หลายการศึกษาให้ข้อสรุปตรงกันว่า ร่างกายดูดซับแคลเซียมแบบฟู้ดแมทริกซ์ได้ถึง 90%
ขณะที่ดูดซับแคลเซียมแบบแยกส่วนได้เพียง 5 %

ผลิตภัณฑ์เสริมในรูปสารอาหารพื้นฐานแห่งศตวรรษที่ 21
(The 21st Century Matrix Supplement)

ในคราวเปิดตัวแคลซิโทนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฟู้ดแมทริกซ์ตัวใหม่ ดร.ทอมลินสันกล่าวว่า “แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดกระแสประสาท (nerve impulse) การรักษาความเต่งตึงของกล้ามเนื้อ (muscle tone) ช่วยในการทำงานของฮอร์โมนและเอ็นไซม์ และมีบทบาทสำคัญในการจับตัวเป็นลิ่มของโลหิต (blood clotting)” เราใช้แคลเซียมในทางการแพทย์เพื่อการบำบัด :

• ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
• โรคกระดูกอ่อน (Rickets)
• ความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure)
• โรคภูมิแพ้ (Allergies)
• โรคซึมเศร้า (Depression)
รวมถึงความผิดปกติอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยปกติ การดูดซึมและใช้ประโยชน์ แคลเซียมในร่างกายมนุษย์จะทำได้ยากมาก เช่น หากคุณให้เกลือแคลเซียมคาร์บอเนตเพื่อเสริมความบกพร่องของแคลเซียม คุณจะพบกับปัญหาอุปสรรคจำนวนหนึ่ง ประการแรก คุณจำต้องได้รับเกลือแคลเซียมเข้าไปจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์เพียงเล็กน้อย กล่าวคือ จากปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนต 1000 มก. จะมีจำนวนธาตุแคลเซียมจริงเพียง 400 มก. และจากจำนวน 400 มก. นี้ หากร่างกายสามารถดูดซับได้ถึง 5 % ก็นับว่าโชคดีแล้ว

นั่นก็หมายความว่า จากแคลเซียมคาร์บอเนตขนาด 1000 มก. สุดท้ายจะมีปริมาณแคลเซียมที่ดูดซึมไปใช้ได้เพียงประมาณ 20 มก. (5% ของ 400 มก. หรือ 2% ของ 1000 มก.)

ประการต่อมา ได้เกิดความไม่มั่นใจว่า แคลเซียมจะถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง อันเนื่องจากแคลเซียมในรูปนี้ มีสภาพเป็นอนินทรีย์เคมีที่มาจากดิน โดยไม่ได้ฝังตัวหรือผสมผสานอยู่กับโปรตีน ดังนั้น มันจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ในร่างกาย แคลเซียมในรูปนี้มีแนวโน้มที่จะไปเกาะตัวอยู่ตามเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่(arteries) และก่อให้เกิดอาการ “atherosclerosis” หรือเส้นเลือดแดงแข็งหนาจากการก่อตัวของหินปูน และจุดสุดท้ายคือการสะสมตัวในลำไส้ใหญ ่(colon) หรือไต (kidney)

มีข้อสรุปจากการทดสอบระบุว่า แคลเซียมแบบฟู้ดแมทริกซ์จะประสานหรือวางตัวอยู่ในโปรตีน และผลการทดสอบยังได้แสดงให้เห็นว่าร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมในรูปนี้ได้ในอัตราสูงถึง 70% - 90%
ดังนั้น จากคุณสมบัติของแคลเซียมแบบฟู้ดแมทริกซ์ที่มีการฝังตัวอยู่ในโปรตีน chaperone นั่นเอง ที่นำมาซึ่งความเหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์

ผลการทดสอบที่ดำเนินการโดย ศาสตราจารย์ เจ. วินสัน แห่งมหาวิทยาลัยสแครนตัน บ่งชี้ว่า ร่างกายสามารถดูดซึมฟู้ดแมทริกซ์แคลเซียมได้ดีกว่าแคลเซียมที่แยกโดดเดี่ยวถึง 300 %

การบริโภคแคลเซียมควรดำเนินการควบคู่กับแมกนีเซียมและวิตามินดีเสมอ เพราะแร่ธาตุและวิตามินดังกล่าวจะช่วยให้การดูดซึมและการใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

แคลซิโทน นอกจากจะประกอบด้วย แคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินดี โดยอยู่ในรูปฟู้ดแมทริกซ์ทั้งหมดแล้ว แคลซิโทน ยังบรรจุไว้ด้วยวิตามินซีแบบฟู้ดแมทริกซ์ ซึ่งปกติ วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ โดยทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการเกิด Oxidation และทำการขจัดกิจกรรมที่เป็นอันตรายของอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่มีมากมายในร่างกาย วิตามินซีถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อการบำบัดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคโลหิตจางจากการพร่องธาตุเหล็ก การติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ และความผิดปกติจากความเสื่อมโทรมของร่างกายอื่นๆ

แคลซิโทน - ผลิตภัณฑ์ใหม่ของสปอร์ตทรอน

แคลซิโทน ผลิตภัณฑ์ฟู้ดแมทริกซ์ชนิดใหม่ของสปอร์ตทรอน เป็นประดิษฐกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุดเท่าที่รู้จักกันในปัจจุบัน เป็นการพัฒนาอย่างมหาศาลอย่างแท้จริงของการทำให้สารอาหารที่ได้รับดำรงอยู่ในเนื้อเยื่อ (Bioavailability) โดยแคลซิโทนได้รวมเอาเทคโนโลยีฟู้ดแมทริกซ์ใหม่อันน่าทึ่งเข้ามาไว้ด้วยกัน นั่นย่อมหมายความว่าวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ จะไม่ปรากฎในรูปขององค์ประกอบแบบแยกส่วน (Isolated Elements) แต่จะประสานหรือฝังตัวระดับโมเลกุลในสารประกอปฟู้ดแมทริกซ์ เข้าสู่โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันไลปิด นี่เป็นวิธีการโดยธรรมชาติที่ร่างกายนำเอาอาหารไปใช้ จึงทำให้แคลเซียมแบบฟู้ดแมทริกซ์สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 90 % เทียบกับ 5% ของแคลเซียมคาร์บอเนตในรูปสารเคมีแบบแยกส่วน และแคลเซียมแบบฟู้ดแมทริกซ์จะไม่สะสมในเส้นเลือดแดงใหญ่ หรือลำไส้ใหญ่ ที่อาจก่ออันตรายได้