บทสัมภาษณ์ของกิ่งฉัตร

* ขอขอบคุณ น้องพลอยแก้ว ผู้พิมพ์และส่งบทความนี้เข้ามา *

‘กิ่งฉัตร’

อีกก้านแกร่งแห่งป่าอักษร (จบ)

โดย สุธาทิพย์ โมราลาย

(จากหนังสือ WRITER MAGAZINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2538)


สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

สรุปว่ามีเพื่อนคอยเป็นบรรณาธิการให้

    • แต่ส่วนใหญ่เพื่อนจะทรยศ ไม่อ่าน

 

เริ่มก็เขียนนวนิยายเลยหรือ

    • ความจริงเขียนเรื่องสั้นก่อน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะมีความรู้สึกว่าลงตะกร้าทุกที คือรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเรื่องแต่งนี่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เลย เพราะว่าลงตะกร้าหมด ส่วนมากที่ได้ลงก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์อะไรมากกว่า

 

เรื่องเล่าเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้ลงพิมพ์ที่ไหนบ้าง

    • สตรีสารรู้สึกจะ 2 เรื่อง แพรวสุดสัปดาห์ 1 เรื่อง แล้วก็คอลัมน์เล็ก ๆ ในไทยรัฐคือเรียกว่าได้ลงพิมพ์น้อยมาก เรียกว่านับได้ถ้วนเลยว่ามีกี่ชิ้นที่ได้ลง แล้วบางครั้งเขียนเรื่องสั้นส่งไป เขายังไม่รับเลยนะคะ ก็แสดงว่าฝีมือเรานี่แย่

 

ตอนนี้ยังเขียนเรื่องสั้นอยู่หรือไม่

    • เรื่องสั้นก็เลิกเลย คือตอนที่ทำข่าวอยู่นะคะ ก็เขียน ‘พรพรหมอลเวง’ แล้ว และก็เขียนเรื่องสั้นบางเรื่องที่เป็นประสบการณ์ทำข่าวด้วย ส่งไปแล้วเขาก็เซย์โน หรือบางครั้งเขียนเรื่องสั้นส่งไปเขายังไม่รับเลย ส่งกลับคืนเลย แสดงว่า โอ๊ย ตายแล้วแสดงว่าฝีมือไม่เข้าขั้นไม่เข้าข่ายเลย

 

ส่งไปที่ไหนบ้างในเวลานั้น

    • ไม่บอก เดี๋ยวเขาจะตามมาขอคืน

 

ตอนนั้นใช้ชื่ออะไร

    • ตอนนั้น ‘กิ่งฉัตร’ ยังไม่เกิด ใช้ “ทองหลางลาย” ค่ะ ก็คือชื่อ ‘ปาริฉัตร’ นี่ละค่ะ แปลว่าทองหลางลาย

 

ทำไมวันนี้จึงเลือกใช้ ‘กิ่งฉัตร’

    • ก็มาจากปาริฉัตรไงคะ ฉัตรนี่เป็นคำหลังของชื่อจริง กิ่งก็หมายถึงเวลาที่เราเขียนหนังสือ เหมือนไม่ใช่ตัวตนเราจริง ๆ แต่ว่าเป็นกิ่งก้านสาขาที่แยกออกไปจากตัวเรา เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา

 

ใช้นามปากกาเดียว

    • ตอนนี้ใช้นามปากกาเดียวค่ะ

 

เริ่มมีผลงานรวมเล่มครั้งแรกอย่างไร

    • เริ่มเขียนนวนิยายจริงจังตอนฝึกงานอยู่ไทยรัฐ คือตอนนั้นยังเรียนปีสุดท้าย เหลือวิชาเดียวต้องทำสารนิพนธ์ แล้วก็ว่างมาก เพราะเราต้องฝึกงานกำหนดแค่เดือนหรือสองเดือนเท่านั้นเอง จากนั้นก็นั่งอยู่กับบ้าน ทำรายงานชิ้นใหญ่ส่ง ก็เลยใช้เวลาช่วงนั้นเขียน ‘พรพรหมอลเวง’ แล้วก็ทำรายงานไปด้วย แต่รู้สึกว่ารายงานจะเสร็จก่อน เรื่องนี้เสร็จเอาเมื่อทำงานแล้วเพราะรีไรท์เยอะมาก ช่วงนั้นเอาไปให้เพื่อนที่เป็นต้นแบบของ ‘ตันหยง’ อ่าน เพื่อนคนที่เราถอดนิสัยเขามา แล้วเพื่อนคนนี้ก็เอาหนังสือไปทำตกน้ำ หนังสือก็พอง แล้วเอาต้นฉบับไปเย็บเล่ม เขาก็ตัดปกเอาตัวหนังสือไปด้วยทั้งแถบ พอดีเขียนด้วยปากกาหมึกซึม พอลงน้ำไปก็หมดเลย ต้องกลับมาเขียนใหม่ก็เลยเสียเวลาไปนาน พิมพ์เสร็จก็เผอิญที่ทำงานผู้จัดการมีรุ่นพี่คือคุณพินิจ หุตะจินดา ซึ่งเป็นรุ่นพี่คนละสายงาน เขาไปเสนอให้ที่สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ทางสำนักพิมพ์ก็ตอบรับว่าจะพิมพ์ให้ ตอนแรกว่าจะพิมพ์รวมเล่มเลยแต่พอดีทางโน้นร่วมกับคุณทมยันตีทำหนังสือ “โลกวลี” ขึ้นก็เลยตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในโลกวลีก่อน

 

อยากให้พูดถึงเรื่อง ‘เสราดารัล’ ที่ดูเหมือนได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด

    • เรื่องนี้ทำให้ประสาทกินมากที่สุดเพราะเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงมาก ทำให้เกิดความเกร็ง คือยิ่งดังมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการเครียด ในการที่จะผลีผลามเรื่องต่อไปออกมา เพราะว่าคนก็จะจับตามองมากว่าเราจะทำได้ดีเท่าเรื่องเดิมหรือไม่ หรือเป็นเพราะฟลุ้ค เรื่องเดียวแล้วดับไปเลยอะไรอย่างนี้ เรื่องนี้คุณสุภัทร สวัสดิรักษ์ บรรณาธิการอาวุโสของสกุลไทย และคุณกฤษณา อโศกสิน รวมทั้งคุณทมยันตีก็คอยแนะนำว่าอย่าเกร็งให้มากนักเพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องเขียนให้ดีทุกเรื่อง แต่ขอให้ทำให้เท่าที่ดีที่สุดก็พอ

 

เรื่องนี้ผูกเรื่องอย่างไร

    • นี่ก็เป็นเรื่องที่โดนโจมตี มากว่าลอกคนโน้นมาลอกคนนี้มา จริง ๆ แล้วก็มีเอกสารที่ได้รับมาแล้วก็ประทับใจมาก คืออ่านปุ๊บนี่โครงเรื่องเดขึ้นมาทันทีเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อย แล้วข้อมูลบางส่วนก็เป็นเรื่องจริงที่เอามาเขียน แต่มันก็ดัดแปลงพลิกแพลงไปบ้าง เพิ่มสีสันการเป็นนวนิยายขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคนอ่านคงไม่สนุกด้วยที่เราจะนำเสนออะไรที่เป็นความจริงโดยตรง แล้วก็ค้นข้อมูล คือเคยมีคนเขียนมาถามในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่าข้อเขียนเหล่านี้เป็นจินตนาการทั้งหมดหรือไม่ ความจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ หรือการขอเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่สุด เรื่องของฝิ่น เรื่องอะไรต่าง ๆ ที่ค้นมาหมดอันนี้อาศัยข้อมูลห้องสมุดที่ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพราะจะมีหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐกิจความสัมพันธ์ การร้องขออะไรต่ออะไร แล้วอย่างเรื่องฝิ่น ก็เอาเอกสารมาเปิดหารายชื่อข้างหลัง ส่วนที่เป็นบรรณานุกรมมาเปิดหาสมุดโทรศัพท์ ขอข้อมูล ขอความรู้ บอกตรง ๆ ว่าเราเป็นนักเขียนนะ เราเขียนเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ อยากจะทราบว่าตอนนี้ประเทศไทยปลูกฝิ่นอยู่หรือไม่ ส่วนมากนักวิชาการก็จะให้ข้อมูลกลับมาค่อนข้างดี ก็เต็มใจให้

 

ใช้เวลากับเรื่องนี้นานไหม

    • ปีหนึ่งกับอีกนิด เพราะว่าเป็นช่วงจังหวะที่ไปเรียนต่อด้วย ก็หอบหิ้วไปเขียนที่โน่นด้วย ก็เลยขลุกขลักหน่อยกว่าจะเขียนจบ เรื่อง ‘มายาตวัน’ นี่ก็เขียนควบกับ ‘เสราดารัล’ เพราะตอนนั้นออกจากงานใหม่ ๆ ข้อมูล ‘เสราดารัล’ แน่นมาก ก็เขียนเดือนเดียวได้สิบบท ดีใจมาก นั่นคือช่วงที่เขียนหนังสือได้มากที่สุดเท่าที่เคยทำมา แต่ต้องแก้ไขใหม่หมดเลยนะคะ คือตนนั้นกำลังมีไฟพอเดือนที่ 2 เหลือ 5 ตอน ต่อ ๆมาเหลือเดือนละ 2 บทเลยรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องเงินนะคะ เชื่อไหมว่าตอนออกจากงานนี่คุณแม่ให้เงินเดือนใช้แล้วซื้อสุนัขตัวโตให้นั่งเลี้ยงตัวหนึ่ง เป็นเยอรมันแชพเพิร์ด ต้องฝึก ต้องวิ่ง แต่ความที่คนเลี้ยงเป็นคนขี้เกียจ มันก็เลยเป็นหมานิสัยเสียไปเลย แล้วเราก็เสียนิสัย

 

คุณแม่ให้เงินเดือนอยู่กับบ้าน เพราะต้องการให้เขียนหนังสือหรือ

    • เปล่าค่ะ เพราะเขาเห็นว่าตกงานและกลัวว่าเราจะอด

 

หลังออกจากงานครั้งแรก ตั้งเป้าสำหรับตัวเองอย่างไร

    • ตอนนั้นคิดแล้วว่าจะเขียนหนังสือ ก็เลยไม่อยากหางานทำ อยู่กับบ้าน แต่อยู่ ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร เขียนหนังสือก็ไม่ได้ อยู่บ้านก็เอาแต่เตร็ดเตร่ คุณแม่ก็เลยยื่นคำขาดว่าจะเขียนหรือจะทำงาน ด้วยความขี้เกียจก็ตอบว่าจะเรียนก็ไปเรียนที่อเมริกา แต่ความที่ภาษาแย่มาก ภาษาอังกฤษเป็นตัวฉุดตลอด คือทางบ้านอยากให้เรียนโทต่อ แต่ขออยู่ 6 เดือน ทีนี้อยู่ ๆ ไปยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเลยนะคะ ก็เรียนภาษาอย่างเดียว แต่ก็อยู่ไม่ได้ คือขับรถไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ แล้วบางครั้งก็รู้สึกว่าเหงา มันเหงามากขนาดที่ว่ามีญาติหรือเพื่อนอยู่ ยังรู้สึกว่าแย่ ยิ่งตอนฟังภาษาไม่รู้เรื่อง รู้สึกเป็นชีวิตที่อึดอัดมาก ทีนี้สักพักก็บอกว่า จะกลับนะ ไม่อยู่แล้ว แม่ก็บอกว่าเอาให้จบภาษาแล้วค่อยกลับ ก็ตกลงเรียน แล้วเที่ยวกับเพื่อน ตกลงว่าส่วนใหญ่ก็เที่ยวกับเพื่อนเสียมากกว่า ไม่ได้เรียน เผอิญโรงเรียนที่ไปเรียนมีโปรแกรมที่จะพานักเรียนไปทัศนศึกษา เทอมละ 2 ครั้ง หมายถึงข้ามไปแคนาดาบ้าง ที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ก็เลยมีความรู้สึกว่า ตกลงที่ไปนี่ไปเที่ยว ไม่ค่อยได้ไปเรียนเท่าไร แล้วช่วงนั้นก็เผอิญงานเขียนกำลังไปได้สวย

 

ไปใช้ชีวิตที่นั่นนานเท่าไหร่

    • ประมาณ 1 ปีกับอีก 2 – 3 เดือนระหว่างนั้นเขียน ‘เสราดารัล’ จบ แล้วส่งมาลงสกุลไทย ตอนนั้น ‘ละครเล่ห์เสน่หา’ ลงในขวัญเรือน เขียนจบตั้งแต่ต้นปีที่ออกจากผู้จัดการใหม่ ๆ แล้วช่วงนั้นมีความรู้สึกว่า ในใจคิดว่าถึงจะเรียนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าถึงกลับมาเราก็นั่งอยู่กับบ้านเขียนหนังสือเฉย ๆ จะเรียนไปทำไม แล้วค่าใช้จ่ายก็แพงมาก เป็นคนที่ต้องอยู่คนเดียว คือต้องเช่าบ้านอยู่คนเดียว ไม่สามารถมีรูมเมทได้ เพราะเราต้องพิมพ์ดีดดัง เราต้องทำงานกลางคืน คือคนอื่นนอนหมด เราจะทำงาน ตอนเขียน ‘เสราดารัล’ จำได้ว่าจบตอนตี 3 ต้องอุ้มพิมพ์ดีดไปพิมพ์ในครัวเพราะรู้สึกว่าอพาร์ตเมนต์ข้างบนเขาทำอะไรกุกกัก เหมือนว่าเขานอนไม่หลับที่เราทำงานเลยเป็นเหตุผลว่าอยู่กับคนอื่นไม่ได้ ต้องเช่าอยู่คนเดียว ค่าใช้จ่ายก็สูง แล้วเป็นคนที่กินอะไรก็กิน ทำอะไรก็ทำ ทุกศุกร์จะต้องไปนั่งดูเขาประมูลของ มีความรู้สึกว่าตัวเองสุรุ่ยสุร่าย ก็เลยอุ๊ย กลับดีกว่า บอกว่าไม่เรียนต่อ ขอกลับบ้านแล้ว กลับมานั่งเขียนหนังสือเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์ที่อยากเรียนต่อ แล้วงานทางสายนี้ถ้าไม่เป็นอาจารย์ ก็ทำสำนักพิมพ์ดีไม่ดีอาจแพ้คนจบปริญญาตรีที่มาทำข่าวเลย ประสบการณ์เขาอาจจะมากกว่า จึงขอกลับดีกว่า แล้วก็ต้องตั้งใจว่าจะไม่กลับไปอีกแล้ว นอกจากกลับไปเที่ยว

 

รักการท่องเที่ยวขนาดนี้ ได้เก็บเกี่ยวอะไรจากการเดินทางบ้าง

    • ความสนุกค่ะ ส่วนมากอยู่อเมริกามีเพื่อนฝูงเยอะ ก็ได้อาศัยไหว้วานเขาได้ ไปพักกับเขาอะไรอย่างนี้

 

หมายถึงการเก็บเกี่ยวข้อมูลที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการเขียน คิดจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบ้างหรือไม่

    • สารคดีท่องเที่ยวไม่ได้เขียน แต่มีเรื่องหนึ่งที่กำลังเขียน เพราะตอนอยู่ที่โน่นประทับใจรถไฟของเขามาก เป็นรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวแล้วเขาจะตัดเส้นทางผ่านวิวิสวย ๆ ที่สุด ให้ความรู้สึกที่ดีมาก ฝั่งทะเลก็คือฝั่งทะเล ภูเขาก็คือภูเขาที่มีหิมะกำลังละลาย เพราะฉะนั้นอยู่ที่นั่นจะมีความสุขมากเวลาที่ได้นั่งรถไฟ แล้วก็จะนึกเอามาเทียบกับรถไฟไทยตลอด อาจเป็นเพราะเป็นคนชอบนั่งรถไฟ นั่งเรือ ชอบทั้งนั้นก็เลยเอาเรื่องนี้มาเขียน

 

เลาที่เขียนหนังสือจะเอาตัวเองเข้าไปในเรื่องหรือไม่

    • คงไม่ เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นตัวเราหมดทุกเรื่อง เคยไปหาพี่สาวเพื่อนคนหนึ่งเขาถามว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครของเราจึงเปรี้ยวนัก หมายถึงกล้ามาก อย่าง ‘เสราดารัล’ เป็นคนที่เอาจริงเอาจัง กล้าได้กล้าเสีย ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ ก็ตอบว่า บางทีอาจเพราะเราไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้ เราก็เลยใช้ความใฝ่ฝันนั้นใส่ไปในตัวละคร แต่บางเรื่องบอกตามตรงเลยว่า ถ้าให้ทำแบบที่ตัวละครทำ เราก็จะไม่ทำเราไม่กล้าที่จะทำอย่างเขา แต่เพราะว่าเขาเป็นเขา เขาถึงทำได้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเราเอาตัวเองใส่เข้าไปในเรื่องที่เขียนไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถทำได้เหมือนเขา

 

ในฐานะที่จัดตัวเองชัดเจนว่าเป็นนักเขียนนวนิยาย “โรแมนติก” มีเจตนาอะไรที่ซ่อนอยู่ในงาน แล้วอยากให้ผู้อ่านได้รับ

    • บางทีก็แทรกความรู้ เพราะถ้าเราเขียนเรื่องโรแมนติกอย่างเดียว พระเอกนางเอกคุยกัน คนอ่านก็ไม่ได้อะไรเลย บางทีก็แทรกความรู้แทรกอะไรต่ออะไรเข้าไป อย่างเรื่อง ‘ตามรักคืนใจ’ ในสกุลไทย ก็จะพูดถึงเรื่องการปลูกสัก เชิงพาณิชย์ ก็จะเขียนในแง่ที่ได้ศึกษาค้านคว้าเรื่องนี้มาด้วย แต่ก็คงไม่ถึงกับไปสัมผัสอย่างลึกซึ้ง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องไปทำจริง ๆ ใช่ไหมอย่างเรื่อง ‘เสราดารัล’ ก็พยายามแทรกความรู้เรื่องฝิ่น แทรกประโยชน์และโทษของมัน ความจริงยังมีข้อมูลอีกแยะ แต่จำใจต้องเอาออก เพราะเหมือนสอนผู้อ่านเกินไปใช่ไหมคะ

 

ใช้กลวิธีการเขียนอย่างไรให้ออกมาเป็นลีลาการเขียนแบบ “กิ่งฉัตร”

    • ก็เขียนอะไรที่เราชอบ คือว่าถือหลักว่าคนเขียนเป็นคนอ่านคนแรก ถ้าอ่านแล้วสนุกคนอ่านส่วนหนึ่งก็คงสนุกกับเราด้วย ถ้านึกสนุก แต่ถ้าเขียนเสร็จแล้วไม่แน่ใจก็จะอ่านออกเสียงดัง ๆ แล้วจะทำให้รู้ว่าราบรื่นหรือไม่ราบรื่น หรือถ้าเป็นการโต้ตอบ ก็จะพูดออกมาดัง ๆ เหมือนว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้น แล้วจะดูว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ ความจริงจะพูดอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าสะดุดก็จะแก้ไข แต่ถ้าออกมาโอเคก็จะปล่อย

 

คิดว่าวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยเป็นอย่างไร

    • ปัจจุบันที่เป็นข่าวที่สุดก็คืออิทธิพลของละคร คือสังเกตหลายครั้งแล้วว่าพอหนังสือขึ้นแผง ถ้าได้เป็นละคร ยอดขายหนังสือจะสูงปรี๊ดเลย แต่พอละครจบ หนังสือก็จะตก แล้วแทนที่หนังสือจะอยู่บนแผงก็ไปอยู่ใต้แผงเลย คือจะไม่ได้รับความสนใจ มีความรู้สึกว่าคนสมัยนี้อ่านหนังสือไม่ใช่เพราะมีอรรถรสตรงนั้น แต่อ่านเพราะว่าเป็นละคร อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้มีความรู้สึกกับตรงนั้นจริง ๆ สมัยที่ตัวเองอ่านหนังสือจะติดใจเนื้อหา เราติดใจอรรถรส เราติดในใจภาษา โอ๊ย สำนวนดีเหลือเกิน อ่านแล้วซึ้ง กินใจอะไรอย่างนี้ ไม่ได้อ่านเพราะอยากรู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นความแตกต่างมันสูงมาก บางเรื่องก็ดีบางเรื่องก็ไม่ดี อย่างที่ว่า มันยากที่จะบอกว่าคุณอ่านหนังสือเถอะ อ่านเพราะว่ามันมีอะไรดีในตัวนะ เพราะว่ามันบอกจุดดีในหนังสือนะ ไม่ต้องหรอกเขาอ่านเพราะเขาอยากรู้เท่านั้นเองว่า เนื้อหาจะเป็นอย่างไร เขาจะมองเท่านั้นว่า ผู้เขียนเนื้อหาจะจบอย่างไร แล้วก็จบกัน แล้วหนังสือนั้นก็โดนทอดทิ้งไปเลย เสียดายอะไรหลาย ๆ อย่างในหนังสือเล่มนั้นที่สูญเสียไป

 

คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะประสบกับหนังสือทุกเล่มหรือไม่

    • ส่วนใหญ่เท่าที่รู้ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ทั้งนั้น โอกาสที่จะมารื้อฟื้นนั้นยาก เคยไปถามหาหนังสือที่ละครเลิกไปแล้ว เขาบอกไม่มี เลิกสั่งมาขายแล้ว แล้วเด็กสมัยนี้ก็ไม่ชอบอ่านหนังสือนะ เพราะตัวอักษรเป็นพรืด ๆ ไปหมด ไม่น่าอ่าน ไม่เหมือนโทรทัศน์ แต่จริง ๆ จินตนาการมันไม่ได้มาจากโทรทัศน์ มีความรู้สึกว่าถ้าเราจะทำความฝัน มันเกิดจากตัวเรา ไม่ใช่เกิดจากการเคลื่อนไหวของแสงสี เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า จะรู้สึกเสียใจมาก คือให้เด็กอ่านหนังสือนอกเวลาแล้วคุณหนูเธอก็จะฉีกแบ่งกันอ่าน ซื้อเล่มหนึ่งแล้วเอาไปฉีกมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน บางทีก็มาคุยกันแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย จำได้ว่าสมัยเรียนมัธยม ครูให้อ่านเรื่อง ‘ปุลากง’ ของคุณโสภาค สุวรรณ คุณโสภาคฟังแล้วอาจไม่สบายใจ อาจารย์ก็จะตั้งคำถามหลอกเอาไว้เยอะ เวลาสอบก็ตกกันเป็นแถวเพราะความที่ไม่อ่านกัน จำได้ว่ามีเพื่อนที่อยู่ชั้นเดียวกัน ก็เดินไปด้วยกัน แล้วได้ยินเขาวิจารณ์ให้เพื่อนอีกคนฟังว่า โอ๋ย เรื่องอะไรนี่ตอนจบมีนอนกันด้วย ไม่น่าเอามาเป็นหนังสือนอกเวลาเลย เราก็นึกใจใจ เอ๊ะ มันตรงไหน อ่านแทบตายไม่เห็นเจอเลย คือไม่เข้าใจว่าเขาเอาอะไรมาพูด อ่านหนังสือไม่แตก หรือว่าไม่อ่าน ไม่รู้จักความคิดตัวละครอะไรอย่างนี้ คือ บางคนไม่อ่านหนังสือ เขาก็ฟังเพื่อน ๆ มาอีกทีพอเข้าสอบก็ตกกันเป็นแถว เพราะความที่ไม่อ่านกัน เคยมีประสบการณ์อีกครั้ง ตอนนั้นขึ้นเครื่องบินจะไปต่างประเทศ จำได้ว่าเป็นกรุ๊ปทัวร์ก็ไม่รู้อย่างไร ไปบอกว่าเขาว่าเราเป็นใครแอร์โฮสเตทก็เข้ามาทักบอกว่า คุณเป็นคนเขียนเรื่อง ‘เสราดารัล’ ใช่ไหม ก็บอกว่าใช่ เขาก็ถามว่า ใช้นามปากกาอะไร ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่า มันจะเรียกว่าละครโทรทัศน์โปรโมทชื่อเสียงได้หรือ เอ๊ะ ชักไม่แน่ใจใช่ไหม แต่เขารู้จักเรื่องของเราอย่างดี ซึ่งกว่าจะรู้จักตัวผู้เขียนก็ไม่รู้ว่า ‘กิ่งฉัตร’ เป็นใคร

 

เรียกได้ว่าละครโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยสร้างชื่อผู้เขียน

    • ก็คงจะสร้างค่ะ แต่ไม่ได้มากมาย อย่างที่ใคร ๆ มุ่งหวังกัน

 

เคยเจออะไรรุนแรงที่สุดในชีวิตบ้าง

    • บอกแล้วว่าเป็นชีวิตที่เรียบมาก ยังไม่มีอะไรแรง ๆ เลย ยังไม่มีอะไรดีใจที่สุดหรือเสียใจที่สุดในชีวิต เรียบ ๆ เรื่อย ๆ

 

พอใจชีวิตในเวลานี้หรือยัง

    • ก็โอเค ยังดีกว่าที่จะต้องไปเจออะไรโหด ๆ

 

รู้สึกตัวเองอายุน้อยเกินไปหรือไม่ที่จะตั้งเป้าชัดเจนในการเขียนหนังสืออย่างเดียว

    • อ๋อ เปลี่ยนแล้วค่ะ ว่าจะหางานทำคงต้องกลับไปทำงานด้านหนังสือพิมพ์ ก็ต้องดูไปก่อน เพราะว่าอยู่บ้านแล้วมันเหงา เบื่อ แล้วมีวามรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไหร่ เมื่ออยู่บ้าน ความที่เป็นคนขี้เกียจ ขี้เกียจมาก ก็จะตื่นสาย กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะยุรยาตรลงมาดูโทรทัศน์ ดูโทรทัศน์แล้วเล่นกับหมา บางทีคุยโทรศัพท์แล้วก็ออกไปช็อปปิ้ง ดูหนังสือ กว่าจะหอบหนังสือกลับมา แล้วไม่ทำอะไรเลย นอนอ่านหนังสือตลอด บางทีความรู้สึกว่าถ้าออกไปข้างนอก จะมีอะไรกระตุ้นได้ดีกว่านี้ ว่าจะลองดู คือผัดมานานแล้ว ว่าจะลองดู แต่ก็ยังมีข้อแม้เยอะ เช่นที่ทำงานจะต้องอยู่ใกล้บ้านเพราะขี้เกียจผจญกับรถติด แล้วงานมันต้องไม่ให้ซีเรียสจนเกินไปอะไรอย่างนี้

 

ดูเหมือนว่าลึก ๆ แล้วก็ยังมีวิญญาณนักข่าวอยู่ในสายเลือด

    • ค่ะ เป็นวิชาชีพที่รักมาก แต่พอมาเจอละคร ‘มายาตวัน’ แล้วคิดว่าตายล่ะ คนต้องด่าแน่เลย ว่าเธอเป็นนักข่าวมาได้ยังไง คือนักข่าวเป็นอะไรที่สนุก ได้ประสบการณ์ และได้เห็นชีวิตที่หลากหลายมาก เพราะวันนี้คุณคุยกับคนคุกต้องไปเกาะลูกกรงคุยกับนักโทษที่โรงพักนะคะ โดนตำรวจด่าบ้าง โดนอะไรสารพัด พรุ่งนี้คุณไปคุยกับมหาเศรษฐีโถส้วมทองคำอะไรอย่างนี้ มันมีอะไรในชีวิตที่อาชีพอื่นไม่มีทางได้ไปสัมผัสแต่ก็เหนื่อย เป็นอาชีพที่เหนื่อยยอมาก

 

ช่วยสรุปเรื่องที่เขียนตามลำดับอีกครั้งได้ไหม

    • ตามเวลานะ ก็เริ่มจาก ‘พรพรหมอลเวง’ แล้วช่วงเขียน ‘มายาตวัน’ กับ ‘เสราดารัล’ นี่ไล่ ๆ กัน ตามมาด้วย ‘ละครเล่ห์เสน่หา’ แต่ ‘มายาตวัน’ ได้ลงก่อน ‘มายาตวัน’ เขียนตอนใกล้ออกจากผู้จัดการ แต่ ‘เสราดารัล’ เริ่มสตาร์ทหลังออกมาแล้ว เขียนไปก็รีไรท์ไปด้วยเลยบ้า มายาตวันก็เลยจบก่อนในปีนั้น แล้วก็หอบเสราดารัล 10 บทกับดวงใจพิสุทธิ์ไปอเมริกา ไปจบเสราดารัลที่นั่น แล้วก็เริ่ม ‘ด้วยแรงอธิษฐาน’ ที่นั่น กลับมาก็จบ ‘ดวงใจพิสุทธิ์’ นี่น่าสงสารที่สุด คือใช้เวลา 2 – 3 ปีเพราะติดปัญหาเรื่องทนาย เรื่องศาล เรื่องอะไรต่าง ๆ จบ ‘ด้วยแรงอธิษฐาน’ ก่อน ทั้งที่เขียน ‘ดวงใจพิสุทธิ์ก่อน’ ก่อน ‘ดวงใจพิสุทธิ์’ เลยมาจบทีหลัง แล้วก็เริ่ม ‘ตามรักคืนใจ’ เป็นเรื่องล่าสุดในสกุลไทย

 

มีนักเขียนรุ่นพี่ให้คำแนะนำปรึกษาบ้างไหม

    • เยอะมาก คือเป็นคนที่ว่า เพิ่งก้าวเข้ามา ยังไม่เป็นมืออาชีพ คือเรียกว่ายังเป็นลูกผีลูกคน ก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง คนอื่นไม่ทราบ บางคนอาจมีความมั่นใจมาก แต่ตัวเองไม่ค่อยมั่นใจ ความที่แบบเร็วมาก ก็เลยกลัวมากวาจะมีปัญหาอะไร ก็ได้รับคำแนะนำที่ดี ๆ เยอะมากจากนักเขียนอาวุโสหลายท่าน เช่น อาจารย์กฤษณา อโศกสิน,คุณทมยันตี,อาจารย์สุภัทร สวัสดิรักษ์,คุณโสภาค สุวรรณ นี่เพิ่งเจอครั้งเดียว ถ้าเป็นนักเขียนอาวุโสส่วนมากที่ให้คำแนะนำ เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็กยังมีปัญหาหลายประการ

 

ในฐานที่เขียนเรื่องรักได้ถูกใจผู้อ่านและผู้ชมละครขนาดนี้ น่าจะมีความรักแล้ว

    • ยังค่ะ อยู่แต่บ้านอย่างนี้จะมีใครมารักละคะ นึกว่าจะมีคนถามว่าทำไมถึงเขียนเรื่องรักได้ ส่วนหนึ่งมาจากจินตนาการ ส่วนหนึ่งมาจากคนรอบข้าง เพื่อนฝูงอะไรอย่างนี้ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ถ้าเธอมีคนรักจริง ๆ มีครอบครัวจริง ๆ ขึ้นมา เธอจะไม่มีวันเขียนได้อย่างนี้ เพราะว่าความเป็นจริงจะเข้ามาแต่นี่จะเขียนจากผู้หญิงคนหนึ่งต้องการอะไรใช่ไหมคะ ต้องการอะไรจากคนรักในจุดนี้ เพราะฉะนั้นจึงออกมาเหมือนอุดมคติเลิศลอย เคยมีคนถามว่าโลกนี้เขาจะเจอ ‘นาคิม’ ได้ที่ไหน คือพระเอกเรื่อง ‘เสราดารัล’ ก็ตอบไม่ได้ ก็บอกว่าหากันเอาเอง ใครโชคดีก็เจอ

 

แล้ว ‘กิ่งฉัตร’ เจอ ‘นาคิม’ แล้วหรือยัง

    • สงสัยต้องไปเร่ร่อนที่ไหนสักแห่ง คงได้เจอ ถ้าอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอ แล้วกลัวว่าเดี๋ยวคนอ่านจะผิดหวัง ถ้า ‘กิ่งฉัตร’ มีความรักเพราะจะกลายเป็นเรื่องเศร้า อกหักตลอดอะไรอย่างนี้ ไม่มีแหละดีแล้ว จะได้อ่านเรื่องสนุก ๆ กัน

 

กลับไปหน้าสัมภาษณ์

สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

[ หน้าบ้าน ] [ ประวัติ ] [ ผลงาน ] [ เรื่องย่อ ] [ สัมภาษณ์ ] [ สมุดเยี่ยม ] [ หลังบ้าน ]


"บ้านกิ่งฉัตร" เป็นโฮมเพจกิ่งฉัตรอย่างไม่เป็นทางการ    มิได้จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ใดๆแก่ผู้จัดทำ    "กิ่งฉัตร" และผลงานที่อ้างอิงบนโฮมเพจนี้   ยังคงเป็นสิทธิ์ของผู้เขียนและผู้พิมพ์ทุกประการ

"บ้านกิ่งฉัตร" จัดทำโดย กมลวรรณ อ่อนละมัย   7 ก.พ. 2544    โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแฟนๆกิ่งฉัตรบนบอร์ด chulabook