สัมภาษณ์หน้า 1
2 3 4 5
6
สรุปว่ามีเพื่อนคอยเป็นบรรณาธิการให้
- แต่ส่วนใหญ่เพื่อนจะทรยศ
ไม่อ่าน
เริ่มก็เขียนนวนิยายเลยหรือ
- ความจริงเขียนเรื่องสั้นก่อน
แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
เพราะมีความรู้สึกว่าลงตะกร้าทุกที
คือรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเรื่องแต่งนี่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เลย
เพราะว่าลงตะกร้าหมด
ส่วนมากที่ได้ลงก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์อะไรมากกว่า
เรื่องเล่าเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้ลงพิมพ์ที่ไหนบ้าง
- สตรีสารรู้สึกจะ 2
เรื่อง แพรวสุดสัปดาห์ 1 เรื่อง
แล้วก็คอลัมน์เล็ก ๆ
ในไทยรัฐคือเรียกว่าได้ลงพิมพ์น้อยมาก
เรียกว่านับได้ถ้วนเลยว่ามีกี่ชิ้นที่ได้ลง
แล้วบางครั้งเขียนเรื่องสั้นส่งไป
เขายังไม่รับเลยนะคะ
ก็แสดงว่าฝีมือเรานี่แย่
ตอนนี้ยังเขียนเรื่องสั้นอยู่หรือไม่
- เรื่องสั้นก็เลิกเลย
คือตอนที่ทำข่าวอยู่นะคะ
ก็เขียน พรพรหมอลเวง แล้ว
และก็เขียนเรื่องสั้นบางเรื่องที่เป็นประสบการณ์ทำข่าวด้วย
ส่งไปแล้วเขาก็เซย์โน
หรือบางครั้งเขียนเรื่องสั้นส่งไปเขายังไม่รับเลย
ส่งกลับคืนเลย แสดงว่า โอ๊ย
ตายแล้วแสดงว่าฝีมือไม่เข้าขั้นไม่เข้าข่ายเลย
ส่งไปที่ไหนบ้างในเวลานั้น
- ไม่บอก
เดี๋ยวเขาจะตามมาขอคืน
ตอนนั้นใช้ชื่ออะไร
- ตอนนั้น กิ่งฉัตร
ยังไม่เกิด ใช้ ทองหลางลาย ค่ะ
ก็คือชื่อ ปาริฉัตร นี่ละค่ะ
แปลว่าทองหลางลาย
ทำไมวันนี้จึงเลือกใช้
กิ่งฉัตร
- ก็มาจากปาริฉัตรไงคะ
ฉัตรนี่เป็นคำหลังของชื่อจริง
กิ่งก็หมายถึงเวลาที่เราเขียนหนังสือ
เหมือนไม่ใช่ตัวตนเราจริง ๆ
แต่ว่าเป็นกิ่งก้านสาขาที่แยกออกไปจากตัวเรา
เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา
ใช้นามปากกาเดียว
- ตอนนี้ใช้นามปากกาเดียวค่ะ
เริ่มมีผลงานรวมเล่มครั้งแรกอย่างไร
- เริ่มเขียนนวนิยายจริงจังตอนฝึกงานอยู่ไทยรัฐ
คือตอนนั้นยังเรียนปีสุดท้าย
เหลือวิชาเดียวต้องทำสารนิพนธ์
แล้วก็ว่างมาก
เพราะเราต้องฝึกงานกำหนดแค่เดือนหรือสองเดือนเท่านั้นเอง
จากนั้นก็นั่งอยู่กับบ้าน
ทำรายงานชิ้นใหญ่ส่ง
ก็เลยใช้เวลาช่วงนั้นเขียน
พรพรหมอลเวง
แล้วก็ทำรายงานไปด้วย
แต่รู้สึกว่ารายงานจะเสร็จก่อน
เรื่องนี้เสร็จเอาเมื่อทำงานแล้วเพราะรีไรท์เยอะมาก
ช่วงนั้นเอาไปให้เพื่อนที่เป็นต้นแบบของ
ตันหยง อ่าน
เพื่อนคนที่เราถอดนิสัยเขามา
แล้วเพื่อนคนนี้ก็เอาหนังสือไปทำตกน้ำ
หนังสือก็พอง
แล้วเอาต้นฉบับไปเย็บเล่ม
เขาก็ตัดปกเอาตัวหนังสือไปด้วยทั้งแถบ
พอดีเขียนด้วยปากกาหมึกซึม
พอลงน้ำไปก็หมดเลย
ต้องกลับมาเขียนใหม่ก็เลยเสียเวลาไปนาน
พิมพ์เสร็จก็เผอิญที่ทำงานผู้จัดการมีรุ่นพี่คือคุณพินิจ
หุตะจินดา
ซึ่งเป็นรุ่นพี่คนละสายงาน
เขาไปเสนอให้ที่สำนักพิมพ์ ณ
บ้านวรรณกรรม
ทางสำนักพิมพ์ก็ตอบรับว่าจะพิมพ์ให้
ตอนแรกว่าจะพิมพ์รวมเล่มเลยแต่พอดีทางโน้นร่วมกับคุณทมยันตีทำหนังสือ
โลกวลี
ขึ้นก็เลยตีพิมพ์เป็นตอน ๆ
ในโลกวลีก่อน
อยากให้พูดถึงเรื่อง
เสราดารัล
ที่ดูเหมือนได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด
- เรื่องนี้ทำให้ประสาทกินมากที่สุดเพราะเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงมาก
ทำให้เกิดความเกร็ง
คือยิ่งดังมากเท่าไร
ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการเครียด
ในการที่จะผลีผลามเรื่องต่อไปออกมา
เพราะว่าคนก็จะจับตามองมากว่าเราจะทำได้ดีเท่าเรื่องเดิมหรือไม่
หรือเป็นเพราะฟลุ้ค
เรื่องเดียวแล้วดับไปเลยอะไรอย่างนี้
เรื่องนี้คุณสุภัทร สวัสดิรักษ์
บรรณาธิการอาวุโสของสกุลไทย
และคุณกฤษณา อโศกสิน
รวมทั้งคุณทมยันตีก็คอยแนะนำว่าอย่าเกร็งให้มากนักเพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องเขียนให้ดีทุกเรื่อง
แต่ขอให้ทำให้เท่าที่ดีที่สุดก็พอ
เรื่องนี้ผูกเรื่องอย่างไร
- นี่ก็เป็นเรื่องที่โดนโจมตี
มากว่าลอกคนโน้นมาลอกคนนี้มา
จริง ๆ
แล้วก็มีเอกสารที่ได้รับมาแล้วก็ประทับใจมาก
คืออ่านปุ๊บนี่โครงเรื่องเดขึ้นมาทันทีเลย
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อย
แล้วข้อมูลบางส่วนก็เป็นเรื่องจริงที่เอามาเขียน
แต่มันก็ดัดแปลงพลิกแพลงไปบ้าง
เพิ่มสีสันการเป็นนวนิยายขึ้นมา
ไม่เช่นนั้นคนอ่านคงไม่สนุกด้วยที่เราจะนำเสนออะไรที่เป็นความจริงโดยตรง
แล้วก็ค้นข้อมูล
คือเคยมีคนเขียนมาถามในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่าข้อเขียนเหล่านี้เป็นจินตนาการทั้งหมดหรือไม่
ความจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ
หรือการขอเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่สุด
เรื่องของฝิ่น เรื่องอะไรต่าง ๆ
ที่ค้นมาหมดอันนี้อาศัยข้อมูลห้องสมุดที่ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
เพราะจะมีหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐกิจความสัมพันธ์
การร้องขออะไรต่ออะไร
แล้วอย่างเรื่องฝิ่น
ก็เอาเอกสารมาเปิดหารายชื่อข้างหลัง
ส่วนที่เป็นบรรณานุกรมมาเปิดหาสมุดโทรศัพท์
ขอข้อมูล ขอความรู้ บอกตรง ๆ
ว่าเราเป็นนักเขียนนะ
เราเขียนเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ
อยากจะทราบว่าตอนนี้ประเทศไทยปลูกฝิ่นอยู่หรือไม่
ส่วนมากนักวิชาการก็จะให้ข้อมูลกลับมาค่อนข้างดี
ก็เต็มใจให้
ใช้เวลากับเรื่องนี้นานไหม
- ปีหนึ่งกับอีกนิด
เพราะว่าเป็นช่วงจังหวะที่ไปเรียนต่อด้วย
ก็หอบหิ้วไปเขียนที่โน่นด้วย
ก็เลยขลุกขลักหน่อยกว่าจะเขียนจบ
เรื่อง มายาตวัน
นี่ก็เขียนควบกับ เสราดารัล
เพราะตอนนั้นออกจากงานใหม่ ๆ
ข้อมูล เสราดารัล แน่นมาก
ก็เขียนเดือนเดียวได้สิบบท
ดีใจมาก
นั่นคือช่วงที่เขียนหนังสือได้มากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
แต่ต้องแก้ไขใหม่หมดเลยนะคะ
คือตนนั้นกำลังมีไฟพอเดือนที่ 2
เหลือ 5 ตอน ต่อ ๆมาเหลือเดือนละ 2
บทเลยรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้
เพราะมีปัญหาเรื่องเงินนะคะ
เชื่อไหมว่าตอนออกจากงานนี่คุณแม่ให้เงินเดือนใช้แล้วซื้อสุนัขตัวโตให้นั่งเลี้ยงตัวหนึ่ง
เป็นเยอรมันแชพเพิร์ด ต้องฝึก
ต้องวิ่ง
แต่ความที่คนเลี้ยงเป็นคนขี้เกียจ
มันก็เลยเป็นหมานิสัยเสียไปเลย
แล้วเราก็เสียนิสัย
คุณแม่ให้เงินเดือนอยู่กับบ้าน
เพราะต้องการให้เขียนหนังสือหรือ
- เปล่าค่ะ
เพราะเขาเห็นว่าตกงานและกลัวว่าเราจะอด
หลังออกจากงานครั้งแรก
ตั้งเป้าสำหรับตัวเองอย่างไร
- ตอนนั้นคิดแล้วว่าจะเขียนหนังสือ
ก็เลยไม่อยากหางานทำ
อยู่กับบ้าน แต่อยู่ ๆ
ก็ไม่ได้ทำอะไร
เขียนหนังสือก็ไม่ได้
อยู่บ้านก็เอาแต่เตร็ดเตร่
คุณแม่ก็เลยยื่นคำขาดว่าจะเขียนหรือจะทำงาน
ด้วยความขี้เกียจก็ตอบว่าจะเรียนก็ไปเรียนที่อเมริกา
แต่ความที่ภาษาแย่มาก
ภาษาอังกฤษเป็นตัวฉุดตลอด
คือทางบ้านอยากให้เรียนโทต่อ
แต่ขออยู่ 6 เดือน ทีนี้อยู่ ๆ
ไปยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเลยนะคะ
ก็เรียนภาษาอย่างเดียว
แต่ก็อยู่ไม่ได้ คือขับรถไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้
แล้วบางครั้งก็รู้สึกว่าเหงา
มันเหงามากขนาดที่ว่ามีญาติหรือเพื่อนอยู่
ยังรู้สึกว่าแย่
ยิ่งตอนฟังภาษาไม่รู้เรื่อง
รู้สึกเป็นชีวิตที่อึดอัดมาก
ทีนี้สักพักก็บอกว่า จะกลับนะ
ไม่อยู่แล้ว
แม่ก็บอกว่าเอาให้จบภาษาแล้วค่อยกลับ
ก็ตกลงเรียน
แล้วเที่ยวกับเพื่อน
ตกลงว่าส่วนใหญ่ก็เที่ยวกับเพื่อนเสียมากกว่า
ไม่ได้เรียน
เผอิญโรงเรียนที่ไปเรียนมีโปรแกรมที่จะพานักเรียนไปทัศนศึกษา
เทอมละ 2 ครั้ง
หมายถึงข้ามไปแคนาดาบ้าง
ที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ
ก็เลยมีความรู้สึกว่า
ตกลงที่ไปนี่ไปเที่ยว
ไม่ค่อยได้ไปเรียนเท่าไร
แล้วช่วงนั้นก็เผอิญงานเขียนกำลังไปได้สวย
ไปใช้ชีวิตที่นั่นนานเท่าไหร่
- ประมาณ 1 ปีกับอีก 2 3
เดือนระหว่างนั้นเขียน
เสราดารัล จบ
แล้วส่งมาลงสกุลไทย ตอนนั้น
ละครเล่ห์เสน่หา
ลงในขวัญเรือน
เขียนจบตั้งแต่ต้นปีที่ออกจากผู้จัดการใหม่
ๆ แล้วช่วงนั้นมีความรู้สึกว่า
ในใจคิดว่าถึงจะเรียนก็ไม่มีประโยชน์
เพราะว่าถึงกลับมาเราก็นั่งอยู่กับบ้านเขียนหนังสือเฉย
ๆ จะเรียนไปทำไม
แล้วค่าใช้จ่ายก็แพงมาก
เป็นคนที่ต้องอยู่คนเดียว
คือต้องเช่าบ้านอยู่คนเดียว
ไม่สามารถมีรูมเมทได้
เพราะเราต้องพิมพ์ดีดดัง
เราต้องทำงานกลางคืน
คือคนอื่นนอนหมด เราจะทำงาน
ตอนเขียน เสราดารัล
จำได้ว่าจบตอนตี 3
ต้องอุ้มพิมพ์ดีดไปพิมพ์ในครัวเพราะรู้สึกว่าอพาร์ตเมนต์ข้างบนเขาทำอะไรกุกกัก
เหมือนว่าเขานอนไม่หลับที่เราทำงานเลยเป็นเหตุผลว่าอยู่กับคนอื่นไม่ได้
ต้องเช่าอยู่คนเดียว
ค่าใช้จ่ายก็สูง
แล้วเป็นคนที่กินอะไรก็กิน
ทำอะไรก็ทำ
ทุกศุกร์จะต้องไปนั่งดูเขาประมูลของ
มีความรู้สึกว่าตัวเองสุรุ่ยสุร่าย
ก็เลยอุ๊ย กลับดีกว่า
บอกว่าไม่เรียนต่อ
ขอกลับบ้านแล้ว
กลับมานั่งเขียนหนังสือเหมือนเดิม
ไม่มีประโยชน์ที่อยากเรียนต่อ
แล้วงานทางสายนี้ถ้าไม่เป็นอาจารย์
ก็ทำสำนักพิมพ์ดีไม่ดีอาจแพ้คนจบปริญญาตรีที่มาทำข่าวเลย
ประสบการณ์เขาอาจจะมากกว่า
จึงขอกลับดีกว่า
แล้วก็ต้องตั้งใจว่าจะไม่กลับไปอีกแล้ว
นอกจากกลับไปเที่ยว
รักการท่องเที่ยวขนาดนี้
ได้เก็บเกี่ยวอะไรจากการเดินทางบ้าง
- ความสนุกค่ะ
ส่วนมากอยู่อเมริกามีเพื่อนฝูงเยอะ
ก็ได้อาศัยไหว้วานเขาได้
ไปพักกับเขาอะไรอย่างนี้
หมายถึงการเก็บเกี่ยวข้อมูลที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการเขียน
คิดจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบ้างหรือไม่
- สารคดีท่องเที่ยวไม่ได้เขียน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่กำลังเขียน
เพราะตอนอยู่ที่โน่นประทับใจรถไฟของเขามาก
เป็นรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวแล้วเขาจะตัดเส้นทางผ่านวิวิสวย
ๆ ที่สุด ให้ความรู้สึกที่ดีมาก
ฝั่งทะเลก็คือฝั่งทะเล
ภูเขาก็คือภูเขาที่มีหิมะกำลังละลาย
เพราะฉะนั้นอยู่ที่นั่นจะมีความสุขมากเวลาที่ได้นั่งรถไฟ
แล้วก็จะนึกเอามาเทียบกับรถไฟไทยตลอด
อาจเป็นเพราะเป็นคนชอบนั่งรถไฟ
นั่งเรือ
ชอบทั้งนั้นก็เลยเอาเรื่องนี้มาเขียน
เลาที่เขียนหนังสือจะเอาตัวเองเข้าไปในเรื่องหรือไม่
- คงไม่
เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นตัวเราหมดทุกเรื่อง
เคยไปหาพี่สาวเพื่อนคนหนึ่งเขาถามว่า
ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครของเราจึงเปรี้ยวนัก
หมายถึงกล้ามาก อย่าง
เสราดารัล
เป็นคนที่เอาจริงเอาจัง
กล้าได้กล้าเสีย
ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ ก็ตอบว่า
บางทีอาจเพราะเราไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้
เราก็เลยใช้ความใฝ่ฝันนั้นใส่ไปในตัวละคร
แต่บางเรื่องบอกตามตรงเลยว่า
ถ้าให้ทำแบบที่ตัวละครทำ
เราก็จะไม่ทำเราไม่กล้าที่จะทำอย่างเขา
แต่เพราะว่าเขาเป็นเขา
เขาถึงทำได้
เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเราเอาตัวเองใส่เข้าไปในเรื่องที่เขียนไม่ได้
เพราะเราไม่สามารถทำได้เหมือนเขา
ในฐานะที่จัดตัวเองชัดเจนว่าเป็นนักเขียนนวนิยาย
โรแมนติก
มีเจตนาอะไรที่ซ่อนอยู่ในงาน
แล้วอยากให้ผู้อ่านได้รับ
- บางทีก็แทรกความรู้
เพราะถ้าเราเขียนเรื่องโรแมนติกอย่างเดียว
พระเอกนางเอกคุยกัน
คนอ่านก็ไม่ได้อะไรเลย
บางทีก็แทรกความรู้แทรกอะไรต่ออะไรเข้าไป
อย่างเรื่อง ตามรักคืนใจ
ในสกุลไทย
ก็จะพูดถึงเรื่องการปลูกสัก
เชิงพาณิชย์
ก็จะเขียนในแง่ที่ได้ศึกษาค้านคว้าเรื่องนี้มาด้วย
แต่ก็คงไม่ถึงกับไปสัมผัสอย่างลึกซึ้ง
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องไปทำจริง
ๆ ใช่ไหมอย่างเรื่อง เสราดารัล
ก็พยายามแทรกความรู้เรื่องฝิ่น
แทรกประโยชน์และโทษของมัน
ความจริงยังมีข้อมูลอีกแยะ
แต่จำใจต้องเอาออก
เพราะเหมือนสอนผู้อ่านเกินไปใช่ไหมคะ
ใช้กลวิธีการเขียนอย่างไรให้ออกมาเป็นลีลาการเขียนแบบ
กิ่งฉัตร
- ก็เขียนอะไรที่เราชอบ
คือว่าถือหลักว่าคนเขียนเป็นคนอ่านคนแรก
ถ้าอ่านแล้วสนุกคนอ่านส่วนหนึ่งก็คงสนุกกับเราด้วย
ถ้านึกสนุก
แต่ถ้าเขียนเสร็จแล้วไม่แน่ใจก็จะอ่านออกเสียงดัง
ๆ
แล้วจะทำให้รู้ว่าราบรื่นหรือไม่ราบรื่น
หรือถ้าเป็นการโต้ตอบ
ก็จะพูดออกมาดัง ๆ
เหมือนว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้น
แล้วจะดูว่ามันเป็นไปได้หรือไม่
ความจริงจะพูดอย่างนั้นหรือไม่
ถ้าสะดุดก็จะแก้ไข
แต่ถ้าออกมาโอเคก็จะปล่อย
คิดว่าวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยเป็นอย่างไร
- ปัจจุบันที่เป็นข่าวที่สุดก็คืออิทธิพลของละคร
คือสังเกตหลายครั้งแล้วว่าพอหนังสือขึ้นแผง
ถ้าได้เป็นละคร
ยอดขายหนังสือจะสูงปรี๊ดเลย
แต่พอละครจบ หนังสือก็จะตก
แล้วแทนที่หนังสือจะอยู่บนแผงก็ไปอยู่ใต้แผงเลย
คือจะไม่ได้รับความสนใจ
มีความรู้สึกว่าคนสมัยนี้อ่านหนังสือไม่ใช่เพราะมีอรรถรสตรงนั้น
แต่อ่านเพราะว่าเป็นละคร
อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
ซึ่งจริง ๆ
แล้วไม่ได้มีความรู้สึกกับตรงนั้นจริง
ๆ
สมัยที่ตัวเองอ่านหนังสือจะติดใจเนื้อหา
เราติดใจอรรถรส เราติดในใจภาษา
โอ๊ย สำนวนดีเหลือเกิน
อ่านแล้วซึ้ง กินใจอะไรอย่างนี้
ไม่ได้อ่านเพราะอยากรู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้นความแตกต่างมันสูงมาก
บางเรื่องก็ดีบางเรื่องก็ไม่ดี
อย่างที่ว่า
มันยากที่จะบอกว่าคุณอ่านหนังสือเถอะ
อ่านเพราะว่ามันมีอะไรดีในตัวนะ
เพราะว่ามันบอกจุดดีในหนังสือนะ
ไม่ต้องหรอกเขาอ่านเพราะเขาอยากรู้เท่านั้นเองว่า
เนื้อหาจะเป็นอย่างไร
เขาจะมองเท่านั้นว่า
ผู้เขียนเนื้อหาจะจบอย่างไร
แล้วก็จบกัน
แล้วหนังสือนั้นก็โดนทอดทิ้งไปเลย
เสียดายอะไรหลาย ๆ
อย่างในหนังสือเล่มนั้นที่สูญเสียไป
คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะประสบกับหนังสือทุกเล่มหรือไม่
- ส่วนใหญ่เท่าที่รู้ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ทั้งนั้น
โอกาสที่จะมารื้อฟื้นนั้นยาก
เคยไปถามหาหนังสือที่ละครเลิกไปแล้ว
เขาบอกไม่มี เลิกสั่งมาขายแล้ว
แล้วเด็กสมัยนี้ก็ไม่ชอบอ่านหนังสือนะ
เพราะตัวอักษรเป็นพรืด ๆ ไปหมด
ไม่น่าอ่าน ไม่เหมือนโทรทัศน์
แต่จริง ๆ
จินตนาการมันไม่ได้มาจากโทรทัศน์
มีความรู้สึกว่าถ้าเราจะทำความฝัน
มันเกิดจากตัวเรา
ไม่ใช่เกิดจากการเคลื่อนไหวของแสงสี
เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า
จะรู้สึกเสียใจมาก
คือให้เด็กอ่านหนังสือนอกเวลาแล้วคุณหนูเธอก็จะฉีกแบ่งกันอ่าน
ซื้อเล่มหนึ่งแล้วเอาไปฉีกมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน
บางทีก็มาคุยกันแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จำได้ว่าสมัยเรียนมัธยม
ครูให้อ่านเรื่อง ปุลากง
ของคุณโสภาค สุวรรณ
คุณโสภาคฟังแล้วอาจไม่สบายใจ
อาจารย์ก็จะตั้งคำถามหลอกเอาไว้เยอะ
เวลาสอบก็ตกกันเป็นแถวเพราะความที่ไม่อ่านกัน
จำได้ว่ามีเพื่อนที่อยู่ชั้นเดียวกัน
ก็เดินไปด้วยกัน
แล้วได้ยินเขาวิจารณ์ให้เพื่อนอีกคนฟังว่า
โอ๋ย
เรื่องอะไรนี่ตอนจบมีนอนกันด้วย
ไม่น่าเอามาเป็นหนังสือนอกเวลาเลย
เราก็นึกใจใจ เอ๊ะ มันตรงไหน
อ่านแทบตายไม่เห็นเจอเลย
คือไม่เข้าใจว่าเขาเอาอะไรมาพูด
อ่านหนังสือไม่แตก
หรือว่าไม่อ่าน
ไม่รู้จักความคิดตัวละครอะไรอย่างนี้
คือ บางคนไม่อ่านหนังสือ
เขาก็ฟังเพื่อน ๆ
มาอีกทีพอเข้าสอบก็ตกกันเป็นแถว
เพราะความที่ไม่อ่านกัน
เคยมีประสบการณ์อีกครั้ง
ตอนนั้นขึ้นเครื่องบินจะไปต่างประเทศ
จำได้ว่าเป็นกรุ๊ปทัวร์ก็ไม่รู้อย่างไร
ไปบอกว่าเขาว่าเราเป็นใครแอร์โฮสเตทก็เข้ามาทักบอกว่า
คุณเป็นคนเขียนเรื่อง
เสราดารัล ใช่ไหม ก็บอกว่าใช่
เขาก็ถามว่า ใช้นามปากกาอะไร
ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่า
มันจะเรียกว่าละครโทรทัศน์โปรโมทชื่อเสียงได้หรือ
เอ๊ะ ชักไม่แน่ใจใช่ไหม
แต่เขารู้จักเรื่องของเราอย่างดี
ซึ่งกว่าจะรู้จักตัวผู้เขียนก็ไม่รู้ว่า
กิ่งฉัตร เป็นใคร
เรียกได้ว่าละครโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยสร้างชื่อผู้เขียน
- ก็คงจะสร้างค่ะ
แต่ไม่ได้มากมาย อย่างที่ใคร ๆ
มุ่งหวังกัน
เคยเจออะไรรุนแรงที่สุดในชีวิตบ้าง
- บอกแล้วว่าเป็นชีวิตที่เรียบมาก
ยังไม่มีอะไรแรง ๆ เลย
ยังไม่มีอะไรดีใจที่สุดหรือเสียใจที่สุดในชีวิต
เรียบ ๆ เรื่อย ๆ
พอใจชีวิตในเวลานี้หรือยัง
- ก็โอเค
ยังดีกว่าที่จะต้องไปเจออะไรโหด
ๆ
รู้สึกตัวเองอายุน้อยเกินไปหรือไม่ที่จะตั้งเป้าชัดเจนในการเขียนหนังสืออย่างเดียว
- อ๋อ เปลี่ยนแล้วค่ะ
ว่าจะหางานทำคงต้องกลับไปทำงานด้านหนังสือพิมพ์
ก็ต้องดูไปก่อน
เพราะว่าอยู่บ้านแล้วมันเหงา
เบื่อ
แล้วมีวามรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไหร่
เมื่ออยู่บ้าน
ความที่เป็นคนขี้เกียจ
ขี้เกียจมาก ก็จะตื่นสาย
กว่าจะอาบน้ำ
กว่าจะยุรยาตรลงมาดูโทรทัศน์
ดูโทรทัศน์แล้วเล่นกับหมา
บางทีคุยโทรศัพท์แล้วก็ออกไปช็อปปิ้ง
ดูหนังสือ
กว่าจะหอบหนังสือกลับมา
แล้วไม่ทำอะไรเลย
นอนอ่านหนังสือตลอด
บางทีความรู้สึกว่าถ้าออกไปข้างนอก
จะมีอะไรกระตุ้นได้ดีกว่านี้
ว่าจะลองดู คือผัดมานานแล้ว
ว่าจะลองดู
แต่ก็ยังมีข้อแม้เยอะ
เช่นที่ทำงานจะต้องอยู่ใกล้บ้านเพราะขี้เกียจผจญกับรถติด
แล้วงานมันต้องไม่ให้ซีเรียสจนเกินไปอะไรอย่างนี้
ดูเหมือนว่าลึก
ๆ
แล้วก็ยังมีวิญญาณนักข่าวอยู่ในสายเลือด
- ค่ะ
เป็นวิชาชีพที่รักมาก
แต่พอมาเจอละคร มายาตวัน
แล้วคิดว่าตายล่ะ
คนต้องด่าแน่เลย
ว่าเธอเป็นนักข่าวมาได้ยังไง
คือนักข่าวเป็นอะไรที่สนุก
ได้ประสบการณ์
และได้เห็นชีวิตที่หลากหลายมาก
เพราะวันนี้คุณคุยกับคนคุกต้องไปเกาะลูกกรงคุยกับนักโทษที่โรงพักนะคะ
โดนตำรวจด่าบ้าง โดนอะไรสารพัด
พรุ่งนี้คุณไปคุยกับมหาเศรษฐีโถส้วมทองคำอะไรอย่างนี้
มันมีอะไรในชีวิตที่อาชีพอื่นไม่มีทางได้ไปสัมผัสแต่ก็เหนื่อย
เป็นอาชีพที่เหนื่อยยอมาก
ช่วยสรุปเรื่องที่เขียนตามลำดับอีกครั้งได้ไหม
- ตามเวลานะ ก็เริ่มจาก
พรพรหมอลเวง แล้วช่วงเขียน
มายาตวัน กับ เสราดารัล
นี่ไล่ ๆ กัน ตามมาด้วย
ละครเล่ห์เสน่หา แต่
มายาตวัน ได้ลงก่อน มายาตวัน
เขียนตอนใกล้ออกจากผู้จัดการ
แต่ เสราดารัล
เริ่มสตาร์ทหลังออกมาแล้ว
เขียนไปก็รีไรท์ไปด้วยเลยบ้า
มายาตวันก็เลยจบก่อนในปีนั้น
แล้วก็หอบเสราดารัล 10
บทกับดวงใจพิสุทธิ์ไปอเมริกา
ไปจบเสราดารัลที่นั่น
แล้วก็เริ่ม ด้วยแรงอธิษฐาน
ที่นั่น กลับมาก็จบ
ดวงใจพิสุทธิ์
นี่น่าสงสารที่สุด คือใช้เวลา 2 3
ปีเพราะติดปัญหาเรื่องทนาย
เรื่องศาล เรื่องอะไรต่าง ๆ จบ
ด้วยแรงอธิษฐาน ก่อน
ทั้งที่เขียน
ดวงใจพิสุทธิ์ก่อน ก่อน
ดวงใจพิสุทธิ์ เลยมาจบทีหลัง
แล้วก็เริ่ม ตามรักคืนใจ
เป็นเรื่องล่าสุดในสกุลไทย
มีนักเขียนรุ่นพี่ให้คำแนะนำปรึกษาบ้างไหม
- เยอะมาก
คือเป็นคนที่ว่า
เพิ่งก้าวเข้ามา
ยังไม่เป็นมืออาชีพ
คือเรียกว่ายังเป็นลูกผีลูกคน
ก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง
คนอื่นไม่ทราบ
บางคนอาจมีความมั่นใจมาก
แต่ตัวเองไม่ค่อยมั่นใจ
ความที่แบบเร็วมาก
ก็เลยกลัวมากวาจะมีปัญหาอะไร
ก็ได้รับคำแนะนำที่ดี ๆ
เยอะมากจากนักเขียนอาวุโสหลายท่าน
เช่น อาจารย์กฤษณา
อโศกสิน,คุณทมยันตี,อาจารย์สุภัทร
สวัสดิรักษ์,คุณโสภาค สุวรรณ
นี่เพิ่งเจอครั้งเดียว
ถ้าเป็นนักเขียนอาวุโสส่วนมากที่ให้คำแนะนำ
เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็กยังมีปัญหาหลายประการ
ในฐานที่เขียนเรื่องรักได้ถูกใจผู้อ่านและผู้ชมละครขนาดนี้
น่าจะมีความรักแล้ว
- ยังค่ะ
อยู่แต่บ้านอย่างนี้จะมีใครมารักละคะ
นึกว่าจะมีคนถามว่าทำไมถึงเขียนเรื่องรักได้
ส่วนหนึ่งมาจากจินตนาการ
ส่วนหนึ่งมาจากคนรอบข้าง
เพื่อนฝูงอะไรอย่างนี้
ก็มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า
ถ้าเธอมีคนรักจริง ๆ
มีครอบครัวจริง ๆ ขึ้นมา
เธอจะไม่มีวันเขียนได้อย่างนี้
เพราะว่าความเป็นจริงจะเข้ามาแต่นี่จะเขียนจากผู้หญิงคนหนึ่งต้องการอะไรใช่ไหมคะ
ต้องการอะไรจากคนรักในจุดนี้
เพราะฉะนั้นจึงออกมาเหมือนอุดมคติเลิศลอย
เคยมีคนถามว่าโลกนี้เขาจะเจอ
นาคิม ได้ที่ไหน
คือพระเอกเรื่อง เสราดารัล
ก็ตอบไม่ได้
ก็บอกว่าหากันเอาเอง
ใครโชคดีก็เจอ
แล้ว
กิ่งฉัตร เจอ นาคิม
แล้วหรือยัง
- สงสัยต้องไปเร่ร่อนที่ไหนสักแห่ง
คงได้เจอ
ถ้าอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอ
แล้วกลัวว่าเดี๋ยวคนอ่านจะผิดหวัง
ถ้า กิ่งฉัตร
มีความรักเพราะจะกลายเป็นเรื่องเศร้า
อกหักตลอดอะไรอย่างนี้
ไม่มีแหละดีแล้ว
จะได้อ่านเรื่องสนุก ๆ กัน
กลับไปหน้าสัมภาษณ์
สัมภาษณ์หน้า
1 2 3 4 5 6 |