บทสัมภาษณ์ของกิ่งฉัตร

* ขอขอบคุณ น้องพลอยแก้ว ผู้พิมพ์และส่งบทความนี้เข้ามา *

‘กิ่งฉัตร’

อีกก้านแกร่งแห่งป่าอักษร (หน้า5)

โดย สุธาทิพย์ โมราลาย

(จากหนังสือ WRITER MAGAZINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2538)


สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

ทราบว่ามี “อารมณ์” เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เป็นอย่างไรคะ

    • คือช่วงที่เรื่อง “เสราดารัล” เป็นละครโทรทัศน์นี่จะมีเสียงสะท้อนเยอะมาก บางทีก็ไม่ทราบว่าใครโทรมา ผู้อ่านบางคนรับไม่ได้ บางคนก็ชอบ บางคนโทรมาบอกแนะนำตัวว่าคงเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ บอกทำไมยังโง้น ยังงี้ อู๊ย ไม่ชอบที่ทำงานก็ไม่มีใครชอบ ป้าบ่นแค่นี้นะคะ ขอบคุณค่ะ แล้วก็วางสาย คือว่าเราก็ฟัง แต่บางทีเราก็ไม่ทราบว่าเป็นใครที่โทรมา ส่วนใหญ่ถ้าเป็นผู้อ่านจริง ๆ ก็จะบ่น

 

บ่นอะไร

    • ก็คงไม่ถูกใจหลาย ๆ ด้านนะคะ จำได้ว่าฉากไม่ถูกใจ บทไม่ถูกใจ พระเอกไม่ถูกใจเรื่องนี้ไม่อยากพูดมาเดี๋ยวจะมีแรงสะท้อนกลับ บางคนก็บอกเป็นอาจารย์นะ บอกชอบมาก แต่ไม่อ่านหนังสือเลย บางทีจะเป็นอะไรที่เจ็บปวด ว่าไม่ได้ชอบจริง ๆ คือว่าเขาชอบ แต่ไม่อ่านหนังสือเลย คือเขาจะดูโทรทัศน์อย่างเดียว แล้วมีความรู้สึกมากว่า บางอย่างที่ดูไม่ใช่งานเราที่ปรากฏอยู่ เพราะเขาต้องการดัดแปลงให้เหมาะสมกับการนำเสนอใช่ไหม จะไม่มีการเปรียบเทียบ เพราะว่าเขาไม่อ่าน แล้วก็จะโทรมาบอกว่าชื่นชอบอะไรอย่างนี้ บางคนก็โทรเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์

 

รู้สึกอย่างไรกับการแปรรูปวรรณกรรมสู่ละครโทรทัศน์

    • ความจริงเรื่องี้ก็มีการถกเถียงกันมาเยอะนะคะ เป็นคนที่ส่วนตัวแล้วไม่ชอบดูโทรทัศน์เพราะว่าเหมือนกับว่าเรามีจินตนาการของเราอยู่แล้วในเรื่อง ๆ หนึ่ง แล้วพอใจที่จะอยู่ตรงจุดนั้นมากกว่า จริง ๆ แล้ว ไม่มีทางที่เขาจะสามารถสร้างได้ตามจินตนาการ ไม่ใช่ของเราคนเดียวของคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นบางทีจะมีความสุขมากกว่าที่จะอ่านหนังสือ เป็นคนที่แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ไม่ชอบดูโทรทัศน์ แต่ชอบอ่านหนังสือคือสามารถอยู่ได้โดยไม่มีโทรทัศน์ ขอให้มีหนังสือเท่านั้นเอง แล้วมีความรู้สึกว่า คือว่าอย่างที่เคยพูดถ้าให้เขานำเสนอ และถ้าเราอยากรู้จะเลือกอ่านหนังสือสนุกกว่า เหมือนเราได้เข้าไปในจินตนาการแล้วเราสามารถสร้างภาพของเราได้มากกว่าที่เขาจินตนาการให้ เป็นคนที่ชอบสร้างจินตนาการตัวเอง มากกว่าจะดูคนอื่นเขาสร้างให้

 

น่าจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่ได้เห็นผลงานของตัวเองในสื่ออีกรูปแบบหนึ่ง

    • โอ เค ก็รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดีว่างานของเราได้สื่สารไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ว่าความตื่นเต้นก็หดๆๆๆ (หัวเราะ) ความไม่ตื่นเต้นเข้ามาแทนที่เพราะว่าโดนกระแสหลายกระแสเข้ามา เพื่อนฝูงอะไรอย่างนี้ บางคนไม่อ่านหนังสือ บอก อู๊ยตายแล้ว เขียนอะไรอย่างนี้หรือก็รู้สึกว่า เหมือนที่เราต้องมานั่งแก้ก็จะบอกเธอไปอ่านหนังสือสิ เพราะปัญหาของคนไทยน่ะคือ ไม่ค่อยอ่านหนังสือ ชอบดูโทรทัศน์อย่างเดียวมากกว่า ทีวีสื่อร้อนหนังสือเย็นใช่ไหมคะ โทรทัศน์สื่อร้อน เข้าถึงง่ายกว่า สื่อเย็นก็แฉะอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร เพื่อนฝูงก็ไม่อ่าน แล้วก็จะมาถามว่าทำไมอย่างนั้นบ้างล่ะ เราก็ไม่อยากให้คำตอบเพราะฉะนั้นาบางทีก็ขี้เกียจพูด ใครถามก็ขี้เกียจอธิบาย บอกดูเอาเองก็แล้วกัน เอางั้นดีกว่า ง่าย ๆ เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

 

เรื่อง ‘พรพรหมอลเวง’ จัดเป็น ‘วรรณกรรมเยาวชน’ ได้ไหม เพราะมีเนื้อหาเรื่องราวที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญ

    • คงไม่ละค่ะ เป็นแนวโรแมนติกเสียมากกว่า เพราะว่ามีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างตัวเด็กกับผู้ใหญ่ซึ่งเป็นสาระสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ว่าจะเสนอให้เห็นว่าเด็กนั้นอยู่ในสภาพบ้านแตก แล้วทุกคนจะรับรู้ว่าพ่อแม่มีปัญหานะ แต่ทุกคนก็เสนอว่าทุกครั้งที่มีปัญหาครอบครัวเด็กไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออย่างกรณีพ่อแม่หรือสามีภรรยามีปัญหาหย่าร้างกัน เขาก็หย่ากันได้ แต่ในความเป็นลูก เขาไม่มีทางหย่าขาดจากพ่อแม่ได้เลย ชีวิตเขาก็คือพ่อแม่คู่นี้ตลอดไป คือเป็นจุดที่อยากจะสะท้อนว่าผู้ใหญ่เมื่อทำอะไรลงไป ควรคิดถึงเด็ก อย่าคิดว่าเรื่องบางเรื่องเด็กไม่เกี่ยว

 

เวลาเขียนหนังสือมีวิธีเก็บเกี่ยวข้อมูลอย่างไร

    • ส่วนมากก็จะอ่านหนังสือ อย่าเรื่องนี้ก็จะอ่านที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งก็มีหนังสือเรื่องพวกนี้เยอะมาก ที่เขียนเรื่องเด็กอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ‘ดวงใจพิสุทธิ์’ ในขวัญเรือนเป็นเรื่องเด็กที่โดนทำร้าย แล้วเขาก็จะมีปฏิกิริยาที่เก็บกดมาก ภายนอกจะดูว่าเด็กคนนี้เรียบร้อย เงียบ ๆ ความจริงแล้วเขามีปัญหา กำลังจะระเบิด สุดท้ายก็ต้องไปหาจิตแพทย์ อันนี้ได้มาจากหนังสือทั้งนั้นเลย คือว่าสนุกนะคะ เวลาที่เขียนไม่ได้นี่ก็จะไปร้านหนังสือ แล้วไปหาหนังสือพวกนี้มา ก็เอามานั่งอ่าน รู้สึกว่าอาจารย์ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์เคยเขียนว่า เวลาเด็กมีปฏิกิริยาอย่างนี้หมายถึงอะไร จริง ๆ แล้วต้องมาดูด้วยว่าผู้ใหญ่ทำอะไรกับเด็กเอาไว้หรือเปลา เป็นเรื่องที่น่าสนุก ก็จะเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้มาค้นคว้า เดินตาร้านหนังสือ แล้วบางทีถ้าติดตรงไหนจริง ๆ ก็จะถาม ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับศาล ก็ถามทนายหรือผู้มีประสบการณ์ตรง แต่ส่วนมากได้จากเอกสารต่าง ๆ มากกว่า

 

แล้วจะตอบโต้อย่างไรที่นักวิจารณ์บอกว่า “พรพรหมอลเวง” ลอกผู้อื่นมา

    • อย่างที่เคยบอกแล้วว่า เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องสั้นไม่ถึง 10 หน้าจบ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เรียนหนังสือแล้วมาเช่าบ้าน มีพ่อมีแม่และมีอาผู้ชาย แล้วมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่ด้วย เด็กมีความรู้สึกชอบอาผู้ชายอยู่ เมื่อมารู้ว่าอาชอบผู้หญิงคนนี้ มันก็เหมือนเด็กแก่แดดตามปกติ เด็กรู้สึกไม่อยากเป็นเด็กต่อไป อยากเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แล้วเผอิญเกิดอุบัติเหตุ ตกบันได้ทั้งคู่สลับร่างกันตัวเด็กในร่างผู้ใหญ่ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กไปเรียนอนุบาลอะไรอย่างนี้

 

ก็เลยกลายเป็น “พรพรหมอลเวง”

    • คือผู้ใหญ่มักจะบอกว่าเด็กสบายนะ ไม่มีปัญหา แต่เราไม่คิดอย่างนั้น เรากลับมาคิดว่าปัจจุบันเด็กมีปัญหาจะตาย อ่านวรรณกรรมเยาวชนดูจะพบว่า เด็กมีปัญหาเยอะมาก จากพฤติกรรมที่เขาแสดงออกหลาย ๆ อย่าง เพราะว่าผู้ใหญ่มักจะเข้าใจว่าเด็กคือเด็กใช่ไหม แต่ความจริงเด็กก็มีโลกของเขา แล้วบางทีผู้ใหญ่ไม่เข้าใจโลกของเขาเอง แล้วเด็กที่อยู่ในบ้านที่มีปัญหา อย่านึกว่าเด็กเขาไม่รู้ เด็กเขารู้ว่านี่ก็คือปัญหาของเขาด้วย อย่าคิดว่าปัญหาผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว แต่จริง ๆ คือจุดสำคัญ มันเกี่ยวข้องกันโดยตรง ก็เลยนำประเด็นนี้มาเขียน บังเอิญว่าเรื่อง ‘พรพรหมอลเวง’ นี้มีเพื่อนในกลุ่มที่เป็นต้นแบบด้วย เขาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์แบบทุกอย่างในชีวิต หมายถึงสวย ฐานะดี เรียนเก่ง แล้ววางตัวดีมาก มีคนมาชอบมากมายแต่ปัญหาของเขามีข้อเดียว คือเขาเกลียดเด็กมาก หมายถึงว่าในมหาวิทยาลัยนี่จะมีเด็กเดินเข้าออกเยอะนะคะ อย่างเด็กจากสะพานพุทธอะไรอย่างนี้ แล้วเพื่อน ๆ ในกลุ่มบางคนจะเป็นแม่พระมาก จะพาเด็กไปกินข้าว ไปนั่งเล่น ซื้อของ แต่ผู้หญิงต้นแบบคนนี้จะไม่ชอบ ถ้าเข้ามาก็จะบ่น เอาอีกแล้วอย่าเข้ามานะ เด็กก็กลัวเขาหมดทุกคนเลย แล้วเพื่อน ๆ ในกลุ่มจะสงสัยว่าทำไมเกลียดเด็กคนนี้นักหนา ตัวเองไม่เคยเป็นเด็กหรือยังไง ก็นึกในใจสนุก ๆ ว่า ถ้าให้เพื่อนคนนี้กลับไปเป็นเด็กอีกที จะเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แต่ตัวต้องกลีบไปอยู่ในร่างเด็กอะไรอย่างนี้ ถ้าได้อ่านเรื่องนี้จะรู้ว่านางเอกไม่ชอบเด็กเลย เขาจะมีความรู้สึกว่าเด็กกับเขาพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเขาก็จะรู้สึกแย่มากในตอนแรกที่ต้องกลับไปเป็นเด็ก แต่สักพักนี่ตัวละครก็จะมีพัฒนาการ คือในที่สุดเขาก็จะเรียนรู้ว่าเด็กที่ว่าไม่มีปัญหา อยู่คนละโลก ความจริงเขาก็มีโลกของเขา…ก็อยากเสนอประเด็นนี้ขึ้นมา

 

กล่าวกันว่างานเขียนสะท้อนผู้เขียน “กิ่งฉัตร” มีชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร

    • เป็นชีวิตที่สุขสบายนะคะ เป็นคนที่ค่อนข้างโชคดีเพราะอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์ คุณแม่ชื่อองุ่น ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพยาบาลอยู่แผนกเวชศาสตร์ช่องปาก โรงพยาบาลจุฬาฯ คุณพ่อชื่อ พลเรือตรี วิเชียร ศาลิคุปต เป็นเจ้ากรมขนส่งทหารเรือมีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน ตัวเองเป็นคนกลาง สมัยเล็ก ๆ อาจไม่เพียบพร้อมเพราะที่บ้านรับราชการ แต่ว่าแม่ก็ให้เวลากับลูก ๆ เต็มที่ ถ้ามีปัญหาอะไร แม่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดี คือสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กถึงเรื่องใหญ่ แล้วคุณพ่อก็สามารถแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตที่ดี เป็นคนที่คอยชี้แนะว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร ให้เกิดความคิดดี ๆ ในการที่จะอยู่ในชีวิต และอยู่ในสังคม

 

ที่บ้านปลูกฝังให้รักการเขียนหรือไม่

    • ไม่เลยค่ะ คือเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก คุณแม่บอกว่าตลก อุ๊ย คนนี้หลุดออกมาได้อย่างไร แม่ไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือประเภทนิยายสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่มีเวลาด้วย และอย่างคุณพ่อก็เฉยๆ ไม่ใช่คนที่รักหนังสือ แต่ตัวเองเป็นคนเดียวที่รักหนังสือมาก อาจะเผอิญว่ามีเพื่อนที่แนะนำให้อ่านหนังสือ เช่น เอ้า ลองอ่านเล่มนี้สิ สนุกนะ แล้วพอเรามาอ่านก็หลุดไปเลยชอบอ่านหนังสือมาก สมัยก่อนชอบอ่านบนรถเมล์ ถ้ายังไม่จบไม่เงยหน้าขึ้นเลย จนกระทั่งถึงบ้าน จึงรู้ว่าถึงแล้ว ลงได้ บางทีซื้อหนังสือปากซอยเข้าบ้าน ตรงสะพานก็จะมีไฟถนนใช่ไหมคะ ก็จะหยุดอ่านบนถนนจนจบ ถึงจะเดินเขาบ้านได้

 

ทำไมไม่รอให้เข้าบ้านก่อน

    • คือเป็นคนที่ถ้ามีหนังสืออยู่ในมือแล้วอ่านไม่จบจะหงุดหงิดมาก ต้องอ่านให้จบ หรือไม่ก็เวลาที่อ่านหนังสือค้างอยู่ แล้วไม่จบจะหงุดหงิดมาก เหมือนมาขัดจังหวะเรา ทีนี้อ่านไปอ่านมา อ่านไปนาน ๆ ความที่เราเข้าถึงหนังสือมาก คือหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ก็เลยมีความรู้สึกว่านักเขียนเขาเก่ง สามารถที่จะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามไปได้ มีความสุข มีความเศร้าไปกับตัวละครได้ ก็เลยมีความคิดอย่าอยากจะเขียน

 

เริ่มรู้จักตัวเองว่าจะเดินมาทางสายอักษรนี่ตั้งแต่เมื่อไร

    • เริ่มอ่านจริง ๆ จัง ๆ ก็อยู่ ม.3 – ม.4 ช่วงนั้นเราไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น พอกลางวันทุกคนไปกินข้าว เราก็จะไปห้องสมุดก่อน พออีก 10 นาทีจะหมดเวลาพัก ถึงจะไปกินข้าว เพราะห้องอาหารว่าง และห้องสมุดก็ว่า เพราะเราไปถึงก่อน คือถ้าเราไปสาย เราก็จะไม่ได้หนังสือที่เราต้องการ อ่าน ‘เพชรพระอุมา’ จบที่สตรีวิทย์ยังจำได้

 

เรียนหนังสือที่ไหนบ้าง

    • เรียนเขมะศิริอนุสรณ์ พอม.1 ก็ต่อที่สตรีวิทย์ จบแล้วก็เข้าวารสารศาสตร์ เอกหนังสือพิมพ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นปีแรกที่ต้องไปเรียนที่รังสิต ไปรบกับแดด รบกับฝน เวลาฝนตกหนักจริง ๆ ตึกอาคารเรียนก็ใหม่เอี่ยม แต่น้ำไม่ไหลอะไรอย่างนี้ แต่ก็ประทับใจว่าเราเป็นธรรมศาสตร์ที่รังสิตรุ่นแรก

 

เริ่มเขียนหนังสือเมื่อไร

    • ช่วงนั้นอยู่ ม.4 ขึ้นมาหน่อยก็ริเขียนนิยายเรื่องยาว อีกคนมีฝีมือในการวาดภาพ เราก็ใช้สมุดเรียน แล้วอาจารย์สอนหน้าชั้น เราก็เขียนไป แล้วก็วนกันอ่านในห้อง พออ่านเสร็จเพื่อนก็ถาม ตัวละครหายไปไหน อยู่ ๆ นึกจะจบก็จบ คือสมัยก่อนเรื่องที่เขียนมันเป็นเรื่องลึกลับหน่อยนะ ก็จะมีตัวละครเป็นนกยักษ์ นกผีตัวโต ๆ อ่านไปอ่านมานกหายไปเลย ก็เป็นเรื่องตลกกัน เพราะว่าเพื่อนก็ไม่ค่อยเชื่อในฝีมือเท่าไร สมัยอยู่มหาวิทยาลัยก็มีวิธีใหม่ คือจะให้ลูกอมฮอลล์เพื่อนไปหนึ่งเม็ดก่อน พอเพื่อนแกะอมเสร็จเรียบร้อย เราก็บอกเธออ่านนะ เขาก็บอกไม่อ่านได้ไหม เราก็บอกไม่อ่านก็คายฮอลล์ออกมา เขาก็เลยต้องยอมอ่านกัน ก็อย่างที่ว่า อ่านไม่จบนะ พวกนี้ลำบากมาก เราก็จะดึงคืนทึกครั้งก็ไม่มีใครได้อ่านจบเท่าไร ก็บอก แหม อ่านไปตบยุงไป เราก็งอนแล้ว เอาคืนแล้วอะไรอย่างนี้

Next

สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

[ หน้าบ้าน ] [ ประวัติ ] [ ผลงาน ] [ เรื่องย่อ ] [ สัมภาษณ์ ] [ สมุดเยี่ยม ] [ หลังบ้าน ]


"บ้านกิ่งฉัตร" เป็นโฮมเพจกิ่งฉัตรอย่างไม่เป็นทางการ    มิได้จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ใดๆแก่ผู้จัดทำ    "กิ่งฉัตร" และผลงานที่อ้างอิงบนโฮมเพจนี้   ยังคงเป็นสิทธิ์ของผู้เขียนและผู้พิมพ์ทุกประการ

"บ้านกิ่งฉัตร" จัดทำโดย กมลวรรณ อ่อนละมัย   7 ก.พ. 2544    โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแฟนๆกิ่งฉัตรบนบอร์ด chulabook