คุณวรรณี เล่าเรื่องของเธอว่า
เธอมาทำบุญที่วัดพระธรรมกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะบุญวันอาทิตย์ต้นเดือน และงานบุญใหญ่ของวัด เช่น มาฆบูชา วิสาขบูชา ทอดกฐิน ไม่ยอมให้พลาดเลยสักครั้ง แต่เดิมฐานะทางบ้าน ไม่ฝืดเคืองอะไร
แต่มาสองปีนี้ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศ สถาบันการเงิน ถูกปิดกิจการ หลายแห่ง ครอบครัว ของเธอได้รับผลกระทบ อย่างรุนแรง ไม่มีรายได้พอ ส่งหนี้ค่าซื้อบ้าน ให้ธนาคาร ทางธนาคารส่งหนังสือทวงหนี้มา ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑ หากขาดการชำระ จะฟ้องยึดบ้าน ขายทอดตลาด คุณวรรณีทุกข์ใจมาก หาวิธีแก้ไข ยังไม่ได้ จึงเข้าไปอยู่ในห้องพระ ทำสมาธิตลอดเวลาบ่ายของวันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้
เมื่อออกจากสมาธิ คุณวรรณี นำรูปถ่ายของบ้านที่จะถูกยึดวางไว้ใต้พระพุทธรูป เจตนาขอให้ท่านช่วยรักษาสมบัติของเธอ ทั้งยังทำการ อธิษฐานจิตว่า ลูกได้ทำบุญที่วัดพระธรรมกายมาแล้วด้วยดี ทั้งหมดทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ไม่มีความเคลือบแคลง สงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ขอบุญนี้ ให้ลูกได้พ้นจากความเดือดร้อนที่กำลังเกิดขึ้น ขอให้มีทางออก รักษาทรัพย์เอาไว้ได้
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม คุณวรรณีไปที่วัดเพื่อทำบุญตามปกติ ตอนเช้าแวะไปที่พระมหาธรรมกายเจดีย์ เพื่อนมัสการพระบรมพุทธเจ้าพร้อม ทั้งสวดมนต์ ภาวนาอธิษฐานจิตขอทางแก้ไข จากนั้นได้ไปที่ห้องขันติ เพื่อรอถวายเงินสร้างพระแกนกลางของน้องชาย เพราะน้องมีเงินสร้างก่อน คุณวรรณีมาร่วมอนุโมทนา เมื่อเสร็จจากการถวายปัจจัยแล้ว ทั้งพี่น้องรู้สึกเบิกบานใจที่ตนเองได้ทำบุญและมีสิทธิ์เป็นเจ้าของพระ ของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุ พอนึกถึงพระของขวัญดังกล่าว แม้มิใช่ของตนเองเป็นของน้องชาย คุณวรรณีรีบอธิษฐานจิต ขอพระท่านทันทีว่า
ขอให้หลุดพ้นจากหนี้ ขอให้ขายที่ดินซึ่งตั้งใจขายอยู่แปลงหนึ่งได้ จะเอาเงินมาใช้หนี้ เรื่องบ้าน
แล้วสองคนพี่น้องก็พากันเดินทางกลับบ้านพร้อมคนในบ้านที่มาด้วย รถวิ่งออกจากวัดมาได้ประมาณ ๕ นาที โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในรถ ดังขึ้น ทุกคนในรถดีใจหวังว่า อาจมีคนขอซื้อที่ดิน และก็เป็นความจริงตามที่คิด คนขอซื้อพูดว่า ผมน่ะ กำลังยืนอยู่บนที่ดินที่คุณบอกขายอยู่นะ อยากจะขอซื้อ คุณจะขายราคาเท่าไหร่ คุณวรรณีเป็นหนี้เรื่องบ้านอยู่ ๒ ล้าน ๒ แสน จึงตอบไปว่า จะขายสองล้านห้า อีกฝ่ายท้วงว่า แพงไป ขอให้ลดลงให้เต็มที่ เขาจะไม่เสียเวลาต่อราคา คุณวรรณีจึงตอบว่า สองล้านสามเป็นราคาขาดตัว ค่าโอนกรรมสิทธิ์ออกคนละครึ่ง อีกฝ่ายตอบว่า ขอติดต่อกับคนซื้อตัวจริงก่อน แล้วจะโทรศัพท์แจ้งมาภายหลัง พร้อมทั้งปรารภว่า ไม่รีบร้อนซื้อ เพราะคิดว่าปลายปีนี้ ที่ดินจะต้องมีราคาถูกลงอีก
คุณวรรณีจะขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้ซื้อตัวจริง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมให้ บอกแต่ว่าเคยเป็นหมอกระดูก ที่เก่งอันดับหนึ่งของประเทศเรา ตอนนี้ ไปทำมาหากินอยู่ออสเตรเลีย แต่มีเงินฝากอยู่ในธนาคารที่เมืองไทย ๒ ล้านบาท ครบกำหนดแล้ว ยังไม่ได้คิดดอกเบี้ย จึงกะจะซื้อแค่ ๒ ล้านบาท
ในระยะที่รอคอยคำตอบอยู่นั้น คุณวรรณีกระวนกระวายใจเป็นทุกข์มาก เกรงคนซื้อไม่ตกลง ได้แต่เฝ้า อธิษฐานจิต ตรึกภาพองค์ พระมหา สิริราชธาตุ ที่ศูนย์กลางกาย ขอให้ท่านช่วยตลอดเวลา เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้ซื้อโทรศัพท์มาแจ้งว่า ขอซื้อในราคาสองล้านสองแสน บาท เท่าราคาใช้หนี้ธนาคารพอดี สมกับที่คุณวรรณี อธิษฐานขอให้หลุดหนี้
แล้วทั้งสองฝ่ายก็ตกลงซื้อขายกันทันทีด้วยเงินสดภายในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม เพราะผู้ซื้อ ต้องรีบกลับต่างประเทศ
คุณวรรณีใช้หนี้ธนาคารหมดสิ้น เรียบร้อย สบายใจอยู่กระทั่งทุกวันนี้ เธอจึงถือว่า นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ในอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ ของ พระมหาสิริราชธาตุอย่างแน่นอน เพราะ ปัจจุบันนี้การขายที่ดินหรือขายบ้าน ทำได้ยากมาก มีแต่คนต้องการขาย ไม่มีผู้ซื้อ คุณวรรณีขายได้ นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ และก็ได้ราคาตามที่ขอด้วยน่าประหลาดใจ
รายคุณวรรณีก็เหมือนคนเราทั่วไป เดือดร้อนที่สุดเข้า ย่อมพยายามหาที่พึ่งไปทั่ว ยังดีที่รู้จักพึ่ง เอารูป บ้านไว้ใต้ฐานพระ ฝากท่านรักษาให้ ไปวัดไม่รู้ทำอย่างไร ขอไปกราบพระเจดีย์ทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จ อย่างน้อยก็ เป็นกำลังใจ มาจบลงที่ขอพรพระมหาสิริราชธาตุ คนบางคนทั้งที่อ้างว่า นับถือพุทธศาสนา แต่พอเดือดร้อน ลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า ลืมพระธรรมคำสอนดับทุกข์ได้ ลืมพระสงฆ์อันเป็นนาบุญใหญ่ บางรูปยังเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำอย่างดีก็ถูกลืม กลับไปบูชาต้นไม้ ก้อนหิน วัตถุแปลกๆ สัตว์ที่เกิดมาพิการประหลาดๆ ทำแบบขาด ปัญญาไปเลย
การขอพึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าทำด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาแท้จริง ก็เป็นกำลังใจอย่างหนึ่ง เพราะอย่างน้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มักมีเทพยดา คุ้มครองรักษา เทพยดาเหล่านี้ มักมีเมตตาธรรมเป็นปกติวิสัย มนุษย์ผู้ใด เดือดร้อน โดยที่ผู้นั้นเป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนมีบุญ จากการบริจาคทาน ไว้ในอดีต พอช่วยเหลือได้ ท่านก็มัก บันดาลความช่วยเหลือต่างๆ เรื่องไม่น่าเป็นไปได้กลับทำได้ ถ้าไม่มีบุญติดตัวอยู่เลย เทพยดาไหนๆ ก็ช่วย ไม่ไหว
อีกประการหนึ่ง หากผู้เดือดร้อนเป็นผู้ทำบุญกุศลต่างๆ ไว้เป็น อาจิณกรรมตลอดเวลาเหมือน เตรียมตัวให้พร้อมไว้ คราวจำเป็นขึ้นมา อำนาจบุญนั้นเอง ช่วยรักษาให้พ้นวิบัติทันท่วงที เรียกว่ามีกำลังพอช่วยสำเร็จ
ทีนี้บางคนประมาทนัก ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจกิเลส ขี้งก ขี้โกรธแถมโง่เขลาเบาปัญญา รอจน ความเดือดร้อนมาถึงเสียก่อน จึงคิดทำบุญแก้ไข บุญที่ทำได้ผลไม่เต็มที่ เพราะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เช่น การทำทาน เจตนาที่ถูกต้องคือ เพื่อพัฒนาจิตใจตนเอง ให้มีคุณธรรมสูงขึ้น กำจัดความตระหนี่ ความอิจฉาพยาบาท ทำให้เป็น คนมีเมตตา โอบอ้อม อารีจิตใจกว้างขวาง เป็นต้น จึงจะเป็นเจตนาถูกทาง แต่กลับทำทาน เพราะอยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากถูกหวยรวยยิ่งๆ ขึ้นไป อยากหายโรค หายภัย อยากชนะคดีความ อยากอวดตัวให้ผู้อื่นชื่นชม ฯลฯ ตั้งเจตนา ไม่บริสุทธิ์อย่างนี้ ผลบุญเกิดน้อย ไม่มีพลังพอ ให้ความช่วยเหลือสำเร็จ เหมือนหิวข้าว ไม่มี ข้าวสารเก็บสำรองไว้หุง มีแต่ต้นข้าวเพิ่งปลูก ย่อมไม่ทันกิน อดตายเปล่า
[สารบัญ] [ ๑ ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] [ ๙ ] [ ๑๐ ]