ทราบว่ามี
อารมณ์ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก
เป็นอย่างไรคะ
- คือช่วงที่เรื่อง
เสราดารัล
เป็นละครโทรทัศน์นี่จะมีเสียงสะท้อนเยอะมาก
บางทีก็ไม่ทราบว่าใครโทรมา
ผู้อ่านบางคนรับไม่ได้
บางคนก็ชอบ
บางคนโทรมาบอกแนะนำตัวว่าคงเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่
บอกทำไมยังโง้น ยังงี้ อู๊ย
ไม่ชอบที่ทำงานก็ไม่มีใครชอบ
ป้าบ่นแค่นี้นะคะ ขอบคุณค่ะ
แล้วก็วางสาย คือว่าเราก็ฟัง
แต่บางทีเราก็ไม่ทราบว่าเป็นใครที่โทรมา
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นผู้อ่านจริง ๆ
ก็จะบ่น
บ่นอะไร
- ก็คงไม่ถูกใจหลาย ๆ
ด้านนะคะ จำได้ว่าฉากไม่ถูกใจ
บทไม่ถูกใจ
พระเอกไม่ถูกใจเรื่องนี้ไม่อยากพูดมาเดี๋ยวจะมีแรงสะท้อนกลับ
บางคนก็บอกเป็นอาจารย์นะ
บอกชอบมาก แต่ไม่อ่านหนังสือเลย
บางทีจะเป็นอะไรที่เจ็บปวด
ว่าไม่ได้ชอบจริง ๆ คือว่าเขาชอบ
แต่ไม่อ่านหนังสือเลย
คือเขาจะดูโทรทัศน์อย่างเดียว
แล้วมีความรู้สึกมากว่า
บางอย่างที่ดูไม่ใช่งานเราที่ปรากฏอยู่
เพราะเขาต้องการดัดแปลงให้เหมาะสมกับการนำเสนอใช่ไหม
จะไม่มีการเปรียบเทียบ
เพราะว่าเขาไม่อ่าน
แล้วก็จะโทรมาบอกว่าชื่นชอบอะไรอย่างนี้
บางคนก็โทรเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์
รู้สึกอย่างไรกับการแปรรูปวรรณกรรมสู่ละครโทรทัศน์
- ความจริงเรื่องี้ก็มีการถกเถียงกันมาเยอะนะคะ
เป็นคนที่ส่วนตัวแล้วไม่ชอบดูโทรทัศน์เพราะว่าเหมือนกับว่าเรามีจินตนาการของเราอยู่แล้วในเรื่อง
ๆ หนึ่ง
แล้วพอใจที่จะอยู่ตรงจุดนั้นมากกว่า
จริง ๆ แล้ว
ไม่มีทางที่เขาจะสามารถสร้างได้ตามจินตนาการ
ไม่ใช่ของเราคนเดียวของคนอื่นด้วย
เพราะฉะนั้นบางทีจะมีความสุขมากกว่าที่จะอ่านหนังสือ
เป็นคนที่แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ไม่ชอบดูโทรทัศน์
แต่ชอบอ่านหนังสือคือสามารถอยู่ได้โดยไม่มีโทรทัศน์
ขอให้มีหนังสือเท่านั้นเอง
แล้วมีความรู้สึกว่า
คือว่าอย่างที่เคยพูดถ้าให้เขานำเสนอ
และถ้าเราอยากรู้จะเลือกอ่านหนังสือสนุกกว่า
เหมือนเราได้เข้าไปในจินตนาการแล้วเราสามารถสร้างภาพของเราได้มากกว่าที่เขาจินตนาการให้
เป็นคนที่ชอบสร้างจินตนาการตัวเอง
มากกว่าจะดูคนอื่นเขาสร้างให้
น่าจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่ได้เห็นผลงานของตัวเองในสื่ออีกรูปแบบหนึ่ง
- โอ เค
ก็รู้สึกตื่นเต้น
รู้สึกดีว่างานของเราได้สื่สารไปอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่ว่าความตื่นเต้นก็หดๆๆๆ
(หัวเราะ)
ความไม่ตื่นเต้นเข้ามาแทนที่เพราะว่าโดนกระแสหลายกระแสเข้ามา
เพื่อนฝูงอะไรอย่างนี้
บางคนไม่อ่านหนังสือ บอก
อู๊ยตายแล้ว
เขียนอะไรอย่างนี้หรือก็รู้สึกว่า
เหมือนที่เราต้องมานั่งแก้ก็จะบอกเธอไปอ่านหนังสือสิ
เพราะปัญหาของคนไทยน่ะคือ
ไม่ค่อยอ่านหนังสือ
ชอบดูโทรทัศน์อย่างเดียวมากกว่า
ทีวีสื่อร้อนหนังสือเย็นใช่ไหมคะ
โทรทัศน์สื่อร้อน
เข้าถึงง่ายกว่า
สื่อเย็นก็แฉะอยู่อย่างนั้น
ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร
เพื่อนฝูงก็ไม่อ่าน
แล้วก็จะมาถามว่าทำไมอย่างนั้นบ้างล่ะ
เราก็ไม่อยากให้คำตอบเพราะฉะนั้นาบางทีก็ขี้เกียจพูด
ใครถามก็ขี้เกียจอธิบาย
บอกดูเอาเองก็แล้วกัน
เอางั้นดีกว่า ง่าย ๆ
เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
เรื่อง
พรพรหมอลเวง จัดเป็น
วรรณกรรมเยาวชน ได้ไหม
เพราะมีเนื้อหาเรื่องราวที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเด็ก
ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญ
- คงไม่ละค่ะ
เป็นแนวโรแมนติกเสียมากกว่า
เพราะว่ามีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ
ระหว่างตัวเด็กกับผู้ใหญ่ซึ่งเป็นสาระสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ว่าจะเสนอให้เห็นว่าเด็กนั้นอยู่ในสภาพบ้านแตก
แล้วทุกคนจะรับรู้ว่าพ่อแม่มีปัญหานะ
แต่ทุกคนก็เสนอว่าทุกครั้งที่มีปัญหาครอบครัวเด็กไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
หรืออย่างกรณีพ่อแม่หรือสามีภรรยามีปัญหาหย่าร้างกัน
เขาก็หย่ากันได้
แต่ในความเป็นลูก
เขาไม่มีทางหย่าขาดจากพ่อแม่ได้เลย
ชีวิตเขาก็คือพ่อแม่คู่นี้ตลอดไป
คือเป็นจุดที่อยากจะสะท้อนว่าผู้ใหญ่เมื่อทำอะไรลงไป
ควรคิดถึงเด็ก
อย่าคิดว่าเรื่องบางเรื่องเด็กไม่เกี่ยว
เวลาเขียนหนังสือมีวิธีเก็บเกี่ยวข้อมูลอย่างไร
- ส่วนมากก็จะอ่านหนังสือ
อย่าเรื่องนี้ก็จะอ่านที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเด็ก
ซึ่งก็มีหนังสือเรื่องพวกนี้เยอะมาก
ที่เขียนเรื่องเด็กอีกเรื่องหนึ่งก็คือ
ดวงใจพิสุทธิ์
ในขวัญเรือนเป็นเรื่องเด็กที่โดนทำร้าย
แล้วเขาก็จะมีปฏิกิริยาที่เก็บกดมาก
ภายนอกจะดูว่าเด็กคนนี้เรียบร้อย
เงียบ ๆ ความจริงแล้วเขามีปัญหา
กำลังจะระเบิด
สุดท้ายก็ต้องไปหาจิตแพทย์
อันนี้ได้มาจากหนังสือทั้งนั้นเลย
คือว่าสนุกนะคะ
เวลาที่เขียนไม่ได้นี่ก็จะไปร้านหนังสือ
แล้วไปหาหนังสือพวกนี้มา
ก็เอามานั่งอ่าน
รู้สึกว่าอาจารย์ถิรนันท์
อนวัชศิริวงศ์เคยเขียนว่า
เวลาเด็กมีปฏิกิริยาอย่างนี้หมายถึงอะไร
จริง ๆ
แล้วต้องมาดูด้วยว่าผู้ใหญ่ทำอะไรกับเด็กเอาไว้หรือเปลา
เป็นเรื่องที่น่าสนุก
ก็จะเอาข้อมูลต่าง ๆ
เหล่านี้มาค้นคว้า
เดินตาร้านหนังสือ
แล้วบางทีถ้าติดตรงไหนจริง ๆ
ก็จะถาม ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับศาล
ก็ถามทนายหรือผู้มีประสบการณ์ตรง
แต่ส่วนมากได้จากเอกสารต่าง ๆ
มากกว่า
แล้วจะตอบโต้อย่างไรที่นักวิจารณ์บอกว่า
พรพรหมอลเวง ลอกผู้อื่นมา
- อย่างที่เคยบอกแล้วว่า
เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องสั้นไม่ถึง 10 หน้าจบ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เรียนหนังสือแล้วมาเช่าบ้าน
มีพ่อมีแม่และมีอาผู้ชาย
แล้วมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
คนหนึ่งอยู่ด้วย
เด็กมีความรู้สึกชอบอาผู้ชายอยู่
เมื่อมารู้ว่าอาชอบผู้หญิงคนนี้
มันก็เหมือนเด็กแก่แดดตามปกติ
เด็กรู้สึกไม่อยากเป็นเด็กต่อไป
อยากเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
แล้วเผอิญเกิดอุบัติเหตุ
ตกบันได้ทั้งคู่สลับร่างกันตัวเด็กในร่างผู้ใหญ่ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กไปเรียนอนุบาลอะไรอย่างนี้
ก็เลยกลายเป็น
พรพรหมอลเวง
- คือผู้ใหญ่มักจะบอกว่าเด็กสบายนะ
ไม่มีปัญหา
แต่เราไม่คิดอย่างนั้น
เรากลับมาคิดว่าปัจจุบันเด็กมีปัญหาจะตาย
อ่านวรรณกรรมเยาวชนดูจะพบว่า
เด็กมีปัญหาเยอะมาก
จากพฤติกรรมที่เขาแสดงออกหลาย ๆ
อย่าง
เพราะว่าผู้ใหญ่มักจะเข้าใจว่าเด็กคือเด็กใช่ไหม
แต่ความจริงเด็กก็มีโลกของเขา
แล้วบางทีผู้ใหญ่ไม่เข้าใจโลกของเขาเอง
แล้วเด็กที่อยู่ในบ้านที่มีปัญหา
อย่านึกว่าเด็กเขาไม่รู้
เด็กเขารู้ว่านี่ก็คือปัญหาของเขาด้วย
อย่าคิดว่าปัญหาผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว
แต่จริง ๆ คือจุดสำคัญ
มันเกี่ยวข้องกันโดยตรง
ก็เลยนำประเด็นนี้มาเขียน
บังเอิญว่าเรื่อง พรพรหมอลเวง
นี้มีเพื่อนในกลุ่มที่เป็นต้นแบบด้วย
เขาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์แบบทุกอย่างในชีวิต
หมายถึงสวย ฐานะดี เรียนเก่ง
แล้ววางตัวดีมาก
มีคนมาชอบมากมายแต่ปัญหาของเขามีข้อเดียว
คือเขาเกลียดเด็กมาก
หมายถึงว่าในมหาวิทยาลัยนี่จะมีเด็กเดินเข้าออกเยอะนะคะ
อย่างเด็กจากสะพานพุทธอะไรอย่างนี้
แล้วเพื่อน ๆ
ในกลุ่มบางคนจะเป็นแม่พระมาก
จะพาเด็กไปกินข้าว ไปนั่งเล่น
ซื้อของ
แต่ผู้หญิงต้นแบบคนนี้จะไม่ชอบ
ถ้าเข้ามาก็จะบ่น
เอาอีกแล้วอย่าเข้ามานะ
เด็กก็กลัวเขาหมดทุกคนเลย
แล้วเพื่อน ๆ
ในกลุ่มจะสงสัยว่าทำไมเกลียดเด็กคนนี้นักหนา
ตัวเองไม่เคยเป็นเด็กหรือยังไง
ก็นึกในใจสนุก ๆ ว่า
ถ้าให้เพื่อนคนนี้กลับไปเป็นเด็กอีกที
จะเป็นอย่างไร
คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แต่ตัวต้องกลีบไปอยู่ในร่างเด็กอะไรอย่างนี้
ถ้าได้อ่านเรื่องนี้จะรู้ว่านางเอกไม่ชอบเด็กเลย
เขาจะมีความรู้สึกว่าเด็กกับเขาพูดกันไม่รู้เรื่อง
เพราะฉะนั้นเขาก็จะรู้สึกแย่มากในตอนแรกที่ต้องกลับไปเป็นเด็ก
แต่สักพักนี่ตัวละครก็จะมีพัฒนาการ
คือในที่สุดเขาก็จะเรียนรู้ว่าเด็กที่ว่าไม่มีปัญหา
อยู่คนละโลก
ความจริงเขาก็มีโลกของเขา
ก็อยากเสนอประเด็นนี้ขึ้นมา
กล่าวกันว่างานเขียนสะท้อนผู้เขียน
กิ่งฉัตร
มีชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร
- เป็นชีวิตที่สุขสบายนะคะ
เป็นคนที่ค่อนข้างโชคดีเพราะอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์
คุณแม่ชื่อองุ่น
ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพยาบาลอยู่แผนกเวชศาสตร์ช่องปาก
โรงพยาบาลจุฬาฯ คุณพ่อชื่อ
พลเรือตรี วิเชียร ศาลิคุปต
เป็นเจ้ากรมขนส่งทหารเรือมีพี่ชาย
1 คน และน้องสาว 1 คน
ตัวเองเป็นคนกลาง สมัยเล็ก ๆ
อาจไม่เพียบพร้อมเพราะที่บ้านรับราชการ
แต่ว่าแม่ก็ให้เวลากับลูก ๆ
เต็มที่ ถ้ามีปัญหาอะไร
แม่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดี
คือสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กถึงเรื่องใหญ่
แล้วคุณพ่อก็สามารถแนะนำอะไรหลาย
ๆ อย่างในชีวิตที่ดี
เป็นคนที่คอยชี้แนะว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร
ให้เกิดความคิดดี ๆ
ในการที่จะอยู่ในชีวิต
และอยู่ในสังคม
ที่บ้านปลูกฝังให้รักการเขียนหรือไม่
- ไม่เลยค่ะ
คือเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก
คุณแม่บอกว่าตลก อุ๊ย
คนนี้หลุดออกมาได้อย่างไร
แม่ไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือประเภทนิยายสักเท่าไหร่
อาจเป็นเพราะไม่มีเวลาด้วย
และอย่างคุณพ่อก็เฉยๆ
ไม่ใช่คนที่รักหนังสือ
แต่ตัวเองเป็นคนเดียวที่รักหนังสือมาก
อาจะเผอิญว่ามีเพื่อนที่แนะนำให้อ่านหนังสือ
เช่น เอ้า ลองอ่านเล่มนี้สิ
สนุกนะ
แล้วพอเรามาอ่านก็หลุดไปเลยชอบอ่านหนังสือมาก
สมัยก่อนชอบอ่านบนรถเมล์
ถ้ายังไม่จบไม่เงยหน้าขึ้นเลย
จนกระทั่งถึงบ้าน
จึงรู้ว่าถึงแล้ว ลงได้
บางทีซื้อหนังสือปากซอยเข้าบ้าน
ตรงสะพานก็จะมีไฟถนนใช่ไหมคะ
ก็จะหยุดอ่านบนถนนจนจบ
ถึงจะเดินเขาบ้านได้
ทำไมไม่รอให้เข้าบ้านก่อน
- คือเป็นคนที่ถ้ามีหนังสืออยู่ในมือแล้วอ่านไม่จบจะหงุดหงิดมาก
ต้องอ่านให้จบ
หรือไม่ก็เวลาที่อ่านหนังสือค้างอยู่
แล้วไม่จบจะหงุดหงิดมาก
เหมือนมาขัดจังหวะเรา
ทีนี้อ่านไปอ่านมา อ่านไปนาน ๆ
ความที่เราเข้าถึงหนังสือมาก
คือหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง
ก็เลยมีความรู้สึกว่านักเขียนเขาเก่ง
สามารถที่จะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามไปได้
มีความสุข
มีความเศร้าไปกับตัวละครได้
ก็เลยมีความคิดอย่าอยากจะเขียน
เริ่มรู้จักตัวเองว่าจะเดินมาทางสายอักษรนี่ตั้งแต่เมื่อไร
- เริ่มอ่านจริง ๆ จัง ๆ
ก็อยู่ ม.3 ม.4
ช่วงนั้นเราไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น
พอกลางวันทุกคนไปกินข้าว
เราก็จะไปห้องสมุดก่อน พออีก 10
นาทีจะหมดเวลาพัก
ถึงจะไปกินข้าว
เพราะห้องอาหารว่าง
และห้องสมุดก็ว่า
เพราะเราไปถึงก่อน
คือถ้าเราไปสาย
เราก็จะไม่ได้หนังสือที่เราต้องการ
อ่าน เพชรพระอุมา
จบที่สตรีวิทย์ยังจำได้
เรียนหนังสือที่ไหนบ้าง
- เรียนเขมะศิริอนุสรณ์
พอม.1 ก็ต่อที่สตรีวิทย์
จบแล้วก็เข้าวารสารศาสตร์
เอกหนังสือพิมพ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นปีแรกที่ต้องไปเรียนที่รังสิต
ไปรบกับแดด รบกับฝน
เวลาฝนตกหนักจริง ๆ
ตึกอาคารเรียนก็ใหม่เอี่ยม
แต่น้ำไม่ไหลอะไรอย่างนี้
แต่ก็ประทับใจว่าเราเป็นธรรมศาสตร์ที่รังสิตรุ่นแรก
เริ่มเขียนหนังสือเมื่อไร
- ช่วงนั้นอยู่ ม.4
ขึ้นมาหน่อยก็ริเขียนนิยายเรื่องยาว
อีกคนมีฝีมือในการวาดภาพ
เราก็ใช้สมุดเรียน
แล้วอาจารย์สอนหน้าชั้น
เราก็เขียนไป
แล้วก็วนกันอ่านในห้อง
พออ่านเสร็จเพื่อนก็ถาม
ตัวละครหายไปไหน อยู่ ๆ
นึกจะจบก็จบ
คือสมัยก่อนเรื่องที่เขียนมันเป็นเรื่องลึกลับหน่อยนะ
ก็จะมีตัวละครเป็นนกยักษ์
นกผีตัวโต ๆ
อ่านไปอ่านมานกหายไปเลย
ก็เป็นเรื่องตลกกัน
เพราะว่าเพื่อนก็ไม่ค่อยเชื่อในฝีมือเท่าไร
สมัยอยู่มหาวิทยาลัยก็มีวิธีใหม่
คือจะให้ลูกอมฮอลล์เพื่อนไปหนึ่งเม็ดก่อน
พอเพื่อนแกะอมเสร็จเรียบร้อย
เราก็บอกเธออ่านนะ
เขาก็บอกไม่อ่านได้ไหม
เราก็บอกไม่อ่านก็คายฮอลล์ออกมา
เขาก็เลยต้องยอมอ่านกัน
ก็อย่างที่ว่า อ่านไม่จบนะ
พวกนี้ลำบากมาก
เราก็จะดึงคืนทึกครั้งก็ไม่มีใครได้อ่านจบเท่าไร
ก็บอก แหม อ่านไปตบยุงไป
เราก็งอนแล้ว
เอาคืนแล้วอะไรอย่างนี้