บทสัมภาษณ์ของกิ่งฉัตร

* ขอขอบคุณ น้องพลอยแก้ว ผู้พิมพ์และส่งบทความนี้เข้ามา *

‘กิ่งฉัตร’

อีกก้านแกร่งแห่งป่าอักษร (หน้า4)

โดย สุธาทิพย์ โมราลาย

(จากหนังสือ WRITER MAGAZINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2538)


สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

สนใจหนังสือประเภทได้รับรางวับวรรณกรรมภายในประเทศบ้างไหม และรู้สึกอย่างไรต่อบรรยากาศแวดวงวรรณกรรมในบ้านเรา

    • ไม่ค่อยได้อ่าน ส่วนใหญ่คนซื้อให้เพราะเป็นคนที่กวีก็ไม่ค่อยถนัด เรื่องสั้นก็ทำไม่ได้ อ่านแล้วจะวิจารณ์ไม่ได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เรื่องสั้นก็จะอ่านตามความพอใจเท่านั้นเองว่าเรื่องนี้สนุกนะ ประทับใจ ที่มีประทับใจก็ไม่กี่เรื่องเช่น ‘มีดประจำตัว’ ของ ชาติ กอบจิตติ มีความรู้สึกว่าชอบเรื่องนี้มาก รู้สึกว่าเขาเสียดสีได้ดี “ครอบครัวกลางถนน” ของ ศิลา โคมฉาย ก็ประทับใจ คือเรื่องเหล่านี้ถ้าเขาให้มาก็อ่านจะไม่ไปถามหา ส่วนเรื่องของรางวับเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับคนกลุ่มหนึ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วเขาก็ตัดสินตามเกณฑ์ แต่ว่าหลักเกณฑ์ บางทีเราก็ไม่เข้าใจเช่นเขาบอกว่าแนวที่ประทับใจต้องเป็นแบบนี้ แต่เราไม่ชอบแนวประเภทนี้ เพราะฉะนั้นก็เลยตอบไม่ได้ว่า หนังสือเล่มนั้นดีจริงหรือไม่ดีจริง ดังนั้นคน ๆ เดียวจึงตัดสินไม่ได้ เวลาอ่านหนังสือก็จะวัดที่ตัวเอง จะเอาเราเป็นหลักคนเดียว เพราะแต่ละคนก็จะมีหลักเกณฑ์ มีประสบการณ์มีวัยและมีอะไรหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง

 

เวลาเขียนหนังสือก็จะวัดที่ตัวเองคนเดียวด้วยหรือไม่

    • คือว่างานของเรา ถ้าจะปล่อยออกไปนั่นถือว่าดีที่สุดแล้วตอนนั้น เพราะว่าเป็นคนที่ก่อนจะพิมพ์งาน ก่อนจะพริ้นท์งานออกมาหรือเขียนหน้าหนึ่ง พอจะเขียนหน้าสอง ก็ต้องอ่านหน้าแรกก่อน ถ้าไม่ชอบใจก็จะแก้ไปเลย เพราะฉะนั้นงานก็จะออกมาช้า เป็นคนที่ทำงานช้ามาก ถ้าเป็นสำนักพิมพ์จะบอกว่า โอ๊ย รอไปเถอะ อย่างเรื่อง “มายาตวัน” กวาจะเข็นออกมาได้สำนักพิมพ์รอเป็นปี บอกให้เขียนต่ออีก 5 บทเถอะ มัวแต่ขยักอยู่นั้นแหละ เพราะว่าเป็นคนทำงานช้าค่ะ

 

ประมาณเวลาต่อเรื่องได้ไหม

    • ก็ประมาณ 5 ปี 5 เรื่องแต่ว่าที่เขียนจะมีสต็อกหมดเลย จะไม่ไว้ใจตัวเอง ไอ้เรื่องตอนต่อตอนนี่ ยกไปได้เลย เพราะทำไม่ได้หลังจากจบเรื่องหนึ่งจะไม่ลงต่อทันที จะทิ้งช่วงไว้ ต้องมีเวลาส่งต้นฉบับก่อน แล้วส่งที 10 – 15 บทอะไรงี้ จะน้อยกว่านี้ไม่ได้ เพราะกลัวพลาด

 

เท่าที่ศึกษาผลงานที่ผ่านมา ผู้เขียนน่าจะเป็นคนช่างฝัน

    • ใช่ค่ะ เป็นคนที่ขับรถไม่ได้ไงคะ เพราะว่าใจลอย เป็นคนที่รู้เลยว่าชอบนั่งรถเมล์ แล้วชอบนั่งริมกระจกด้วย แต่ว่าไม่เห็นอะไรเลยนะ เพราะว่าตอนนั้นจะนึกเรื่องอะไรตลอด นึกอย่างโน้น อย่างนี้สารพัด เป็นสิบเรื่อง เพราะฉะนั้นจะรักการนั่งรถเมล์มาก แต่ต้องได้นั่งริมหน้าต่างนะ และรถไม่ติดด้วย ส่วนมากก็จะนั่งตอนกลางคืน อย่างช่วงทำงานที่ผู้จัดการ จะได้ขึ้นที่ท่ารถ 70 เลย และได้ที่นั่งประจำ เป็นสิบปีกระมังที่ใช้บริการสายนี้ แล้วกลางคืนอากาศก็ดี รถไม่ติด ก็จะนั่งคิด นั่งอะไรไปเรื่อย ถ้าขับรถนี่รู้เลยว่าจะต้องไปชนกับเขา แล้วเวลาเดินทางไปไหนก็จะชอบคิด ตื่นเช้ามาก็นอนคิดอะไรหลายอย่าง อย่างเวลาไปเที่ยวกับน้องสาว เขาถามว่าทำอะไร บอกว่ากำลังคิดอยู่ บางทีคิดทั้งคืน นอนไม่หลับ เพราะว่าเราต่อไม่ได้ บางทีนึกไม่ออกว่าจะให้ตัวละครตัวร้ายตายอย่างไร จะจบบทบาทเขาอย่างไร คิดทั้งคืน คิดอยู่นั่น คิดไม่ตกสักที

 

เคยทะเลาะกับตัวละครบ้างไหม

    • ไม่ค่อยทะเลาะหรอกค่ะ เขาก็ไปของเค้า

 

ได้นำเอาความรู้ทางวารสารศาสตร์ที่เรียนมาใช้ในงานเขียนมากน้อยแค่ไหน

    • ตอบยากนะ เพราะว่ามันฝัง ๆ อยู่ อย่างตอนเรียนก็ต้องเขียนตลอดเหมือนกัน เขียนบทความ เขียนสารคดี วิชาพวกนี้ก็มีประโยชน์ในการนำมาใช้ในการเขียนเรื่อง แต่ส่วนมากมันจะไปของมันเอง แรก ๆ ก็จะมีส่วนช่วย แต่หลัง ๆ ไปก็ไม่ต้องมานั่งทำชาร์จ ไม่ต้องมาบันทึกอะไร สมัยก่อนอาจจะต้องบันทึกชื่อตัวละครเอาไว้ บันทึกข้อมูลอะไรต่าง ๆ แบบลักษณะของการเขียนข่าว เช่นอะไรคือเมนหลัก มี WHO WHAT WHEN WHERE WHY และ HOW แล้วก็ไล่ ๆ ลงมาว่า WHO คือใคร WHERE สถานที่เกิดเหตุ ฉากที่ไหนอะไรอย่างนี้ แต่ส่วนมากจะเป็นโครงเรื่องใหญ่ แล้วเราก็มารวมพล็อตเองส่วนรายละเอียดจะอยู่ในหัวว่าใครเป็นอะไรยังไง ก็เหมือนที่ว่า พอนึกชื่อก็ต้องรู้ว่าหน้าตาตัวละครเป็นอย่างไร ท่าทางอุปนิสัยใจคอ แรก ๆ อาจจะไม่คุ้นแต่พอเขียน ๆ ไปก็จะรู้ว่า เขาเป็นคนยังไง

 

คิดว่าเรื่องที่เขียนออกไปให้อะไรกับผู้อ่านบ้าง

    • ถ้าเทียบว่าเรื่องตัวเองให้อะไรกับผู้อ่านมากมาย ก็คงไม่ได้ เพราะมีความรู้สึกว่าเรายังไม่ลึกพอในแง่มุมชีวิตที่จะสอนผู้อื่นเขาต้องเอาคำสอนของคนอื่น ไม่ใช่เราไปสอนผู้อื่น เพียงแต่ให้เขาที่ความเข้าใจของเรา ตามวัยของเรา ความจริง จะมีบางอย่างที่ผิดพลาดบ้างแต่นี่ก็คือสิ่งที่เราสั่งสมอยู่

 

เคยค้นพบความผิดพลาดอะไรบ้างที่ได้เผยแพร่ตีพิมพ์ออกไปแล้ว

    • โอ้ เยอะมาก (หัวเราะ) คือตอนที่ “พรพรหมอลเวง” เป็นละคร มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งโทรมาถามว่า เขาอยากรู้นิ้ดเดียวเท่านั้นเองว่าพระเอกกับนางเอกรักกันตอนไหน เราบอกโอ๊ย ตายแล้ว ไม่รู้จะตอบอย่างไร เอาตามความเข้าใจก็แล้วกัน คนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา มันก็ย่อมเกิดความผูกพันอะไรอย่างนี้ ก็ตอบไปง่าย ๆ ความจริงเรื่องนี้มีจุดผิดพลาด ก็คือคนที่เป็นแฟนประจำ เขียนจดหมายมาว่า ตั้งแต่ตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นครั้งที่ 3 เป็นคนแรกที่ท้วงเข้ามา แล้วท้วงอย่างถูกต้อง เรารู้ตลอดเวลาว่านี่คือจุดผิดพลาด แต่สำนักพิมพ์ไม่เคยท้วงมาเลยแต่พอได้หนังสือมาก็จะสะดุดทันที่ว่าตรงนี้เราพลาด ความจริงก็แค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง

 

ยกตัวอย่างได้ไหม จะได้ย้อนกลับไปอ่านใหม่

    • ให้ค้นเอาเอง แล้วดูสิคะว่าใครจับได้ (หัวเราะ)…ในเรื่องนี้มีจุดหนึ่งที่พลาดไป ถ้าอ่านจริง ๆ จะจับได้ แต่ไม่เคยมีใครท้วงมาเลย นอกจากผู้อ่านท่านเดียว ก็ยอมรับไปแล้วว่าเราผิดจริง ๆ แต่ว่าเป็นความผิดที่เรารู้มาตลอด แล้วก็เฉยไว้

 

ทำไมถึงเฉยไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดพลาด

    • ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปแก้ไข เพราะถือว่าเป็นความผิดพลาด แล้วก็เอามาเตือนตัวเองทีหลังว่าเราต้องพยายามอ่านมากกวานี้ ความผิดพลาดเกิดจากที่เคยลงพิมพ์ในโลกวลีมา 15 – 16 บทแล้วโลกวลีก็หยุดตัวเองไป เรื่องก็ค้างอยู่ แล้วก็ตั้งใจจะไม่เขียนต่อ จนกระทั่งไปเจอผู้อ่านในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้วบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก อยากอ่านต่อจนจบ ก็เลยมีแรงกลับมาเขียนต่อ แต่ความที่ทิ้งช่วงไปนาน บางทีข้อมูลผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เราก็พลาด เพราะฉะนั้นก็เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะให้ถือว่าเตือนตัวเองเอาไว้ว่าเวลาจะไปทำอะไร ให้กลับไปดูของเก่า ยิ่งถ้าเรื่องไหนทิ้งไปนาน ยิ่งต้องกลับไปเช็คให้นัก ๆ เป็นข้อเตือนใจ

สรุปว่าก็เลยไม่รู้ว่าความผิดพลาดนั้นคืออะไร

    • (หัวเราะ) เพียงแต่ว่าอยากให้ลองกลับไปอ่านดู เพราะหาไม่ยาก แล้วค่อยเฉลย…ใบ้ให้ก็ได้ ความจริงเป็นความผิดพลาดของตัวละครในเรื่อง คือว่าผู้อ่านเขียนมาถามว่าตกลงตัวละครเพ้อหรือคนเขียนเพ้อกันแน่ ก็ตอบไปว่าคนเขียนเพ้อเอง

 

ทราบว่ากำลังหัดเขียนเรื่องสะท้อนชีวิตหนัก ๆ เป็นแก่นสำคัญของเรื่อง

    • คือว่าความสามารถยังไม่ถึง มีความรู้สึกว่าคนที่เขียนเรื่องชีวิตจริง ๆ จะต้องเป็นผู้เข้าใจชีวิต แต่เราอาจจะเป็นเพราะว่าสุขสบายจนเกินไป เรายังอยู่ในรกอบ ไม่มีประสบการณ์ตรง ประสบการณ์อ้อมก็ยังมีน้อย การที่จะไปอ่านงานเขียนของคนอื่น แล้วมาเขียนของตัวเอง ทำไม่ได้ เพราะว่าอารมณ์ความรู้สึกไม่ลึกซึ้งพอ เราไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นตัวหนังสือได้เพราะฉะนั้นก็จะรอไว้ก่อน คือความจริงก็พอมีพล็อตอยู่บ้าง พระเอกจบแบบโดนยิงตายอะไรทำนองนี้ เพราะว่าช่วงทำข่าวก็เคยเจอสภาพคนดีที่ต้องตายอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเรามีความรู้สึกว่าเขียนอะไรตอนนี้จะสื่อไม่พอ จะไม่ละเมียดละไมพอ จะไม่สามารถกินใจคนอื่นได้มากพอก็เลยคิดว่าอย่าเพิ่งเขียนดีกว่า เขียนอะไรออกไปแล้วเดี๋ยวจะไม่เป็นชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา แต่จะเป็นชีวิตขบขัน แล้วจะให้คนอื่นเขาขบขันเรียกว่าทำไม่ได้ แล้วจะทำใช่ไหมคะ เราก็เอาแนวที่เราชอบไปก่อน คือเรื่องที่เขียนเพราะเป็นเรื่องที่ชอบ เพราะรักจึงเขียนออกมา เพราะฉะนั้นแนวของเรื่อง ‘กิ่งฉัตร’ ก็จะออกมาคล้ายกันเพราะจะชอบนวนิยายแนวนี้ จะอ่านเรื่องราวแนวนี้

 

“แนวนี้” หมายถึงแนวอะไร

    • ก็แนวโรแมนติก เบาๆ อาจจะจริงจังหน่อย แต่ไม่ถึงกับเป็นชีวิตที่โหดร้ายนัก เพราะปัจจุบันเราก็มีชีวิตที่โหดร้ายมากพอ การเขียนหนังสือก็เหมือนกับการหลบไปชั่วคราว ให้พอมีความชุ่มชื่นนิดหน่อย แล้วกลับมาทำงาน กลับมาทำงานต่อ แนวเรื่องของ “กิ่งฉัตร” จึงกุ๊กกิ๊ก ๆ ไปเรื่อยๆ

 

แล้วคิดว่าอะไรคือ ‘เสน่ห์’ ของ ‘กิ่งฉัตร’ ที่ผูกใจคนอ่านไว้ด้วยนวนิยายเพียง 5 เรื่อง

    • คงต้องไปถามผู้อ่าน

 

คิดวาตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

    • ก็อยู่ในขั้นที่ว่า วัดจากแรงตอบรับเข้ามา คือไม่ว่าจะติหรือชม ก็แปลว่าเขาอ่านงานเราใช่ไหม นั่นคือคิดว่าประสบผลสำเร็จในขั้นหนึ่ง ว่ามีคนอ่าน ถ้าเขียนมาแล้วไม่มีคนอ่านก็คงเจ็บปวดมาก เจ็บปวดที่สุด

 

จากผลงานที่ผ่านมา คิดว่าพอใจเรื่องไหนของตัวเองมากที่สุด

    • ชอบทั้งนั้นล่ะค่ะ คำถามนี้ไม่สมควรจะถาม ที่พูดอย่างนี้ก็คือผลงานของตัวเองก็ต้องรัก คุณทมยันตีก็เคยพูดเอาไว้ ป้าอี๊ดบอกว่าตอบไม่ได้หรอกว่าชอบเรื่องไหนของตัวเอง เดี๋ยวเขาน้อยใจ เคยมีช่วงหนึ่งที่น้อยใจแทนเขาเหมือนกัน ช่วงที่เรื่อง ‘เสราดารัล’ ลงพิมพ์มีผู้อ่านเรียกร้องภาค 2 ออกมา ขอให้ลงแทรกก่อนเรื่อง ‘ด้วยแรงอธิษฐาน’ ขอตอนเดียวก็ได้ ตอนนั้นตัวเองในฐานะผู้เขียนมีความรู้สึกว่าถ้าเราเป็นตัวละครเป็นตัวเอกของเรื่อง เราจะน้อยใจไหมที่เรื่องที่เขากำลังดำเนินอยู่ แต่คนอื่นต้องการจะเอาอีกเรื่องมาแทรก เขาก็คงไม่มีความสุขใช่ไหม คือถ้าเปรียบเทียบผลงานเราเป็นลูกเรามีลูกผู้หญิงหลายคน ถ้าเรามีลูกสาวหลายคน แล้วเรามีลูกสาวคนหนึ่งที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีคนรักมากมาย มีคนเอ็นดู ชื่นชม แล้วคนอื่น ๆ เขาจะรู้สึกอย่างไร เขาด้อยกว่าเราหรือเปล่า หรือถ้าเรามีพี่น้อง 2 คน ทุกคนรุมรักพี่หมด คนน้องก็คงจะรู้สึกว่าเขาน้อยใจบ้า ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้น

 

ตกลงว่า ‘เสราดารัล’ จะมีภาค 2 ตามคำเรียกร้องหรือไม่

    • ไม่ค่ะ จบบริสุทธิ์ – ที่ไม่จบในละครโทรทัศน์นะคะ (หัวเราะ)

Next

สัมภาษณ์หน้า 1  2  3  4  5  6

[ หน้าบ้าน ] [ ประวัติ ] [ ผลงาน ] [ เรื่องย่อ ] [ สัมภาษณ์ ] [ สมุดเยี่ยม ] [ หลังบ้าน ]


"บ้านกิ่งฉัตร" เป็นโฮมเพจกิ่งฉัตรอย่างไม่เป็นทางการ    มิได้จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ใดๆแก่ผู้จัดทำ    "กิ่งฉัตร" และผลงานที่อ้างอิงบนโฮมเพจนี้   ยังคงเป็นสิทธิ์ของผู้เขียนและผู้พิมพ์ทุกประการ

"บ้านกิ่งฉัตร" จัดทำโดย กมลวรรณ อ่อนละมัย   7 ก.พ. 2544    โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแฟนๆกิ่งฉัตรบนบอร์ด chulabook