ไทยได้ประโยชน์จากผลของการเข้าร่วมสงคราม
ในครั้งนี้
คือ.-
๑.
ประเทศต่าง ๆ ในโลก
รู้จักประเทศไทยดีขึ้น
๒.ได้รับสิทธิเท่าเทียมนานาอารยะประเทศ
ผู้ชนะสงคราม
๓.
ได้รับเชิญเป็นสมาชิกก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ
๔.
ได้แก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมบางฉบับ
กับประเทศ
มหาอำนาจ
ซึ่งต่อมาไทยสามารถยกเลิกสิทธสภาพ
นอกอาณาเขตได้โดยสิ้นเชิง
๕.
ไทยสามารถกำหนดพิกัตอัตราภาษีเข้าออกได้โดยเสรี
มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสา
ที่สนามหลวงและสร้าง
วงเวียน ๒๒ กรกฎา
เพื่อเป็นอนุสรณ์ในครั้งนั้น
พระเกียรติคุณ
มหาปราชญ์แห่งแผ่นดินสยาม
จากพระเกียรติคุณ
และพระมหากรุณาธิคุณ
ที่ทรงพระราช
ทานไว้กับแผ่นดินไทย
รัฐบาลพร้อมทั้งปวงชนชาวไทย
ได้ร่วมกัน
จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์
ประดิษฐานเป็นศรีสง่าแก่แผ่นดิน
ณ บริเวณหน้าสวนลุมพินี
และที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ
จังหวัดชลบุรี
เพื่อเป็นอนุสรณ์
รำลึกถึงพระองค์ตลอดกาล
นอกจากนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม
แห่งสห ประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญ
ของโลก เมื่อปี ๑๙๘๑
นับเป็นมงคลสมัยวันประสูติครบ
๑๐๐ ปี ซึ่งรัฐบาล ในขณะนั้น
ได้จัดทำโครงการต่างๆ
เพื่อเป็นการเฉลิม ฉลองในปี ๒๕๒๔
อาทิการจัด
ประกวดแต่งหนังสือบทกวีเทิดพระเกียรติ์
จัดชุมนุมลูกเสือโลก และ
สร้างหอพระสมุดวชิราวุธานุสรณ์
ขึ้นภายในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ
ท่าวาสุกรี
ซึ่งปัจจุบันมีการแสดงหุ่นขี้ผึ้งพระราชประวัติส่วนพระองค์
ให้ผู้สนใจได้เข้าชม
ในวันและเวลาราชการ ดังนี้
พระบรมราชะประทรรศนีย์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
และมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระบรมราชูปถัมภ์
ห้องแรก : เสวยราชสมบัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงประกอบพิธี
ีพระบรมราชภิเษก ๒ ครั้ง
ในครั้งแรก ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯให้จัด การพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก
ตามขัตติยโบราณราชประเพณี
เพื่อประ ดิษฐาน
ความเป็นพระมหากษัตริย์
โดยสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๑
พฤศจิกายน ๒๔๕๓
แต่งดการแห่เสด็จเลียบพระนคร
และการรื่นเริงอื่น ๆ จนกระทั่ง
ถวายพระเพลิง
พระบรมศพพระราชบิดา คือ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว และครบกำหนด
การไว้ทุกข์แล้ว ๑ ปี
นับแต่วันสวรรคต
จึงโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกสมโภช
อีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้
มีเจ้านาย และอรรคราชฑูต
ผู้แทนพระองค์
พระราชาธิบดีและผู้
แทนประธานนาธิบดี
จากนานาประเทศมาร่วม งานถึง ๑๔
ประเทศ
ห้องที่ ๒ : ทัดเทียมประเทศอารยะ
ใน
พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้เกิดสงครามขึ้น
ในทวีปยุโรป โดยแบ่งออก
เป็นฝ่ายมหาอำนาจอันได้แก่
เยอรมัน
และออสเตรีย-ฮังการีกับฝ่าย
สัมพันธมิตร ได้แก่อังกฤษ
ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และรัสเซีย
เป็นต้น ต่อมาสงครามนี้
ได้กลายเป็นมหาสงครามโลก
ครั้งที่ ๑
ในระยะแรก
ของสงครามสยามประเทศ
ได้ประกาศความเป็นกลาง
แต่เนื่องจาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นนายทหาร
เก่าแก่แห่งกรมทหารราบเบาเดอรัม
พระองค์พระราชทาน พระราช
ทรัพย์ แก่ทายาทของทหาร
ในกรมทหารราบเบาเดอรัม
ที่เสียชีวิตใน สงครามและ
สมเด็จ พระเจ้ายอร์ชที่ ๕
แห่งอังกฤษ ทรงซาบซึ่งพระทัย
ได้ถวายพระยศ
นายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ
และพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ถวายพระยศพลเอกพิเศษแห่ง กอง
ทัพบกสยาม เป็นการตอบแทน
ห้องที่ ๓ :
นำชัยชนะสู่สยาม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระบรมราชโองการ
ประกาศสงครามกับ ประเทศเยอรมนี
และออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐
เพื่อรักษาประโยชน์ ของประเทศ
และเพื่อรักษา ความ เป็นธรรม
ของโลกส่วนรวม
พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ
ห้จัดกองทหารอาสามสมัคร
ไปร่วมรบกับ ฝ่ายสัมพันธมิตร ณ
สมรภูมิ ทวีปยุโรป
เมื่อสงครามโลกยุติลง
กองทหารอาสาสมัคร เดินทางถึง
กรุงเทพมหานครเมื่อ วันที่ ๒๑
กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงโปรดฯ
ให้จัดงานฉลองพระราช ทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อันมีศักดิ์รามาธิบดี
แก่ธงไชยเฉลิมพล โดย
ทรงผูกประทับดวงตราที่ยอดคันธงไชย
เฉลิมพลนั้น
ด้วยพระองค์เองการร่วมกับฝ่ายชนะสงครามนี้
ทำให้เรา สามารถแก้ไข
สนธิสัญญาทางการค้า
และการศาลกับนานาประเทศ
ได้เป็นผลสำเร็จ
ห้องที่ ๔ :
ความเป็นไทยรำลึก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสนพระทัย
เรื่องราวในประวัติศาสตร์
และในวรรณคดีมาแต่
ครั้งยังดำรงพระยศ
เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร
ก็ได้เสด็จพระราชดำเนิน
ไปตรวจพื้นที่
และโบราณสถานด้วยพระองค์เอง
โดยเฉพาะ
ในคราวเสด็จประพาสสวรรคโลก
ได้ทอดพระเนตร เตาทุเรียง
ซึ่งเป็นเตาเผา
เครื่องถ้วยชามสังคโลก
และภาชนะที่ใช้ในบ้าน
รวมทั้งกระเบื้องเคลือบบราลี
และศีรษะมังกร อันแสดงถึง
ความรุ่งเรืองของชาติไทยที่มีนานแล้ว
ห้องที่
๕ : ซ้อมสู้ศึกศัตรู
การเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่
๕
และผลของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
บางฉบับที่จำกัดการตั้งกอง
กำลังทหารในบางพื้นที่
ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงห่วงความปลอดภัยของ
ประเทศและได้ทรง
สถาปนากองเสือป่าขึ้น
เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
เป็นกอง อาสาสมัคร
สำหรับฝึกพลเรือน ให้มีความรู้
ความสามารถ เช่นเดียวกับทหาร
เพื่อเป็นกองหนุนของทหาร
และตำรวจ
ในยามคับขันรักษาดินแดน
และพระมหากษัตริย์
เสริมกำลังกาย กำลังสติปัญญา
สร้างวินัย
และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
กิจการเสือป่า
นอกจากจะได้รับความสนใจ
จากนานาประเทศแล้ว
ยังเป็นต้นแบบใน
การจัดเตรียมกำลังสำรองของไทยในเวลาต่อมา
เช่น กรมการรักษาดินแดน
ไทยอาสาป้องกันชาติ
และลูกเสือชาวบ้าน
เป็นต้น
ห้องที่
๖ : ให้สู้และอดทน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชวิจารณญาณรอบคอบ
เกี่ยวกับการฝึกคน
เพราะนอกจากจะทรงฝึกเสือป่า
และลูกเสือให้รู้จัก
การใช้อาวุธและยุทธวิธี
ในสงครามแล้ว
ยังทรงมีพระราชประสงค์
จะฝึกให้มีความอดทน
ทั้งด้านจิตใจและร่างกาย
ให้สามารถช่วยตนเอง
และแก้ไขอุปสรรคทั้งหลายได้ทุกโอกาสด้วย
จึงทรงนำเสือป่า ลูกเสือ
ทหารและตำรวจ เดินทางไกลรอนแรม
ไปตามทุ่งนา ป่าเขา
ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิด
บางครั้ง ในระหว่างรอนแรมไป
ดินฟ้าอากาศแปรปรวน
พระองค์ทรงห่วงใยลูกเสือ
ได้ทรงโปรดฯ
ให้เรียกมาพักนอนในเต็นท์
ที่ประทับของพระองค์
และพระองค์เสด็จไปประทับศาลาวัดห่างไปอีก
๒๐ เส้น สะท้อนให้เห็น
น้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วย
พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
อย่างหาที่สุดมิได้
ห้องที่
๗ : อบรมคนแต่เยาว์วัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสถาปนากิจการลูกเสือขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๕๔ เพื่อฝึกฝนอบรม
เยาวชนของชาติ ให้เป็นพลเมืองดี
มีความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ มีความสามัคคี
ในหมู่คณะอัน
เป็นรากฐานความมั่นคงของชาติประเทศไทย
เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเซีย
และเป็นประเทศ ที่สามของโลก
ที่มีกิจการลูกเสือรอง
จากประเทศอังกฤษ และอเมริกา
และได้พระราชทานคติพจน์
สำหรับคณะลูกเสือไทยว่า
"เสียชีพอย่าเสียสัตย์"
ห้องที่
๘ : ปลูกฝังนิสัยโดยการสอน
ด้วยความที่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นพุทธศาสนิกชน
ที่มีพระราชศรัทธาเลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนา
และโปรดสดับพระธรรมเทศนา
อยู่เป็นกิจ ทรงนำประโยชน์
จากพระธรรมคำสอน มาพระราชทาน
แก่พสกนิกรด้วยวิธีการต่าง ๆ
เช่น บทพระราชนิพนธ์
พระบรมราโชวาท และพระบรม
ราชานุศาสนีย์ เป็นต้น
การแสดง พระบรมราชานุศาสนีย์
ครั้งสำคัญ คือ
เมื่อเสด็จไปประทับ ณ
ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ ใน พ.ศ.๒๔๖๑
เนื่องในวันวิสาขบูชา ทรงแสดง
พระบรมราชานุศาสนีย์
แสดงคุณานุคุณ
แห่งพระรัตนตรัยบุพการี
ผู้ปกครอง และความรักชาติ
แก่ข้าราชการ ทหารและพลเรือน
ที่เฝ้าฯ อยู่ในขณะนั้น
ห้องที่
๙ : ให้ละครช่วยอบรม
ในการทรงใช้
ศิลปะการแสดงละคร
เพื่อสื่อความคิดนี้
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า
บทพระราชนิพนธ์ของ พระองค์
มักจะสอดแทรก แนวพระราชดำริ
ทางการเมือง การปกครอง
เศรษฐกิจและสังคม คติธรรม
ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ แล้วทรงเลือก
บทพระราชนิพนธ์ มาจัดแสดง
ให้เหมาะแก่กาละเทศะ
ในบางคราวทรง
เป็นผู้กำกับการแสดง
และทรงแสดงละคร ด้วยพระองค์เอง
เช่น ทรงแสดง เป็นนายมั่น ปืนยาว
ชาวป่า ในบทพระราชนิพนธ์ เรื่อง
พระร่วง
เพื่อปลูกฝังความรักชาติ
เป็นต้น
ห้องที่
๑๐ : เกิดอุดมศึกษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสนพระทัย
ในเรื่องการศึกษาของชาติเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยทรง พระราชดำริว่า
"
การศึกษาย่อมเป็นการสำคัญอย่างยิ่ง
และเป็นต้นเหตุแห่งความเจริญของชาติบ้านเมือง
ผู้ใดอุดหนุนการศึกษา
ผู้นั้นได้ชื่อว่า
อุดหนุนชาติบ้านเมือง
"
พระองค์ทรงริเริ่ม
สร้างโรงเรียนขึ้นแทนวัด
ประจำรัชกาล
และพระราชทานการอุดมศึกษาแก่คนไทย
โดยทรงโปรดฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พร้อมกับพระราชทานเงินไว้
เป็นทุนของมหาวิทยาลัย
และพระราชทานที่ดิน
พระคลังข้างที่ ที่ตำบลสระปทุม
เนื้อที่ ๑,๓๐๙ ไร่
ไว้เป็นอาณาเขต
ทั้งยังทรงพระกรุณาเสด็จฯ
ไปทรงวาง ศิลาพระฤกษ์
ตึกบัญชาการ ซึ่งปัจจุบัน คือ
คณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๓
มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ อีกด้วย
ห้องที่ ๑๑ :
ทดลองประชาธิปไตย
ดุสิตธานี
เป็นเมืองจำลองเล็ก ๆ
ตั้งอยู่ในบริเวณ
พระราชวังดุสิต
และภายหลังย้ายมาที่
พระราชวังพญาไท ประกอบด้วย อำเภอ
๖ อำเภอ บ้านเรือน ๓๐๐
หลังคาเรือน ถนน วัด ร้านค้า
โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่
ประชุม พระราชวัง และสวนสาธารณะ
มีนคราภิบาล ทำหน้าที่บริหาร
มีพรรคการเมือง ๒ พรรค
มีการทดลองการเลือกตั้ง
คือแบบเลือกนคราภิบาลโดยตรง
และให้เลือก เชษฐบุรุษของอำเภอ
แล้วจึงเลือกตั้ง นคราภิบาล
จากเชษฐบุรุษเหล่านั้น ฉะนั้น
ดุสิตธานีจึงเป็นภาพรวม
ของการทดลอง
การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ในระยะแรก อาคารบ้านเรือนต่างๆ
พลัดหายไปมาก ที่จัดแสดง
มีพระที่นั่งเทวอาสน์จำรูญ
พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท
พระที่นั่งบรมพิมาน
และพระที่นั่งสุทไธสูรย์ปราสาท
ห้องที่ ๑๒ :
ทรงนำไทยให้รุ่งเรือง
"ในขั้นต้น
กิจกรรมต่าง ๆ
คงต้องเดินอย่างช้า ๆ
เพราะมีเครื่องกีดขวางอยู่หลายอย่าง
ที่ฉันจะต้องข้าม
เราอยู่ในสมัยที่ลำบาก
เพราะมีขนบธรรมเนียมโบราณ
คอยต่อสู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
แต่ฉันไม่คิด ยอมแพ้ ฉันหวังว่า
ฉันจะยังมีชีวิตอยู่นานพอ
จะได้เห็น
ประเทศสยามได้เข้าร่วมอยู่
ในหมู่ชาติต่าง ๆ
โดยได้รับเกียรติและความเสมอภาคอย่างจริง
ๆ
ตามความหมายของคำนั้นทุกประการ"
ด้วยพระราชปณิธาน
ที่พระราชทานแก่พระอนุชา
เมื่อต้นรัชกาลตลอดเวลา ๑๕ ปี
ในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงนำ
รัฐนาวาฝ่าคลื่นแห่งปัญหา
ครั้งแล้วครั้งเล่า
เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ทรงวาดหวังไว้
ด้านการศึกษา
ทรงโปรดให้สร้างโรงเรียนแทนวัด
ประจำรัชกาลพระราชทาน
พระราชบัญญัติประถมศึกษา
เพื่อให้เด็กไทยทุกคน
ได้รับการศึกษา ตามเกณฑ์บังคับ
ทรงทำนุบำรุง วิชาช่างศิลปะ
โดยทรงโปรดฯ
ให้ตั้งโรงเรียนเพาะช่าง
พระราชทานการศึกษา
ขั้นอุดมศึกษา
ด้วยการพระราชทานกำเนิด
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศ
ด้านการทหาร
ทรงส่งเสริมกิจการต่าง ๆ
ของกองทัพบก ทรงโปรดฯ
ให้แยกกรมทหารเรือ ออกจาก
กระทรวงกลาโหม
และพระราชทานที่ดิน
บริเวณอ่าวสัตหีบให้กองทัพเรือ
ใช้เป็นฐานทัพเรือ
ทางด้านการป้องกันทางอากาศ
ทรงตั้งแผนการบินขึ้นใน
กองทัพบก
และต่อมาได้ยกขึ้นเป็นกองบินทหารบก
แล้วขยายเป็นกองทัพอากาศในที่สุด
//
(หน้าแรก)
|