน่นอน หากรวมไปถึงสมัย ทวาราวดี ด้วย แล้วก็นับจำนวนไม่ถ้วน การแบ่งสมัยของศิลปะอยุธยาที่นำมาเสนอนี้แบ่งเป็นสามยุค คือสมัยอโยธยา ตอน ปลายต่อด้วยอยุธยาตอนต้น อยุธยาสมัยกลาง และอยุธยาตอนปลาย เป็นการยากที่จะแบ่งโดยเอาสามหาร จำนวนปีของสมัยอยุธยาคือเอาอายุ ๔๑๗ ปีตั้งหารสาม ได้ ๑๓๙ ปี เทียบกับ พ.ศ. ๒๐๓๒ เป็นปีสิ้น สมัยซึ่งตรงกับสมัยปลายรัชกาล พระบรมราชาที่ ๓ หรือ พระอินทราชา การแบ่งเช่นนี้ไม่ถูกต้องกับวิวัฒนาการของศิลปะ ด้วยกรุงศรีอยุธยา แตกทำลาย ด้วยฝีมือพม่าข้าศึก โดยฉับพลันมิได้จบอายุวิวัฒนาการของศิลปะเพียงเท่านั้น ที่จริง วิวัฒนาการ ศิลปะของอยุธยาตอนปลาย คาบเส้นไปจนถึงยุคปลายรัชกาลที่สาม แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย เราจึงควรแบ่งอายุและสมัย ตามวิวัฒนาการศิลปะ เท่าที่ปรากฏ ให้เห็น ชัดแจ้ง
จากการตรวจสอบ ศิลปะอยุธยาและค้นคว้าในศิลปะอยุธยามาช้านาน ทำให้สามารถ พอ กำหนดอายุยุคสมัยของศิลปะ ได้ดังนี้

อยุธยาตอนต้น
ควรสิ้นยุคเมื่อปลายรัชกาลของสมเด็จ
พระไชยราชา

อันเป็นปี พ.ศ.๒๐๘๙ ซึ่งเป็น การสิ้นสมัย ของนักรบยุคทหาร อันเกรียงไกรของอยุธยา ซึ่งเคยส่ง กองทัพ ไปรุกรานอาณาจักรต่างๆ รอบทิศสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะ เมืองลำพูนและเมืองเชียงใหม่
สมเด็จพระไชยราชายอดทหารแห่งสมัยอยุธยาตอนต้น ได้เสด็จสวรรคตลงกลางทาง ขณะที่ยกทัพ กลับคืนยังกรุงศรีอยุธยา นับแต่นี้ไป ก็เกิดวุ่นวาย จลาจลภายในเมืองกรุงศรีอยุธยาเริ่มอ่อนแอลง ด้วยนางพระยาแม่อยู่หัว ศรีสุดาจันทร สั่งผลัดเปลี่ยนคนดีมีฝีมือ ออกจากราชการหมด ส่งคน ของตนไปควบคุมยังเมืองต่างๆ เป็นเหตุให้ เกิดการยึดอำนาจ และพระมหาจักรพรรดิ์ ได้เสด็จขึ้น ครองราชย์ ส่วนผู้เป็นต้นคิดในการยึดอำนาจครั้งนี้คือ ขุนพิเรนทรเทพ ได้เป็น สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกอำนาจ และท้ายที่สุด กรุงศรีอยุธยา ก็ต้องเสียเมือง แก่พระเจ้าหงสาวดีกษัตริย์มอญเมื่อปี พ.ศ.๒๑๑๒
ยุคสมัยวุ่นวายนี้ กรุงศรีอยุธยาเริ่มปั่นป่วน เกิดศึก ภายในและภายนอก ความรุ่งโรจน์ของศิลปะ หยุดชงักลงอิทธิพลศิลปะจากยุโรป ได้เริ่มแพร่หลายเข้ากรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ปลายสมัยพระไชยราชา เป็นต้นมาจน ถึงสมัยพระนเรศวรมหาราช ก็เป็นยุคที่บ้านเมืองเกิดทรุยุค ด้วยไทยเสีย เอกราชแก่มอญนานถึง ๑๕ ปี ถูกขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทรัพย์สมบัติไป จนหมดสิ้น บ้านเมืองจึงยากจนมากพระอารามซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงเป็น วัดที่เล็กมาก ดังพระราชพงศาวดารบันทึก ถึงการสร้างวัดไว้ดังนี้ "แลพระบาทสมเด็จบรมนารถบพิตพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสร้างพระโพธิสมภาร บำเพ็ญพุทธการก ธรรมบรมวรรคอาทิคือสร้าง วัดวรเชษฐารามมหาวิหาร อันรจนา พระพุทธปฏิมามหาเจดีย์ บรรจุ พระสารีริกธาตุ สำเร็จกุฏีสถานปราการสมด้วยอรัญวาสี แล้วก็สร้างพระไตรปิฏกธรรม จบบริบูรณ์ ทั้งพระบาลี อรรถกถา ฏีกา คันถี วิวรณ์ทั้งปวง จึงแต่งหอพระธรรมเสร็จ ก็นิมนต์พระสงฆ์อรัญวาสี ผู้ทรงศีลาทิคุณอันสลักเลขมาอยู่ครอง พระวรเชษฐาราม นั้นแล้ว"
วัดวรเชษฐารามนี้ เข้าใจว่าสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่ พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระเชษฐาของ
พระองค์ เมื่อได้ตรวจดูภูมิฐานของวัดแล้วเห็นว่าเป็น วัดขนาดกลาง ไม่ใหญ่โตเหมือนสมัยอยุธยาตอนต้น พระอุโบสถขนาดเล็ก ใช้ระบบผนังรับน้ำหนัก ไม่มีเสากลาง แม้พระวิหารใหญ่หน้าเจดีย์ ก็เช่นกัน ก่อผนังปูนด้านหน้า และหลังขึ้นไปยันอกไก่โดย ไม่ใช้ หน้าบันสลักไม้อย่างแต่ก่อน ที่หน้าบันประดับ ด้วยถ้วยจาน ลายครามงดงาม พระพุทธรูปในพระอุโบสถก่ออิฐถือปูน แม้ที่ พระวิหารก็ก่ออิฐถือปูน เช่นกัน ไม่ใช่พระศิลาเหมือนสมัยอโยธยา และอยุธยาตอนต้น  พระเจดีย์หลังพระอุโบสถ เป็น เจดีย์แบบลังกา แต่มีลูกแก้วใต้ระฆังมากขึ้น ลักษณะเป็นเจดีย์ลังกา ที่วิวัฒนาการมาจาก เจดีย์ กลม อันเป็นเจดีย์ราย วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระอุโบสถ สมัย อยุธยาตอน กลาง มักจะมีลักษณะ ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือไม่มีเสากลางสองแถว ไม่มีเสาพาไลด้านข้างด้วย ทรงวิหารขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่โตอะไร จึงใช้ระบบผนังรับน้ำหนักเครื่องบนหลังคาแทนที่ พระอุโบสถ แบบนี้ยังมีเหลือให้เห้นหลายแห่ง เช่นที่วัดราชบรรทมซึ่งทำหลังคาระบบโบราณ คือ ทำเสาดั้งตั้งบนเครื่องบน ของปีกนกสมัยอยุธยาตอนกลางรุ่นปลาย เปลี่ยนเป็นใช้ระบบเสา ยื่นข้าง หน้าและหลังด้านละสอง เสารับหลังคาลดชั้น ดังเช่นพระวิหารเก่าวัดราชคฤห์ธนบุรี พระอุโบสถวัด เกาะเพชรบุรี และ พระอุโบสถวัดปราสาท นนทบุรี เป็นต้น
ราควรจะแบ่งลักษณะตัวอาคารสมัยอยุธยาตอนกลาง ออกเป็นสามแบบ
แบบที่ ๑ เป็นสมัยต้น แบบที่ ๒  สมัยกลางแบบที่ ๓ สมัยปลาย ดังนี้

แบบที่ ๑ พระอุโบสถขนาดย่อม ผนังด้านข้างทึบ ไม่มีหน้าต่าง ผนังด้านหลังทึบเป็นแบบมหาอุด เครื่องบนหลังคา เสาดั้งตั้งบนปีกนก อีกต่อหนึ่ง พระอุโบสถแบบนี้ปรากฏที่วัดราชบรรทมใกล้กับทุ่งหันตราทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถวัดตึก ซึ่งอยู่ตรงข้าม คูเมืองกับวัดศาลาปูน, และพระอุโบสถวัด วรเชษฐาราม เป็นต้น
แบบที่ ๒ ก็เช่นเดียวกับแบบที่ ๑ แต่มีเจาะประตูออกด้านข้างทั้ง ๒ ข้าง หรือมีหน้าต่างเล็ก ข้างละบาน ผนังคง เป็นมหาอุดมมีเสาหน้า ๒ เสา เช่น พระวิหารวัดราชคฤห์ธนบุรี หรือผนังด้าน ข้างต้น แต่มีประตูออกหลังวิหารคือ อุโบสถ เช่น วัดเกาะเพชรบุรี และ วัดอีกหลายวัด ในธนบุรี
แบบที่ ๓ วิวัฒนการจากแบบที่ ๒ ด้านข้างแทนที่จะมีหน้าต่างหรือประตูบานเดียว กลับเป็น ๒ บาน หรือ ๓ บาน แต่ไม่เจาะถี่เป็นต้นแบบ อยุธยาตอนปลาย มีประตูเข้า ๒ ทางหรือ ๓ ทาง ทั้งหน้า และ หลัง อาคารแบบนี้เห็นได้ทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง ศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาง ควรจะสิ้นสุดในปลาย รัชกาลของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อพ.ศ. ๒๑๙๘ ซึ่งมี ระยะเวลายืนนาน ถึง ๑๐๙ ปี เมื่อเริ่มรัชสมัย ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แล้วได้มีศิลปะจากยุโรปเข้ามีบทบาทผสมผสาน กับศิลปะไทย อย่างมาก มีผลให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ และศิลปะได้แปรผันไปโดยสิ้นเชิง เป็นวิวัฒนการก้าวสำคัญ ของศิลปะอยุธยา ลวดลายของอยุธยาตอนกลาง ปรากฏที่ลายหน้าบัน พระอุโบสถวัดราชบรรทม เป็นลายกนก ขมวดเป็นก้นหอย ตรงกลางเป็นลาย รูปพุ่มข้าว บิณฑ์ซ้อน เป็นชั้น ลายแบบนี้มีปรากฏ ให้เห็นอีกแห่งหนึ่ง ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอไชยา และลายหน้าบัน พระอุโบสถของพระพุทธบาทสระบุรี ซึ่งสลักขึ้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ลายหน้าบันพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสลักรูปนารายณ์ทรง ครุฑ ที่หน้าบันมีลายกนก เป็นเครือเถา ล้อมรอบลายชนิด นี้คล้ายกับลายหน้าบันสมัย กรุงรัตนโกสินทร์มาก แต่สังเกตรูปครุฑกับพระนารายณ์ ผิดกัน กล่าวคือ ครุฑของวัด พระพุทธบาท เป็นครุฑหน้าเชิดแบบครุฑโขนเรือ สมัยอยุธยา ในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเจ้าสามพระยา ตัวนารายณ์ก็ทะมัดทะแมง แต่ง เครื่องทรงมีทับทรวง ชฏาเทริดแบบอยุธยา ส่วนรูปนารายณ์ทรงครุฑ สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ลักษณะครุฑหน้าเล็ก สวมชฏา ยอดแหลม มือถือนาคสองข้าง ถ่างออก ตัวนารายณ์สวมชฏายอดแหลม แบบรัตนโกสินทร์ ยังลวด ลายประกอบก็ผิดกัน ลายประกอบ หน้าบันรอบครุฑของพระอุโบสถวัดพระพุทธบาทมีลายช่อหางโต เป็นลายชนิดเดียวกับ ลายสลัก บานประตูพระวิหารเล็ก วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งเป็นลักษณะศิลปะสมัยอยุธยา ตอนกลาง มื่อกล่าวถึงบานประตูสลักไม้สมัยอยุธยา ใคร่ขอย้อนไป ถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งปรากฏที่บาน ประตูใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาเป็นลวดลาย ช่อหางโตซ้อนเรียงเป็นตับลงมา หรือ เป็นรูปเทวดายืน ซ้อน เป็นชั้นๆเป็นลักษณะ คล้ายกับบานประตู วัดพระฝาง ที่วัดธรรมารามอุตรดิตถ์ จัดว่าเป็นเป็น แบบสมัยอยุธยาตอนต้นสุด สมัยต่อมาบานประตูจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมัยพระรามาธิบดีที่ ๒ สลักเป็นรูปเทวดาทวารบาลสวมชฏาเทริดมียอด ๔ ยอด มือข้างหนึ่งถือ พระขรรค์ แบบประตูแบบนี้ ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่พระวิหารน้อย วัดท่าพระธนบุรีเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น บานประตูสมัยอยุธยาตอนกลาง คิอบานประตูพระวิหารวัดหน้าพระเมรุ ซึ่งนำ มาจากวัดแห่งใด แห่งหนึ่งในเกาะอยุธยา อาจจะเป็นวัด มหาธาตุ ซึ่งนำพระพุทธรูปศิลาสมัยทวาราวดีมาก็ได้ บาน ประตู แบบนี้สลักเป็นรูปเทพนม หรือกนก รูปกระจัง อยู่เบื้องบนกลางบาน เป็นรูปช่อหางโตซ้อน สลับ เทพนมและมีลายประกอบเบื้องล่าง เป็นกระจังใหญ่และแข้งสิงห์ ซึ่งบานประตู พระวิหารใหญ่วัด พนัญเชิง ก็เป็นแบบเดียวกัน ลักษณะลาย ตรงกลางแผ่นบานประตู คล้ายคลึงกับลายหน้าบัน พระอุโบสถวัดพระพุทธบาท มากที่สุด บ่งว่าร่วม ยุคสมัยเดียวกัน งานสลักไม้สมัยอยุธยายังปรากฏที่ ธรรมาสน์วัดครุฑเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น ธรรมาสน์วัดจรรยาวาสในกรุงเทพฯ อยู่ระยะยุค ปลายของสมัยอยุธยาตอนต้น
ส่วนธรรมาสน์วัดโพธิเผือกเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาง ฝีมืองานสลักไม้ของอยุธยา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งลวดลายกนกมักทำตัวลายซ้อน กันหลายชั้นหลายเชิงยิ่งเป็น กนกบนลายเครือเถา ปลายกนก จะบิดพับงอเหมือนใบไม้ คล้ายใบไม้ ธรรมชาติที่สุด ลักษณะลายสมัยอยุธยา ตอนปลายบ่งถึง ความรุ่งเรืองของตัวลายกนกอย่างสุดขีด มีปรากฏที่ลายปิดทองรดน้ำที่ตู้พระธรรม ซึ่งงดงามมาก ส่วนใหญ่เท่าที่พบ มักเป็น ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ตู้พระธรรมสมัยอยุธยา ตอนต้นกับสมัย อยุธยาตอนกลางไม่ค่อยพบพระสถูปเจดีย์ สมัยอยุธยาตอนกลาง ปรากฏให้เห็นเด่นชัดสมัย พระเอกาทศรถ เจดีย์หลักของวัดเป็น เจดีย์แบบลังกา ต่อมาสมัยพระเจ้าทรงธรรมไม่ปรากฏเจดีย์ให้เห็น แต่เข้าใจ ว่าจะเริ่มมี เจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง เกิดขึ้นในปลายรัชกาลนี้อย่างแน่นอน ด้วยปรากฏว่าในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง เริ่มนิยมทำเจดีย์ เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง อย่างกว้างขวาง เช่นพระเจดีย์ใหญ่วัดชุมพลนิกายาราม ที่บางปะอินสร้างสมัย พระเจ้าปราสาททอง เป็นเจดีย์ย่อมุม สิบสองชนิดไม่มีซุ้มจรณัม และเจดีย์ ใหญ่วัด ประชุมพล ที่ นครหลวง สมัยพระเจ้าปราสาททองเช่นกันเป็น เจดีย์รูปร่างแบบ เดียวกับ บางปะอิน และเจดีย์ชนิดนี้ ก็เป็นแบบเดียวกับเจดีย์ใหญ่สององค์หน้า วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งสร้าง ขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เช่นกัน  เจดีย์ย่อมุม สิบสองนี้ ยังเป็นที่พิศวงของนักโบราณคดีทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจว่า จะสร้างขึ้น แล้วในสมัยอยุธยาตอนต้น ดังปรากฏที่องค์พระเจดีย์ อนุสรณ์สมเด็จพระนางเจ้าศรีสุริโยทัย ในสมัย พระมหาจักรพรรดิ์ เป็นเจดีย์ใหญ่มีซุ้มจรณัมรอบเลียนแบบมาจากปรางค์เจดีย์แบบนี้ นักโบราณคดี เคยพบที่วัดเพรงร้างจังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดมหาธาตุ เมื่อนักโบราณคดีกรมศิลปากร ไปขุด ภายใน กรุเจดีย์พบแต่พระพุทธรูปทวาราวดีทั้งสิ้น แม้แผ่นทองคำในกรุก็เป็นรูปพระพุทธรูป ทวาราวดี เช่นกัน ที่พระอุโบสถก็มีทรากพระพุทธรูปศิลา ขนาด ใหญ่ สมัยทวาราวดีหลายองค์ ซึ่งถูกนำไปไว้ยัง วัดมหาธาตุ ยังมีเจดีย์ย่อมุมสิบสอง รุ่นเก่าแก่ อยู่ที่ วัดเขาเหลือ ใกล้กับวัดมหาธาตุนั่นเอง เป็น เจดีย์ย่อมุม ๑๒ ซึ่งระฆังใหญ่เตี้ยมาก มีส่วนสัดสูง เท่ากับส่วนใต้ระฆังถึงพื้นดิน ซึ่งเข้าใจว่า เป็น เจดีย์แบบหนึ่งของทวาราวดีตอนปลาย บางทีเจดีย์ แบบนี้จะนิยมสืบต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้นด้วย ซึ่งคงจะสืบทอดมาจากสมัยอโยธยาอีกต่อหนึ่ง ยังมีเจดีย์ย่อมุม ๑๒ อีกแห่งหนึ่ง ที่วัดเป็นแบบ อโยธยาตอนต้นเ ชื่อกันว่าเป็นเจดีย์เก่าแก่มาก เมื่อตรวจสอบดูรูปทรงของเจดีย์ย่อมุมสิบสอง ที่ วัดภูเขาทอง จะเห็น เป็นทรงประหลาดเนื่องด้วย ส่วนของฐานไม่สัมพันธ์กับส่วนบน อันเจดีย์ย่อมุม สิบสองแบบมีซุ้มจรณัม มีปรากฏให้เห็น ณ วัดญานเสน กับวัดสบสวรรค์ ซึ่งเป็นแบบมีฐาน ปัทมซ้อน กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดณานเสน เป็นเจดีย์ เก่าแก่มาก อาจจะเป็นของมีมาแต่สมัยทวาราวดีก็ได้ ด้วยฉัตรเหนือบัลลังก์ก็ใหญ่ผิด กับวัด สบสวรรค์ ระฆังเล็กกว่าทรงชะลูดสูงกว่า บ่งว่าเลียนแบบ มาจากวัดสบสวรรค์ เจดีย์วัดสบสวรรค์ว่า ตามรูปทรงซึ่งเพรียวระหง ส่วนสัดระยะช่วงใต้คอระฆัง คือซุ้มจรณัมยืดออกสูงแสดงว่าเป็นของรุ่นหลัง เจดีย์ภูเขาทองกับวัดสบสวรรค์ อาจจะ เป็นเจดีย์สมัย อโยธยาตอนปลาย ด้วยวัดสบสวรรค์ มีหลักฐาน ใบเสมาของวัดที่พระอุโบสถเป็นใบเสมาอโยธยา ส่วนเจดีย์ภูเขาทอง หลักฐาน ก็บ่งว่าสร้างก่อนกรุงศรีอยุธยา บางทีพวกมอญ อาจจะสร้างค้างไว้ แค่ฐาน ด้วยฐาน ๒ ชั้น เป็นฐานลาดแบบเจดีย์มอญแท้ๆ ส่วนเจดีย์ข้าง บนคงเป็นเจดีย์ เหลี่ยมย่อมุม สิบสองแบบอโยธยา ซึ่งสร้างเสริมขึ้นภายหลังจากมอญกลับไปสุธรรมนครแล้ว แปลนเจดีย์วัด ภูเขาทอง เป็นแปลนแบบก่อนกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือพระเจดีย์อยู่หลังพระวิหาร ซึ่งหันออกสู่ แม่น้ำ เจ้าพระยา ทางทิศตะวันตกด้าน ตรงข้ามกับวัด ท่าการ้อง เป็นระบบแบบเก่าก่อนสมัยอยุธยาตอนต้น เพราะถ้าเป็นวัด สมัยอยุธยา ตอนต้น จะต้องหันหน้าวัดสู่ทิศตะวันออกเสมอ ส่วนการที่ พระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาอ้างว่า สถาปนาขึ้นในสมัยพระราเมศวรนั้น ก็คงจะมาปฏิสังขรณ์ให้เป็น พระอารามบริบูรณ์ดังเดิม หลังจากรกร้างมานานเท่านั้น
ลายปูนปั้นที่พระวิหาร ซึ่งเดิมเคยเข้าใจว่าเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออาจจะเป็นของมีมาก่อนกรุงศรีอยุธยา ด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ใช่ฝีมือช่าง อยุธยา สมัยพระราเมศวรแล้ว ก็อาจเป็นสมัยอโยธยา ตอนปลาย ด้วยตัวลาย แม้จะเป็น กนกแล้วก็ยังเป็นกนกขมวด แบบธรรมชาติ ตรวจดูในพระวิหาร ซึ่งใส่เสา สี่เหลี่ยมและซุ้มประตูยื่นออกมาเป็นซุ้มหนา บ่งว่าเป็นสถาปัตยกรรม ก่อน กรุงศรีอยุธยา ด้วยสมัยอยุธยาตอนต้น มีเฉพาะ เสากลมกับเสาแปดเหลี่ยม แต่เสาวิหาร วัดภูเขาทอง ข้างในสองแถวใหญ่มากหันหน้าพระประธาน สู่แม่น้ำ ทาง ทิศตะวันตก เชื่อว่าเป็น พระวิหารสมัยอโยธยาตอนกลางอย่างแน่นอน และ ไม่เชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมสมัยพระราเมศวร ซึ่งสมัยอยุธยา ตอนต้น เพียงมาบูรณะปฏิสังขรณ์ส่วนชำรุดให้บริบูรณ์ขึ้นเท่านั้น
ส่วนการที่มี ผู้สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยพระบรมโกฐนั้น ก็เพราะผู้ สันนิษฐานไม่มีความรู้ใน เรื่องลวดลาย และวิวัฒนาการศิลปะดีพอนั่นเอง จากการพิจารณาลวดลาย วัดภูเขาทองเห็นว่า เป็น ระเบียบลาย ร่วมสมัยกับลายกำแพงเพชร อันเป็นฝีมือช่างสุโขทัย และยังคล้ายกับลายในใบเสมา อโยธยา สุพรรณภูมิหลายแห่งอีกด้วย ให้สังเกตว่ายอดลายเพื่องเป็นลักษณะคล้ายใบไม้ ซึ่งเป็น ลายแบบ อโยธยาสุพรรณภูมิแท้ๆ สมัยอยุธยาตอนต้น ลายแบบนี้ก็ปรากฏอยู่บ้าง หากแต่กระเดียด ไปนิยมทาง ลายแบบลพบุรี ดังปรากฏที่ลายชั้นในที่ถูกปูนพอกทับและกระเทาะออกของปรางค์ ข้างพระอุโบสถ วัดมหาธาตุนั่นเอง ลักษณะของพระอุโบสถซึ่งมีย่อมุม มากมีลายปูนปั้น ประดับรอบ พระอุโบสถลักษณะเช่นนี้เป็นระเบียบ ของศิลปะรุ่น ก่อน กรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏที่วัดไลย์เป็นต้น เพียงแต่ว่า วัดไลย์มีอายุเก่าแก่กว่าเท่านั้น เจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองวัดภูเขาทอง เป็นเจดีย์เก่าแก่ อย่างแน่นอน ด้วยมีเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองแบบฟื้นกลับ ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่สมัย พระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง และ พระนารายณ์ รูปทรงผิดเพี้ยน ไปดังได้กล่าวไว้แล้วแต่ต้น ยิ่งสมัยอยุธยาตอนปลาย เจดีย์เหลี่ยมย่อมุมสิบสองก็ยิ่งผันแปรไปทุกที กล่าวคือระฆังเล็กมาก ย่อมุมก็ถี่มาก แข้งสิงห์ก็สูงมาก ดังเจดีย์ที่หน้าวิหารพระนอนวัดสามวิหารเป็นต้น เจดีย์แบบนี้ยัง ปรากฏตามที่ต่างๆอีก คือ เจดีย์วัดเจดีย์แดง และเจดีย์เหลี่ยมองค์เล็กบางองค์ในวัดมหาธาตุ ซึ่งสมัยอยุธยาตอนปลายไปสร้างขึ้นไว้ ที่น่าสังเกตได้เด่นชัดนอกจากระฆังเล็กแล้ว ยังมีเส้น โครง นอกเป็นรูปออกอีกด้วย เจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลายจะมีลักษณะอยู่ในรูปทรงนี้เสมอ ยังมีเจดีย์ อีกแบบหนึ่ง เป็นเจดีย์ที่วิว้ฒนาการ มาจากเจดีย์ย่อมุม ๑๒ แต่ระฆังเป็นกลีบคล้ายกลีบมะเฟือง เจดีย์แบบนี้ ปรากฏอยู่ข้างถนนใกล้โบสถ์หลวง พ่อขาวที่หัวรอ และยังปรากฏ เป็นเจดีย์แถวที่วัด เสนาสน์ รอบเจดีย์ลังกาองค์ใหญ่ เจดีย์แบบนี้เป็นเจดีย์สมัยอยุธยาตอนกลางอย่างแน่นอน สังเกต จากแข้งสิงห์ลักษณะป้อมๆและทำเป็นลายหยักเข้มแข็งสวยงามมาก ซึ่งถ้าเป็นแข้งสิงห์ สมัยอยุธยา ตอนปลายแล้ว แข้งสิงห์จะสูงและแบบบาง ดังแข้งสิงห์ ปูนปั้นที่พระราชวังนารายณ์ลพบุรี พระที่นั่งเย็นและเจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลายทั่วไป ยิ่งอยุธยาตอนปลายมากแข้งสิงห์จะสูงและ แบบบาง ยิ่งขึ้นทุกที ดังเช่นแข้งสิงห์วัดกุฏิดาว อันเป็นฝีมือช่างสมัยพระเจ้าท้ายสระเป็นต้น เจดีย์ รุ่นนี้นับว่าสวยงามมาก เท่าที่พบมีขนาดย่อม ยังไม่ พบขนาดใหญ่กว่านั้น สมัยพระเจ้าปราสาททอง เกิดความนิยมฟื้นกลับไปนิยมศิลปะแบบขอมอีกครั้งหนึ่ง วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งสร้างขึ้น เป็นวัดประจำ รัชกาลของพระองค์ จึงใช้ปรางค์เป็นหลักของวัด แต่ก็เป็นปรางค์ที่ดัดแปลงมาจากปรางค์ อยุธยา รุ่นหลัง แม้จะทำให้ขนาด ใหญ่โต ก็ไม่ใหญ่เท่าวัดราชบูรณะ ส่วนเมรุทิศเมรุรายที่พระระเบียง เลียนแบบมาจากขอม แต่รูปทรงยังแสดงท่าทีเป็นศิลปะอยุธยาตอนกลางนั่นเอง ยอดเมรุทิศเมรุราย เป็นรูปปรางค์เล็ก อิทธิพลการฟื้นกลับศิลปะขอม ซึ่งเริ่มนำแบบอย่างเป็นปฐม ก่อนที่พระราชวัง นครหลวง แล้วต่อมาก็ที่ วัดไชยวัฒนาราม ได้กลายเป็นแบบอย่าง สำคัญของศิลปะปลายสมัย อยุธยาตอนกลาง ซึ่งส่งผลให้แก่ศิลปะอยุธยาตอนปลายโดยตรง เช่นทรงเมรุทิศเมรุราย ปรากฏ ให้เห็นที่ปูนปั้นซุ้มประตู วัดบรมพุทธาราม สมัยพระเพทราชา และวัดตองปุ ที่ลพบุรี สมัย พระนารายณ์ เป็นต้น ใบเสมาสมัยอยุธยาตอนกลาง ยังคงทำด้วยหินชนวนสีเขียว แต่ขนาดเล็ก ลง ดังใบเสมาวัดวรเชษฐาราม สมัยพระเอกาทศรถเป็นต้น สมัยพระเจ้าทรงธรรม มีใบเสมาที่ขมวดที่ เอวเสมา ลวดลายแปลกพิเศษพิศดารแต่ขนาดเล็กลง และทำด้วยหินทราย ใบเสมาสมัยพระเจ้า
ปราสาททอง เป็นใบเสมาแบบนั่งแท่น ตรงเอวเสมามีงอนเชิดออก เอวคอดมากขึ้น มีลวดลายกนก ที่ทับทรวง และด้านบนเสมา กับที่ส่วนล่าง ล้วนเป็นลวดลายมีแบบแปลกๆ แตกต่างออกไป ใบเสมา แบบนี้พบที่วัด ศาลาปูนอีกแห่งหนึ่ง วัดศาลาปูนเป็นวัดโบราณ หันหน้าออกคูเมือง ทางทิศใต้ มีขนาด เล็กกว่าวัดหน้าพระเมรุ พระอุโบสถมีเสาบนพาไล สองข้าง เสาเป็นแปดเหลี่ยมและ ทวยคล้าย วัดหน้าพระเมรุมาก หลัง อุโบสถเป็นพระเจดีย์กลมแบบ เจดีย์ลังกา สมัยหลังทางวัดรื้อ เสาพาไล ทิ้งเสียแล้ว ยังคงปรากฏเสาข้างใน และลายเพดานอันเป็นแบบเก่าแก่ เหมือน วัดหน้าพระเมรุ ที่สุด วัดนี้เข้าใจว่าสมัยอยุธยาตอนปลายคงจะทรุดโทรมมากจึงได้ปฏิสังขรณ์ ครั้งใหญ่สมัยพระเจ้า ปราสาททอง และก็เลยผูกพัทธสีมาขึ้นใหม่ ในสมัยนั้นด้วย เนื่องจากอยุธยามีวัดจำนวนมาก และก็ มีการสร้างเพิ่มเติม อยู่เรื่อยๆ จนบางวัดก็ปล่อยร้าง เหลือกำลังที่จะปฏิสังขรณ์ ได้ดังปรากฏจาก บันทึกของ นายนิโกลาส์ แซเวส ซึ่งพรรนาไว้ในหนังสือ ของเขาเกี่ยวกับอาณาจักรสยามว่า หลายวัดถูกปล่อยให้รกร้างสลักหักพังจมอยู่ในป่า
นรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ.๒๑๔๘-๒๑๖๓) กรุงศรีอยุธยาสงบราบคาบ ประเทศใหญ่ น้อยรอบด้าน เช่น ลาวเขมร มลายู มอญ แม้เมืองตองอูของพม่าก็ล้วนอยู่ใต้อำนาจกรุงสยาม เนื่องจาก แผ่นดินพึ่งเพลียจากสงคราม อันมีอยู่ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้จะว่างศึกก็ยังยุ่งต่อการภายในของบ้าน เมืองอยู่ จึงไม่ปรากฏว่าได้สร้างศิลปะวัตถุไว้แห่งใด นอกจาก วัดวรเชษฐารามแห่งเดียว เท่านั้น ศิลปะวัตถุของอยุธยาตอนกลาง ปรากฏว่ารุ่งเรือง อย่าง มากในสมัยพระเจ้าทรงธรรม และ พระเจ้าปราสาททอง ระยะเวลาช่วงของ ๔๐ ปีนี้ ศิลปะอยุธยาได้รับการทะนุบำรุง ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งหลังจากหยุดชะงักงันตั้งแต่คราว เสียกรุง ให้แก่เมืองหงสาวดีเป็นต้นมา รัชสมัยพระเจ้า ปราสาททองปรากฏว่ามีการก่อสร้างวัดวาอาราม และปราสาทราชวังเพิ่มขึ้นจำนวนมาก น่าเสียดายว่า สิ่งก่อสร้างในสมัย พระองค์ได้ถูกทำลาย เสียสิ้น เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาพินาศครั้งสุดท้าย จึงหลงเหลือแต่วัดไชยวัฒนาราม และ ปราสาทนครหลวงเพียงสองแห่งเท่านั้น เฉพาะ วัดไชยวัฒนาราม จัดว่าเป็นวัดที่สร้าง ได้อย่างโอ่อ่า ประณีตและสวยงามที่สุด
ม้ในแผ่นดิน พระบรมโกฐ เมื่อราชฑูตลังกาแวะเข้าชมวัดนี้ ก็ได้พรรณาความงามไว้อย่าง เลิศล้น เมื่อศึกษา จากลวดลายกนกที่สลัก ลงบน ใบเสมาวัดไชยวัฒนาราม ทำให้ตระหนักชัดว่า ลายสมัย อยุธยาตอนกลาง แม้จะประดิษฐ์ให้กลายเป็นลายกนกมากแล้ว ก็ยังนิยมทำเป็น ลายอันเลียนแบบ ธรรมชาติอยู่ ลายบางแห่งที่ ขมวดก้านกนกเป็นแบบธรรมชาติ คงรักษาแบบแผน ลายสมัยอยุธยา ตอนต้นไว้โดยสมบูรณ์ ดังลายบนใบเสมา วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น จากการศึกษาลวดลาย ที่วัด สำคัญนี้ เป็น กุญแจดอกสำคัญไขให้เราทราบว่า อันการประดิษฐ์ ลวดลายเป็นลายไทยโดยสมบูรณ์ เช่นลาย เครือเถาตัวนกคาบ ช่อหางโต และกนกแบบต่างๆ นั้น ต้องเป็นผลงานของช่างตั้งแต่สมัย พระนารายณ์เป็นต้นมาด้วยสมัยพระนารายณ์อิทธิพล ลายโรโคโค้ ได้แพร่หลาย เข้ามา พร้อมกับ แบบสถาปัตยกรรม ดังวัดตะเว็ดเป็นต้น แบบลายเครือเถา ของโรโคโค้ผสมกับ ลายกนกแบบไทย ที่หน้าบันวิหารสำคัญแห่งนี้ เป็นต้นเค้าให้เห็นคติการประดิษฐ์ลายกนกเปลว อันฟูเฟื่อง สมัยอยุธยา ตอนปลายเป็นอย่างมาก จริงอยู่ลายเครือเถา ประกอบตัวกนก ของสมัยอยุธยา ได้ปรากฏโฉมหน้า ตาม บานประตู บนหน้าบัน พระอุโบสถมาแล้ว แต่ก็เป็นแบบแผนของศิลปะไทยแท้ๆ ล่วงสมัยอยุธยา ตอนปลายนับตั้งแต่สมัยพระนารายณ์เป็นต้นไป สมัยนี้มีการค้าขาย ติดต่อกับชาติต่างๆ อย่างกว้าง ขวาง ที่นิยมกันมากที่สุดคือเครื่องลายคราม ดังปรากฏในบันทึกของชาวฝรั่งเศส ในท้องพระคลัง หลวง และร้านขุนนางสำคัญจะมีเครื่องลายครามเต็มไปหมด แม้ของบรรณาการ จะส่งไปถวาย พระเจ้าหลุยส์แห่งฝรั่งเศสก็มีเครื่องลายคราม จำนวน มากแบบอย่างศิลปะฝรั่งเศส เปอร์เซีย และ จีน ได้เข้ามาคลุกเคล้ากับศิลปะสมัยพระนารายณ์ ก่อให้เกิดศิลปะอันเฟื่องฝัน อีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะได้ กล่าวต่อไปในภาคของศิลปะอยุธยาตอนปลาย ศิลปะลวดลายของอยุธยาตอนกลาง จึงยังคงเป็นแบบไทยแท้และเป็นขนาดดั้งเดิม  มิใช่ลูกผสมแต่ประการใด พระพุทธรูปที่พระระเบียง วัดไชยวัฒนาราม และที่พระเมรุทิศเมรุราย อันเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ พอกปูน จะมีชิ้นศิลาเล็กน้อยที่พระอุโบสถบ่งว่าสมัยอยุธยาตอนปลายความนิยมการทำพระพุทธรูปศิลาเลิก นิยมกันแล้วตรวจจาก วัดวรเชษฐารามสมัยพระเอกาทศรถก็ไม่มีศิลา มีแต่พระก่ออิฐปูนปั้น จึงอาจ กล่าวได้เต็มที่ว่าพระพุทธ รูปศิลาได้หมดความนิยม ไปตั้งแต ่สมัยอยุธยาตอนกลาง สมัยพระเจ้า ทรงธรรมและพระเจ้าปราสาททองเริ่มนิยมทำพระทรงเครื่องกันมาก ดังพระทรงเครื่องวัดตูม และ วัดใหญ่ ประชุมพลเป็นต้น แม้พระปูนประจำพระเมรุทิศเมรุรายวัดไชยวัฒนารวม เป็นแบบทรง เครื่อง พระพุทธลักษณะของพระพุทธรูปสมัยนี้ มีพระพักตร์ยาวรีงดงาม เข้าใจว่าพระประธาน วัดหน้า พระเมรุ กับวัดศาลาปูนจะถูกพระเจ้าปราสาททองไปซ่อมเสียใหม่ โดยพอกทับองค์พระเดิมไว้ชั้นใน ด้วย ลักษณะคล้ายกับวัดไชยวัฒนารามมาก เคยตรวจสอบ องค์พระ ประธานวัด หน้าพระเมรสมัยก่อนซ่อมพบว่า มีการ พอกทับ กันหลายซับหลายซ้อนที่ปรากฏ ภายนอก ต้องเป็น ฝีมือช่าง สมัยพระเจ้าปราสาททองอย่างแน่นอน การที่ยัง มีผู้เข้าใจว่า พระพุทธรูป สมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนใหญ่ทำด้วย สำริด ส่วนพระศิลาพึ่งทำขึ้น สมัยพระเจ้าปราสาททอง จึงเป็น ความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนอย่างมาก จริงอยู่เราพบ พระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ เช่นวัดพนัญเชิง วัดมงคลบพิตร วัดธรรมิกราชและพระเศียรขนาดใหญ่ในพิพิธภัณฑ ์อีกมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ พบพระศิลาสมัยอยุธยาตอนต้น จำนวนมากเพียงแต่ว่าการจะ เนรมิตรูปขนาดใหญ่ เช่น หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง กับ วัดมงคลบพิตร จะแสวงหาศิลาขนาดมหึมาด้วยความ ยากลำบาก สมัยอโยธยา จึงทำการหล่อองค์พระด้วยสำริด ถ้าขนาดย่อมลงมาเช่นที่ วัดใหญ่ไชยมงคล และ วัดสมณโกฐาราม ก็ทำด้วยศิลาทั้งนั้นในสมัยอโยธยาตอนปลาย สมัยอยุธยาตอนกลาง ไม่นิยม ทำพระขนาดใหญ่ สังเกตจาก พระประธาน พระอุโบสถ วัดไชยวัฒนาราม วัดพระพุทธบาท วัดตูม และ วัดประชุมพล ล้วนมีขนาดกลาง จึงต้องก่อบานชุกชีสูงขึ้น ยิ่งสมัยอยุธยา ตอนปลายพระประธานก็ย่นย่อเล็กลงมาอีก ฐานชุกชี ก็วิจิตรพิสดารมากขึ้น

[HOME] [NEXT]

 

 

1