ชื่อทั่วไป
: มอร์ฟีน (Morphine)
ชื่ออื่น
ๆ : Cobies , Cube , Miss Emma , White stuff
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: 3,6dihydroxy-N-methyl-4,5-epoxy-morphinen-7
ลักษณะทางกายภาพ
:
มอร์ฟีน
เป็นผงสีขาวหรือเทาเกือบขาว
ไม่มีกลิ่น
มีรสขม
มีฤทธิ์สูงกว่าฝิ่นประมาณ
8-10 เท่า
เสพติดได้ง่าย
มีลักษณะเป็นเม็ด
เป็นผง
และเป็นก้อน
หรือละลายบรรจุหลอดสำหรับฉีด
นำเข้าสู่ร่างกายโดยวิธีฉีดเป็นส่วนมาก
มอร์ฟีนมีลักษณะ
2 รูป คือ
รูปอิสระ (Free)
และรูปเกลือ
(Salt)
สำหรับมอร์ฟีนที่มีลักษณะเป็นรูปของเกลือ
ได้แก่
ซัลเฟท (Sulfate)
ไฮโดรคลอไรด์
(Hydrochloride) อาซิเตท
(Acetate)
และทาร์เตรท
(Tratrate)
มอร์ฟีนรูปเกลือที่นิยมทำมาก
คือ ซัลเฟท
ประวัติความเป็นมา
:
มอร์ฟีน
เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น
ชาวเยอรมันชื่อ
SERTURNER
เป็นผู้สกัดจากฝิ่นเมื่อปี
ค.ศ.1803 (พ.ศ.2346)
ได้เป็นครั้งแรก
แต่ในปัจจุบันนี้มอร์ฟีนสามารถทำขึ้นได้โดยการสังเคราะห์ด้วยกรรมวิธีทางเคมีแล้ว
มอร์ฟีนเป็นยาเสพติดให้โทษที่เสพติดได้ง่ายมาก
และการงดเสพจะทำได้ยากต้องใช้เวลานานเท่าฝิ่นหรือนานกว่าฝิ่น
ทั้งนี้แล้วแต่สภาพของบุคคล
ปริมาณในการเสพ
และระยะเวลาในการเสพ
มอร์ฟีนได้ถูกนำมาใช้เป็นยาระงับปวด
ซึ่งวงการแพทย์ทั่วไปนำไปใช้ภายหลังการผ่าตัด
กระดูกหัก
ถูกไฟไหม้
และใช้ระงับปวดในระยะท้ายๆของโรคมะเร็ง
แต่แพทย์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนบุคคลที่นำมาใช้เองโดยแพทย์มิได้สั่งถือว่าผิดกฎหมาย
และผู้ใช้มอร์ฟีนโดยพละการเพื่อระงับปวดได้กลายเป็นผู้ติดมอร์ฟีนไป
ทำให้ต้องใช้มอร์ฟีนเพื่อระงับปวดต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ประเภทของยา
:
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่2
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ.2522
แหล่งผลิต
:
ไม่ปรากฏข่าวสารว่ามีการลักลอบตั้งแหล่งผลิตในพื้นที่ประเทศไทย
การออกฤทธิ์
:
ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
ลดความรู้สึกเจ็บปวด
ทำให้รู้สึกง่วงหลับไป
และลดการทำงานของร่างกาย
อาการข้างเคียงอื่นๆ
ก็คือ
อาจทำให้คลื่นเหียนอาเจียน
ท้องผูก
เกิดอาการคันหน้า
ตาแดงเพราะโลหิตฉีด
ม่านตาดำหดตีบ
และหายใจลำบาก
โดยมอร์ฟีนจะไปกดศูนย์ประสาท
ดังนี้
1.
ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง
ซีรเบริล
คอร์เทค (Cerebral Cortex)
ทำให้กดศูนย์ประสาทสมองส่วนที่รับความรู้สึกมึนชา
ความตั้งใจเสื่อมทรามลง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ทำให้เกิดอาการทางจิตใจเปลี่ยนแปลงไป
2.
ออกฤทธิ์ต่อประสาทสมองส่วนเมดัลลารี่
(Medullary Centers)
ทำให้กดศูนย์ประสาทสมองส่วนการหายใจ
ทำให้หายใจช้า
ทำให้การเต้นของหัวใจช้าลง
3.
ออกฤทธิ์ต่อประสาทไขสันหลัง
(Spinal Cord)
ทำให้เกิดปฏิกิริยามีอาการกระตุกต่างๆเกิดขึ้น
ผลต่อร่างกาย
:
มอร์ฟีนทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงในระบบต่างๆ
ของร่างกายผู้เสพ
ดังต่อไปนี้
1. ระบบทางเดินอาหาร
โดยทำให้กล้ามเนื้อเกี่ยวกับทางเดินอาหารทำงานสูงขึ้นเพื่อที่จะบังคับให้อุจจาระผ่านออก
และถ้าแรงขับของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารยิ่งสูงมากอาจจะทำให้มีการเคลื่อนไหวใน
ทางตรงข้ามทำให้มี
อาการคลื่นไส้อาเจียนเกิดขึ้นได้
2. ระบบปัสสาวะ
โดยทำให้กล้ามเนื้อหูรูดเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะหดตัวทั้งๆที่กล้ามเนื้อกระเพาะ
ปัสสาวะทำงานสูงขึ้นก็ตาม
ทำให้ผู้ติดยาเสพติดถ่ายปัสสาวะยาก
หรือไม่แรงเท่ากับปกติ
3. ระบบการไหลเวียนของโลหิต
โดยทำให้เส้นเลือดในช่องท้องหดตัว
ทำให้การไหลเวียนของโลหิตในร่างกายไม่เป็นไปตามปกติจะเห็นได้ว่าผู้ติดยา
เสพติดประเภทนี้ตัวเหลืองอันเนื่องมา
จากโลหิตไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายไม่ปกติ
ส่วนเส้นโลหิตฝอยส่วนปลายทั่วไปขยายตัว
นอกจากมอร์ฟีนจะมีโทษแล้ว
ยังมีประโยชน์ในทางการแพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยสำหรับลดความเจ็บปวดด้วยวิธีการต่างๆ
ดังนี้
1.
ช่วยยกระดับความอดกลั้นต่อความรู้สึกเจ็บปวดให้สูงขึ้น
จึงทำให้ช่วยรับความรู้สึกด้านความเจ็บปวดน้อยลงหรือหายไปได้
เพราะฤทธิ์มอร์ฟีนไปกดประสาทส่วนรับความรู้สึก
2.
ช่วยยกระดับอารมณ์ของผู้ป่วยให้สูงขึ้น
เนื่องจากมอร์ฟีนทำให้เกิดความรู้สึกมึนชาลดความเจ็บปวดลงได้เป็นเหตุทำให้
เกิดความสบายอารมณ์ขึ้นบ้าง
3.
ช่วยขจัดความวิตกกังวลและความหวาดกลัวให้หมดไป
เนื่องจากฤทธิ์ของมอร์ฟีนเข้าไปกดประสาทส่วนต่างๆของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆทำงาน
น้อยลงเท่ากับเป็นการพักผ่อน
ของร่างกายช่วยให้เกิดความผาสุกทางด้านจิตใจ
จึงขจัดความวิตกกังวลและหวาดกลัวลงได้
การบำบัด
ขั้นตอนการบำบัดรักษามอร์ฟีนมี
4
ขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นเตรียมการ
เป็นการเตรียมตัวผู้ติดยาเสพติดให้พร้อมที่จะเข้ารับการบำบัดรักษาให้เกิดความเชื่อมั่นและ
มีความตั้งใจจริงที่จะเลิกยาเสพติด
นอกจากนี้ยังต้องเตรียมความพร้อมญาติพี่น้องและครอบครัว
หรือผู้ใกล้ชิดให้เข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
2. ขั้นถอนพิษยา
ในขั้นตอนนี้ผู้ติดมอร์ฟีนที่มีความตั้งใจที่จะเลิก
โดยการหยุดเสพแล้วจะมีความอยากและความต้องการยาเสพติดอยู่เหมือนเช่นเคย
ดังนั้น
การบำบัดรักษาจะเลือกใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้
ปริมาณการใช้และความตั้งใจของผู้เสพ
หากเสพในปริมาณมากและเป็นเวลานานหลายปี
จะมีอาการถอนพิษยา
(Withdrawal Symptoms) เช่น
หาวนอน
น้ำมูก
น้ำตาไหล
เหงื่อออกมาก
มีอาการทุรนทุราย
หงุดหงิด
ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดท้อง
ท้องเดิน
อาเจียน
รายที่รุนแรงอาจถ่ายเป็นเลือดที่ชาวบ้าน
เรียกว่า ลงแดง
หรือมีอาการชักเกิดขึ้น
เพราะอาการต่างๆ
อาจรุนแรง
ถึงชีวิตได้
แต่หากเริ่มเสพมาไม่นานนักและมีความตั้งใจที่จะเลิกจริงๆ
วิธีที่ดีที่สุด
คือ
การหยุดใช้ยาเองหรือที่เรียกว่า
หักดิบ
พักผ่อนให้เต็มที่
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถถอนพิษยาออกจาก
ร่างกายได้ในที่สุด
โดยจะใช้เวลาไม่นานกว่า
15 วัน
3. ขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพ
เป็นการปรับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้เลิกยาเสพติดให้มีความเข้มแข็ง
ปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ
ความคิด
ความรู้สึกและพฤติกรรมให้สามารถกลับสู่สังคมได้อย่างปกติ
โดยการให้คำปรึกษา
การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบชุมชนบำบัด
เป็นต้น
ซึ่งผู้ติดยาเสพติดสามารถเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพได้ที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติดที่มีอยู่ทั่วประเทศ
4. ขั้นติดตามดูแลหลังรักษา
เป็นการติดตามดูแลผู้เลิกยาเสพติดที่ผ่านการบำบัดรักษา
ทั้ง 3
ขั้นตอน
เพื่อให้คำแนะนำปรึกษา
ให้กำลังใจ
ทั้งนี้เพื่อมิให้หวนกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ
โทษทางกฎหมาย
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่2
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ.2522