
|
|
|

จู่ๆชื่อของญาปู่ครูธรรมอริยธาตุ ก็เข้าไปมีบทบาท ในวงการศึกษา เมื่อได้พรีเซนเตอร์ชั้นดี
ด.ช.ยอดยิ่ง เอกโชติ เด็กชั้นป.๓/๒ ร.ร.เทศบาลศรีสวัสดิ์ นำความรู้สึกประทับใจ ในการมาเยี่ยมเยียน
สวนบุญ ขึ้นไปบอกเล่าให้บรรดาครูบาอาจารย์ ทั้งจากส่วนกลางและท้องถิ่นในงานประชุมทางวิชาการด้าน
การศึกษา ของร.ร.ประถมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และออกรายการวิทยุ "บ้านของเรา"ทาง
สถานีทหารอากาศ FM.มหาสารคาม. คนที่ไม่คุ้นเคยอาจแปลกใจ แต่คนวงในจะรู้ดีว่า ท่านญาปู่จับงานด้าน
ให้การศึกษาเด็ก อย่างเงียบๆมานานนัก ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ท่านจะเปิดสอนพิเศษภาษาอังกฤษและ
คอมพิวเตอร์ ให้เด็กๆระดับป.๑-ป.๖ เรียนฟรีมีอาหารเลี้ยง สิ้นเดือนมีรางวัลแจก เด็กทั้งในและนอกเขต
เทศบาล หลายร้อยคนเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่ เชื่อไหมว่าการศึกษาแบบ ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ที่เรียกเป็น
ภาษาอังกฤษโก้ๆว่า child center.ที่ฮิตๆกันอยู่ในขณะนี้ ญาปู่คลุกกับมันมานานร่วมสิบปีแล้ว..ทัศนะ
เกี่ยวกับเด็ก และกระบวนการสอน ของท่านมีอะไรๆที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
เด็กเขาเกิดมาเล่นไม่ได้เกิดมาเรียน กระบวนการเรียนรู้ของเขา คือการเล่นเลียนแบบ ผู้ใหญ่ไปสั่งไป
สอนเมื่อไหร่ ก็เอวัง พังทั้งแถบ มีวิชาอะไร?..คำสั่งสอนไหน? ที่คุณจำขึ้นใจได้บ้างในวัยเด็ก ขนาดชื่อครูผู้
สอนตอนชั้นประถม จะมีใครสักกี่คนจำได้เรียน..สอบไล่..เลื่อนชั้น..ลืมก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนจบมหาวิทยาลัย
เขียนชื่อเป็น กาถูกกาผิด วงกลมได้ ก็ได้วุฒิปริญญาตรีแล้ว มาเถียงมาถกกันซี ว่ามันไม่จริงเหมือนที่ญาปู่ว่า
ก็เล่นเรียนเอาวุฒิบัตร ไม่ได้เรียนเพื่อพัฒนาชีวิต มันก็ต้องเน่าในอย่างนี้..
เด็กที่มาเรียนพิเศษที่สวนบุญ ฝนตกแดดจ้า เขาก็ไม่อยากขาดเรียน ไม่ใช่มากันใกล้ๆโน่นบ้านบัวแดง..บ้านขี
..ขามเฒ่านู้นอะไรที่ทำให้เด็ก อยากมาที่สวนบุญ ก็เพราะที่นี่ไม่มีการสอน ไม่มีการสั่ง ไม่มีการด่า มีแต่เรื่องร้อง
ลำทำเพลง..เล่นเกม..วาดรูปสนุกอย่างนี้ เด็กไม่อยากมาก็บ้าแล้ว ..นักการศึกษาหอบตำรามาเกิด คงย้อนแย้งว่า
สนุกแบบไม่มีความรู้ละกระมัง..โทษทีน่ะ..
เด็กที่นี่สวดมนต์ ๓ภาษา ไทย-บาลี-อังกฤษ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นทุกคน กราบเบญจางคประดิษฐ์ นั่งสมาธิได้อย่าง
เจ๋งเป้ง ทั้งๆที่ ก่อนมาเรียนเด็กเกือบทั้งหมด ไม่เคยจับคอมฯ ตัวB กับตัวD หันหน้าไปทางไหนก็บ่รู้...ที่นี่จึงกล้า
ยืนยันว่าสนุกอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือหลักว่า..เล่นจนเป็นอัจฉริยะ
ขบวนการเรียนรู้ โดยหลัก..ละเลง..ร้อง..เล่น..เล่านี่แหละคือการเรียนรู้ แนวใหม่ ที่ทรงประสิทธิภาพ สิ่ง
สำคัญแรกสุดที่การศึกษาไทยต้องมี คือครูจะต้องเปลี่ยนแนวคิดของตัวเองให้ได้ เริ่มตั้งแต่ต้องภาคภูมิใจใน
ความเป็นครูอย่างจริงใจและจริงจัง และยินดีมีความสุข ในชีวิตที่เรียบง่าย กินน้อยอยู่น้อยอย่างเป็นปกติ ครูไม่
สมถะจ้างก็สอนศิษย์ ให้เป็นคนมีคุณภาพไม่ได้...
/pre>

ข่าวการเมือง ถูกข่าวชาวพิราบเหลือง เกทับดับความเข้มข้น ประชาชนคนไทย ชักจะ
มั่นใจ ในความไม่ศรัทธาต่อหมู่ภิกษุสงฆ์ไทย ของตน หลายคนได้นำข้อสงสัย ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้
ไปถามท่านญาปู่ ได้รับความรู้และข้อมูล ในมุมมอง ที่น่าสนใจ...
...พระพุทธเจ้า ท่านออกแบบองค์กร ให้มี ๔ ขาเพื่อค้ำยันกัน โดยให้มีภิกษุสงฆ์ ,ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา แต่เมื่อมีการรวบอำนาจ ภิกษุสงฆ์ผูกขาด เรื่องราวทางศาสนาอย่างเบ็ดเสร็จ กิเลสก็ยิ้ม
ยิ่งมาบวกเข้า กับระบบยศช้างขุนนางพระ ลูกตาสียายมีตาแม้น ที่บวชนาน อ่านเขียนคล่อง ก็ล่อยศล่อ
ตำแหน่งกันเพลิน เป็นเจ้าคุณนั้น สมเด็จนี้ ชั้นราช ชั้นเทพ ก็ว่ากันไปเรื่อย องค์คุณ สภาวธรรม ก็
ถูกตำแหน่งดูดกลืนหาย กลายเป็นคนรักศาสนา จนน้ำลายไหลทั้งนั้น อยู่สุขเสพสบาย กลายเป็นคนชั้น
อภิสิทธิ์ชน หลงหัวโขนไป ไอ้อำนาจนี่ มันเหมือนเหล้า เข้าใกล้หอม ดื่มแล้วเมา กินไม่นานก็ติด...
ปีพ.ศ.๒๕๐๕ คุณบ้ากามผ้าข้าวม้าแดง ฝากมรดกบาป เป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เอาไว้
ให้คนบ้าอำนาจกอดกุมเล่น แล้วก็มาแก้กันยิกๆยักๆอีกครั้ง ในสมัยเผด็จการรสช.ปี ๒๕๓๕ ถามจริงๆ
เถอะว่า ประชาชนรู้ร้อนรู้หนาวอะไรไหม? ใส่บาตร ถามหวยพระ เป็นปกติดีอยู่ไม่ใช่หรือ? อ้างกันเท่ห์
เหลือเกิน ว่าศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ศาสนาน่ะมันเรื่องอำนาจหยาบๆ พระราชบัญญัติสงฆ์ ก็เป็น
กฎเกณฑ์ ที่เขียนไว้อ่านเล่นๆ ในหน้ากระดาษเท่านั้น จะแก้ไม่แก้อย่างไร? มีแต่หมู่สงฆ์ ที่หลงไหลใน
อำนาจเท่านั้นแหละ ที่สะเทือน ผู้ที่ต้องการสร้าง สภาวธรรม คุณธรรม ไม่เห็นมันจะเดือดร้อนตรงไหน?
เพราะลุแก่อำนาจ หลงไหลในลาภสักการะ ทนแรงกิเลสโลภไม่ไหว ก็ถลกสบงออกมาลุยกัน
เละ กลายเป็นเรื่องทะเลาะกันระหว่างพระป่า( ธรรมยุต ) กับพระบ้าน( มหานิกาย ) ไปเรียบร้อย สรุป
ชัดๆ ก็คือฝ่ายแก่ที่หวงอำนาจ กับฝ่ายหนุ่มที่อยากขอแบ่งอำนาจ ไอ้จะแก้ไม่แก้ รับไม่รับพรบ.สงฆ์นั้น
มันเป็นข้ออ้าง กลบความอยากมีอำนาจเท่านั้นเอง อันที่จริง สิ่งที่ประชาชนควรทำที่สุดในขณะ ที่พระ
กำลังฉะและฟัดกันนัวอยู่นี่ มาให้บทเรียนแก่ภิกษุไทย เหมือนชาวโกสัมพี ในสมัยพุทธกาลดีไหม?..
คราครั้งนั้น ภิกษุ ๒รูปทะเลาะกันเรื่องต้องอาบัติ ต่างฝ่ายต่างมีพวกหนุนหลังมาก เรื่องเลย
ลามไปใหญ่ ถึงกับสงฆ์แยกกันเป็น ๒ ฝ่าย แยกกันทำอุโบสถ พระพุทธองค์ทรงตักเตือน แนะให้ปราณี
ประนอมกัน ก็ไม่ฟัง ท่านจึงเสด็จ หนีเข้าป่าปาริเลยยกะ ..ชาวเมืองโกสัมพีไม่พอใจภิกษุที่แตกกัน
จึงนัดไม่แสดงความเคารพ ไม่ใส่บาตร งดถวายอาหาร ได้ผลชงัดนัก ขอยุส่งให้คนไทยสอนพระซักที
Email:
yogithai@thaimail.com
Copyright:2002-2005 by Mahayan Mahasarakham Thailand..
|
|