บทสัมภาษณ์ของกิ่งฉัตร

* ขอขอบคุณ น้องพลอยแก้ว ผู้พิมพ์และส่งบทความนี้เข้ามา *

‘กิ่งฉัตร’

อีกก้านแกร่งแห่งป่าอักษร (หน้า 2)

โดย สุธาทิพย์ โมราลาย

(จากหนังสือ WRITER MAGAZINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2538)


สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

เธอจะเป็น “a good writer” หรือไม่ผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น “พรพรหมอลเวง” “มายาตวัน” “ละครเล่ห์เสน่หา” “เสราดารัล” “ด้วยแรงอธิษฐาน” “ดวงใจพิสุทธิ์” และล่าสุดที่กำลังตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารสกุลไทย เรื่อง “ตามรักคืนใจ” เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ผู้อ่านควรให้ความยุติธรรมในการตัดสินผู้เขียน มิใช่เพียงด้วยภาพปรากฏบนจอโทรทัศน์ที่ผ่านการแปรรูป แปลงร่างหายขั้นตอนจากผู้เขียนบทและผู้สร้าง จนบางครั้งอาจไม่หลงเหลือร่องรอยเดิมให้ผู้เป็นเจ้าของเรื่องได้รู้สึกร่วมในผลงานนั้น หรือาจผิดรูปผิดร่างจนแม้ผู้เป็นเจ้าของเรื่องเองก็มิอาจจำผลงานตนเองได้ดังที่ “กิ่งฉัตร” เคยประสบมาแล้ว

จากคอลัมน์ “ผลัดกันเขียน” ในนิตยสารแพรว ปีที่ 17 ฉบับที่ 387 วันที่ 10 ตุลาคม 2538 เรื่อง “อุบัติเหตุระหว่างขอบหนังสือกับจอตู้” ที่เขียนโดย “กิ่งฉัตร” บอกถึงความคับแค้นใจใจฐานะผู้เขียนที่เธอได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างเหลืออดเป็นครั้งแรก หลังจากที่นวนิยายหลายเรื่องของเธอได้รับการดัดแปลงเพื่อสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

ดิฉันเชื่อว่ามันต้องเกิดอุบัติเหตุ !

มันต้องเกิดอุบัติเหตุแน่ ๆ อาจจะเป็นเพราะเมื่อตอนที่ตัวละครทั้งหลายแหล่ในหนังสือของดิฉันกระโดดจากโลกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปลงจอตู้ ขาแข้งคงสะดุดล้ม หัวคงไปกระแทกเอาความไม่ดีระหว่างขอบหนังสือกับขอบโทรทัศน์หรืออะไรสักอย่าง เลยทำให้ตัวละครดี ๆ เกิดความพิกลพิการหรือเพี้ยน…จนถึงขนาดวิกลจริตจนน่าตกใจ !

“เสราดารัล” จากชายหนุ่มผู้นำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระที่ยิ่งใหญ่คนที่สุภาพและให้เกียรติแกหญิงสาวที่รักเหลือแสน กลับกลายเป็นผู้ชายขี้หลี เอาเปรียบผู้หญิงและหลงผู้หญิงจนทิ้งหน้าที่ ทั้งความรับผิดชอบและบ้านเมืองมาเอาใจทำอาหารให้ผู้หญิงงก ๆ จนน่าขัน

คนที่ตายในหนังสือกลับยังมีลมหายใจได้อย่างอัศจรรย์ในจอตู้ และที่สำคัญ บทสรุปในหนังสือไม่ตรงใจ “คนดู” และ “ตลาด” คนทำจอตู้ก็บันดาลให้สมใจได้ !

คนดูคนทำยิ้มร่า แต่คนเขียนชักยิ้มไม่ออก !

เวลามีการพบปะสังสรรค์กันที นักเขียนผู้ใหญ่หลายท่านให้คำปลอบโยน

“ละครก็เหมือนความฝัน ตื่นขึ้นมามันก็หายไป”

ดิฉันจึงพยายามทำใจให้เหมือนฝันกับ “มายาตวัน” ละครเรื่องที่สองที่ตามเรื่องแรกออกมาไม่ห่างนัก เริ่มจากหลับตาเสีย ไม่ดูไม่แล (ความจริงก็เลิกดูมาตั้งแต่เรื่องแรกนั่นแหละแต่มีผู้สงเคราะห์เล่าให้ฟังอย่างละเอียดโดยมิได้ร้องขอ) แต่บังเอิญลืมปิดหู เสียงที่ลอดเข้ามาจึงไชหนักกว่าเรื่องแรกไม่รู้กี่เท่า

จำได้ว่าเริ่มได้ยินคำว่า “ติงต๊อง” จากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่นักแสดงนำชายกล่าวชมนักแสดงหญิงในเรื่องด้วยคำนี้ จากนั้นติงต๊องก็เหมือนจะกลายเป็นจิงเกิลประจำตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“มีเพื่อนนักข่าวสองสามคนถามว่าเป็นเพื่อนกิ่งฉัตรใช่ไหม เขาอยากรู้ว่าเรื่องที่เธอเขียนติงต๊องอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า” เพื่อนรายนี้ทำงานสำนักพิมพ์ถามนำมาก่อนด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ

“ให้เขาไปอ่านหนังสือ ฉันมานั่งตอบรายตัวไม่ไหว” ดิฉันตอบ

“บอกแล้ว เอาหนังสือให้เขายืมด้วย” เจ้าหล่อนช่วยเอาบุญ

รายต่อมาเป็นเพื่อสมัยโรงเรียน ทำงานด้านหนังสือเหมือนกัน

“แม่ฉันไม่ดูละครของแกแล้ว” น้ำเสียงจริงจังทีเดียว “เขาว่ามันติงต๊องขี้เกียจดู แล้วเขาถามฉันว่าเพื่อนแกเขียนแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า มีหมอดูประสาทคอยเกาะรั่วพูดพล่ามอย่างในละครหรือเปล่า”

“ไม่มี อย่าว่าแต่แกเลย ตัวละครตัวนี้ฉันเองก็ไม่รู้จัก” ดิฉันตอบอย่างละเหี่ยใจ

“นั่นน่ะสิ ฉันกลับไปเปิดหนังสือดูแล้วมันไม่มี เพื่อนฉันเขาถามกันนะ”

“ให้เขาไปอ่านหนังสือ จะได้ไม่ต้องถาม”

“บอก แต่ว่าบางคนเขาไม่อ่าน ฉันว่า…เลิกเหอะ ขืนสร้างต่อไป อีกหน่อยภาพพจน์แกเสียหมด คนที่เขาไม่ได้อ่านหนังสือเขาจะคิดว่ากิ่งฉัตรเขียนเรื่องแบบนี้หรือ เขาก็ไม่อ่านคนที่เสียหายคือแกนะ”

รายนี้มาแนวยกเหตุผลขึ้นขู่ ความจริงคุณเธอพูดแรงและตรงกว่านี้มาก แต่ดิฉันเหนื่อยใจเกินกว่าจะจดจำ

เพื่อนสนิทที่กำลังจะเป็นคุณแม่อีกรายเพิ่งขึ้นมาจากใต้ กริ๊งมาถามไถ่ข่าวคราวกันก่อนตบท้ายว่า

“เออ…เพื่อน ๆ ฉันที่ใต้ถามแน่ะว่า ทำไมนางเอกของเรื่องหล่อนถึงได้ติงต๊องนักยะ”

“บอกให้เขาไปอ่านหนังสือซะ ฉันขี้เกียจตอบแล้ว (โว้ย)”

ว่าที่คุณแม่หัวเราะเป็นคำตอบ เพื่อนเจ้าหล่อนไม่ชอบอ่านหนังสือ

“มีนักข่าวที่ไหน ทำเทปหล่อนใส่ตักแหล่งข่าวผู้ชายสองหนสามหน” เพื่อนมหาวิทยาลัยที่เรียนเอกหนังสือพิมพ์ด้วยกัน แต่หันเหไปทำงานด้านโฆษณาถามเมื่อตอนมารับดิฉันไปทานอาหารเย็น รายนี้ไม่มีเวลาดูละคร แต่ได้ยินคน “นินทา” ต่อมาอีกที

“ไม่รู้เหมือนกัน เรียนมาสี่ปีทำงานมาสองปี ไม่เคยเห็นและไม่เคยเขียน จำได้ว่าตอนฝึกงานแรกต้องสัมภาษณ์นายแบบอะไรไม่รู้ ไม่หล่อ แต่ดูดี นาทีแรกเลยงง ๆ แต่ในใจว่าเทปฉันวางอยู่บนโต๊ะ ไม่เคยทำหล่นใส่ตักใครชัวร์” ดิฉันตอบ

“แล้วเพื่อนนักข่าวที่ทำงานเก่าแกว่ายังไง” เพื่อนยังอยากรู้

“ไม่รู้ ไม่มีหน้าไปถาม”

นอกจากที่ยกตัวอย่างมาพอเป็นกระสายยังมีโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่อีกมาก ทั้งเพื่อนฝูงอีกหลายคนที่พอเอ่ยปาก ต้องรีบดักคอไว้ก่อนว่า

“เลิกพูดเถอะ เปลี่ยนเรื่องพูดได้ไหมแค่นี้ฉันอ่วมอรทัยพอแล้ว”

แฟนผู้อ่านรายหนึ่งที่เป็นมิตรทางจดหมายเขียนมาว่า

“ติดตามละคร มีความภูมิใจไปกับคุณด้วยที่นิยายของคุณไปวิ่งเล่นเป็นของจริง ๆ ในทีวีสิ่งสำคัญอยากจะบอกว่า อย่าให้เขาเปลี่ยนบทประพันธ์เดิมมาก จนผู้ที่ติดตามงานเขียนของคุณรู้สึกไม่ดี ให้เขาเอาใจคุณคนเดียวก็พอแล้ว”

และจดหมายฉบับที่สองซึ่งสอดมาให้ซองเดียวกัน เขียนหลังจากเขียนฉบับแรกไม่นาน มีข้อความว่า

“ละคร…พักนี้ดูแล้วไม่ค่อยอยากจะวิจารณ์เลย พระเอกนางเอกเข้ากับบทไม่ค่อยได้ พอรวมกันดูประดักประเดิดไงชอบกล นี่คุณจะเสียใจหรือเปล่าคะเนี่ย”

ดิฉันขอตอบคุณจุ๋ม – พันธ์อำไพตรงนี้เลยนะคะ

ค่ะ ดิฉันเสียใจ !

อาทิตย์ก่อนรุ่นพี่คนหนึ่งโทรศัพท์มาคุยเกริ่นว่า

“เออ…มีเรื่องโจ๊กจะเล่าให้ฟังวันก่อนพี่คุยกับ…” เอ่ยถึงผู้เขียนบทโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องทำงานคุณภาพผู้หนึ่ง

“เขายังสงสัยว่าเธอทนกับบทละครเรื่องนี้ได้ยังไง ทีนี้คุยกันไปคุยกันมา พี่ก็บอกเขาว่าตัวนางเอกน่ะมีส่วนหนึ่งเขียนมาจากกิ่งฉัตรพี่เขาก็ร้อง อ๋อ…เพิ่งรู้ว่ากิ่งฉัตรติงต๊อง พอเล่าว่ากิ่งฉัตรเคยทำงานที่ผู้จัดการปริทรรศน์ พี่เขาก็ว่า อ๋อ…เพิ่งรู้ว่านักข่าวผู้จัดการติงต๊อง…”

จากนั้นก็ไล่ไปจนถึงสถาบันที่เล่าเรียนมา ดิฉันสะอึก รุ่นพี่คงเห็นว่าเงียบไปเลยถาม

“อ้าว…เป็นอะไร นี่พี่เล่าเรื่องโจ๊กให้ฟังคุยกันเล่น ๆ คงไม่ได้โกรธนะ”

ไม่โกรธหรอกค่ะ เพียงแต่เหนื่อยจนหัวเราะไม่ออกเท่านั้นเอง !

ฉะนั้นนักแสดงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการรับบท “มัทนา” อย่างรุนแรง ไม่ต้องเสียใจหรอกนะคะ ดิฉันก็โดนหนักพอ ๆ หรือมากกว่าคุณเยอะ เพราะขนาดคุณพ่อดิฉันยังถามขณะที่ดูละครเรื่องนี้ฉากหนึ่งว่า ทำไมนางเอกถึงต้องทำคอตกเหมือนคนติงต๊องด้วย

ดิฉันไม่ได้ตอบค่ะ เพราะนึกไม่ออกว่าเขียนให้นางเอกคอพับคออ่อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ !

สุดท้ายดิฉันโทรศัพท์ไปคุยกับนักเขียนรุ่นพี่ คุณปิยะพร ศักดิ์เกษม สนทนากันอยู่พักใหญ่ อดถามไม่ได้

“พี่อ่านเรื่องแล้วใช่ไหมคะ ถามจริง ๆ เถอะ นางเอกติงต๊องหรือเปล่า”

พี่ปิยะพรหัวเราะใหญ่ รับรองว่ามัทนาต้นฉบับก่อนกระโดดออกจากหนังสือ สติสตังสมบูรณ์ดี แล้วเธอก็แซวกลับมาว่า

“นี่คงโดนวิจารณ์เสียจนไม่มั่นใจในตัวเองล่ะสิ”

ค่ะ หลังจากนั้นดิฉันก็ค่อนข้างหวาดระแววเที่ยวถามคนเขาไปทั่วว่ามัทนาที่พวกเขารู้จักในหนังสือเป็นเด็กนิสัยซื่อ ตรงไปตรงมาพูดเอาจริงเอาจัง แต่นิสัยค่อนข้างจะซุ่มซ่าม

หรือว่าเป็นผู้หญิงติงต๊อง

ความจริงเรื่องที่ตัวละครทั้งหลายพลาดท่าระหว่างการกระโดดเปลี่ยนสถานะจนแข้งขาหัก บุคลิกบูด ๆ เบี้ยว ๆ หรือว่าสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ดิฉันยังพอกล้ำกลืนฟังแล้วปล่อยให้ผ่านไปได้ โทษตัวเองว่าคนเขียนหนังสือไม่ดีพอ ฐานตัวละครไม่แน่น เลยพลาดท่าในการกระโดดหากแต่สิ่งที่เสียดายในเรื่องนี้คือตัวละครสองตัว

สาระวารี และ ษมา

แต่เริ่มเดิมที นวนิยายเรื่องนี้ดิฉันคิดจะเขียนเป็นสามเรื่อง แบ่งตามนักข่าวสาวตัวเอกทั้งสาม คือ มัทนา สาระวารี และมีคณา สาวทั้งสามมีเรื่องราวของตัวเองอยู่ในใจของดิฉันหมดแล้วแต่ต้องโทษตัวเองที่มัวเอาเวลาไปเขียนเรื่องอื่นก่อน จบเรื่องของมัทนาไปเป็นปีแล้วยังเริ่มเรื่องของสาระวารีไว้เพียงไม่กี่บท

คิด…ว่าพอมัทนาต้องไปแสดงบทบาทบนจนแก้ว ดิฉันคงได้รับโทรศัพท์ถามถึงเรื่องราวของอีกสองสาวในแก๊งสามทหารเสือสาว ซึ่งดิฉันยินดีจะเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง

คิด…และเลิกคิดเมื่อเห็นวารีกำลังถูกชายหนุ่มชาวเลใส่เสื้อเชิ้ตไม่ติดกระดุมคาดผ้าขาวม้าวิ่งไล่ของความรักอยู่ที่ชายหาด ขอความรักด้วยเหตุที่ว่าเธอมีหน้าตาเหมือนบรรพบุรุษของเขา !

อึ้ง นึกสงสารวารีและษมาจับใจ สาววารีผู้ที่แข็งนอกอ่อนใน ผู้ที่เกลียดการพนันจับใจ ษมานักธุรกิจใหญ่ที่ได้รับสมญาเป็นเจ้าพ่อเกาะยานก ปิดตัวเงียบไม่เคยให้ใครได้ถ่ายภาพหรือสัมภาษณ์ กลับกลายมาเป็นได้แค่นี้เอง

ความจริงคนคู่นี้เขาไม่ได้เพิ่งมาเจอกันตอนนี้หรอกนะคะ เคยพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งระหว่างเด็กหญิงลูกสาวเสมัยนอำเภอนักพนันท่าทางกระด้างกับหนุ่มน้อยที่ดวงขึ้นทางการพนัน แต่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากการไล่ล่าของเจ้าของบ่อน โชคดีที่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนเด็กหญิงช่วยหนุ่มน้อยไว้ ณ วันนี้ษมาจึงยอมให้สาระวารีเป็นนักข่าวคนแรกและคนเดียวที่ได้สัมภาษณืเรื่องที่เขาจะเปิดกาสิโน !

เสียดายค่ะ ที่ตัวละครมี “เรื่องราวชีวิต” และมี “มาด” สองคนกลายมาเป็นตัวตลกประจำเรื่องไปเสียแล้ว

เขียนมาเสียยืดยาว ชักวิตกจริตอีกแล้วกลัวผู้อ่านบางท่านจะงง ฉะนั้นเอาแค่นี้ละค่ะ เดี๋ยวคนเขียนจะต๊องมากกว่านี้ เอ๊ะ…ชักยังไง !

Next

สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

[ หน้าบ้าน ] [ ประวัติ ] [ ผลงาน ] [ เรื่องย่อ ] [ สัมภาษณ์ ] [ สมุดเยี่ยม ] [ หลังบ้าน ]


"บ้านกิ่งฉัตร" เป็นโฮมเพจกิ่งฉัตรอย่างไม่เป็นทางการ    มิได้จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ใดๆแก่ผู้จัดทำ    "กิ่งฉัตร" และผลงานที่อ้างอิงบนโฮมเพจนี้   ยังคงเป็นสิทธิ์ของผู้เขียนและผู้พิมพ์ทุกประการ

"บ้านกิ่งฉัตร" จัดทำโดย กมลวรรณ อ่อนละมัย   7 ก.พ. 2544    โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแฟนๆกิ่งฉัตรบนบอร์ด chulabook