ทราบหรือไม่ว่ากว่าร้อยละ
90 ของ วิตามินและแร่ธาตุที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนับพันชนิดที่คุณซื้อหา
จะมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย
พวกเขาได้ทำการแยกวิตามินออกมาแล้วสร้างมันขึ้นใหม่ในห้องปฏิบัติการในปริมาณมหาศาล
จากนั้นจึงส่งขายให้กับผู้ผลิตวิตามิน
พวกเขายังได้ขุดค้นแร่ธาตุขึ้นมาจากเหมืองทั่วโลก และ "หินบดละเอียด"(crushed
rock) เหล่านี้ก็คือสิ่งเดี่ยวกันกับที่คุณได้รับประทาน ใน fortified 0.J ,
อาหารเช้าประเภทซีเรียล หรือวิตามินประจำวันของคุณ
สิ่งที่คุณอาจไม่ทราบก็คือ
เคมีภัณฑ์และหินเหล่านี้ นอกจากร่างกายจะไม่ยอมรับเป็นโภชนาหารแล้ว
ในบางกรณียังก่อให้เกิดพิษภัยอีกด้วย
นั่นเท่ากับว่าในความพยายามทำสิ่งที่เป็นคุณแก่ร่างกาย
กลับอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างแท้จริงแก่ตัวเอง
โดยสารเคมีและหินปูนที่ล่องลอยอยู่ในกระแสโลหิตของคุณนี่เองคือต้นเหตุแห่งความหายนะดังกล่าว
ในกรณีตรงข้ามกับสภาพดังกล่าวข้างต้น
โภชนาหารที่พบในอาหารจะได้รับการยอมรับจากร่างกาย
และร่างกายจะใช้มันไปเพื่อการบำรุงเลี้ยงส่วนต่างๆ โภชนาหารเชิงซ้อน(complex
nutrients)เหล่านี้จะอยู่ในรูปของฟู้ดแมทริกซ์
โดยที่วิตามินและเกลือแร่จะเกาะตัวอยู่กับโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันไลปิด(lipids)
เอนไซม์ และไบโอฟลาโอนอยด์ (bioflavanoids)
โภชนาหารในฟู้ดแมทริกซ์ซึ่งไม่ใช่สารเคมีที่ถูกแยกออกมาโดดๆ
คือสิ่งที่ร่างกายของคุณถือเป็นอาหาร ในการนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาวิธีการที่จะทำงานร่วมกับธรรมชาติเพื่อผลิตโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์
ซึ่งเป็นการผนวกรวมวิตามินและเกลือแร่อาหารที่แท้จริงเข้าด้วยกัน
โดยมีปัจจัยร่วม(Cofactors)
ที่สำคัญทุกอย่างยึดโยงอยู่กับวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกายของคุณ
เพื่อให้เข้าใจว่าโภชนาหารเหล่านี้ทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแครนตัน
ได้ทำการทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ กับสารเคมีแบบ
"แยกส่วน"(isolated chemicals) ที่มีต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวัยทารก
กระบวนการเริ่มจากการเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดด้วยอาหารพร่องโภชนาการเป็นเวลาสองสัปดาห์
จากนั้นจึงเริ่มให้กลุ่มหนึ่งได้รับโภชนาหารแบบ "แยกส่วน"
อีกกลุ่มหนึ่งได้รับโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ เป็นเวลาสี่สัปดาห์เท่ากัน
ระหว่างนั้นก็ทำการชั่งน้ำหนักและบันทึกความเปลี่ยนแปลงลงบนกร๊าฟ
ผลปรากฏว่า สัตว์วัยอ่อนเหล่านี้ซึ่งเซลล์ร่างกายกำลังโหยหาโภชนาหาร
กลับไม่ได้รับประโยชน์จากโภชนาหารแบบ "แยกส่วน"
ที่จริงน้ำหนักของมันกลับเริ่มลดลงด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม
กลุ่มที่ได้รับฟู้ดแมทริกซ์กลับเติบโตและน้ำหนักของพวกมันได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วงเวลา
4 สัปดาห์ การศึกษานี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โภชนาหารแบบแยกส่วน
ให้ผลน้อยมากหรือไม่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์
หากตระหนักถึงความจำเป็นว่า
เซลล์ต้องการการเติบโตและงอกงามเพื่อที่ร่างกายของเราจะมีขีดความสามารถในการบำบัดรักษา
เติบโตเข้มแข็งขึ้น และสามารถต่อสู้กับการรุกรานของกาลเวลาได้ ดังนั้น
โภชนาหารชนิดใดที่คุณกำลังใช้เลี้ยงดูเซลล์ในร่างกายของคุณ ?
วิตามินจำเป็นต้องมีองค์ประกอบร่วม(cofactors)บางประการ
จึงจะทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ "ผู้ช่วย"
เหล่านี้ประกอบด้วย ไบโอฟลาวานอยด์ และสารธรรมชาติอื่นๆ
ซึ่งจะทำงานร่วมกับวิตามินเพื่อสร้างผลลัพท์อันทรงคุณค่า
การปราศจากองค์ประกอบร่วมดังกล่าว
ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสารเคมีแบบแยกส่วนที่ถูกผลิตขึ้นในปริมาณมากมีเพียงน้อยนิด
ซึ่งอาจพิจารณาจากกรณีวิตามิน C เป็นตัวอย่าง
ในการศึกษาเปรียบเทียบที่ดำเนินการที่วิทยาลัยการแพทย์นิวเจอร์ซี่ พบว่า
มีวิตามิน C แบบฟู้ดแมทริกซ์ในกระแสเลือดมากกว่า 5 เท่า
หลังผ่านไปสองชั่วโมง และมากกว่าอย่างไม่น่าเชื่อถึง 18 เท่า หลังผ่านไป 12
ซั่วโมง ยิ่งไปกว่านั้น แม้เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง วิตามิน C
จากฟู้ดแมทริกซ์ก็ยังมีมากกว่าวิตามิน C แบบ "แยกส่วน"ในทุกๆช่วงเวลา
ข้อพิสูจน์ต่อไปถึงความเหนือกว่าของโภชนาหารจริง
คือการศึกษาที่เผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยสแครนตัน
โดยการใช้ตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อตรวจวัดปริมาณโภชนาหารที่ปรากฏในเนื้อเยื่อหลังการบริโภคฟู้ดแมทริกซ์และแอสคอร์บิคแอซิด(วิตามิน
ซี) ผลลัพท์ได้น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าปริมาณวิตามิน C
ในแบบฟู้ดแมทริกซ์จะปรากฎในเนื้อเยื่อมากกว่าวิตามิน ซี
เมื่ออยู่ในสถานะโดดๆ ถึง 17 เท่าตัว
มะเร็งในลำไส้ใหญ่คร่าชีวิตคนอเมริกันปีละประมาณ 47,000 คน
มีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่าโรคที่น่าสพึงกลัวนี้พัฒนามาจากติ่งเนื้องอก(polyps)
ดังนั้น
การเติบโดยของเนื้องอกเหล่านี้จึงได้รับการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของคนไข้
ซึ่งในขณะที่ผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า
วิตามินซีสามารถหยุดยั้งการเติบโตของเนื้องอกได้
แต่การศึกษาที่จัดทำขึ้นที่มหาวิทยาลัยดับบลิน ทรินิตี คอลเลจ (University
of Dublin Trinity College) เปิดเผยว่า
วิตามินซีแบบฟู้ดแมทริกซ์สามารถลดขนาดของเนื้องอกลงกว่าร้อยละ 50
ภายในระยะเวลาเพียง 30 วัน !
จึงเป็นที่แจ่มชัดว่าโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์เหนือกว่าสารอาหารในแบบ แยกส่วนอย่างมากมาย
ประเด็นคุณประโยชน์สำคัญอีกประการของเทคโนโลยีชีวภาพใหม่นี้
อยู่ที่วิธีการส่งผ่านเกลือแร่เข้าสู่ร่างกาย
ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
มีกระบวนการที่เป็นระบบที่ร่างกายใช้ในการส่งผ่านเกลือแร่เข้าสู่เซลล์โดยตรง
ทั้งนี้ หากปราศจากโปรตีนพิเศษชื่อว่า Chaperone
ซึ่งพบได้ในโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ แร่ธาติจากหินบด(crushed rock minerals)ซึ่งพบในอาหารเสริมเกือบทั้งหมด
ก็จะจบลงด้วยการล่องลอยอย่างไร้จุดหมายในกระแสโลหิต
นักวิทยาศาสตร์เองก็เพิ่งเริ่มที่จะเข้าใจถึงผลที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของแร่ธาตุที่ล่องลอยโดยอิสระในร่างกายเหล่านี้
แคลเซี่ยม
นับเป็นตัวอย่างเด่นชัดที่แสดงว่าแร่ธาตุเหล่านี้เป็นอันตรายเพียงใด
ปัจจุบัน สตรีจำนวนนับล้านๆคนบริโภคอาหารเสริมแคลเซี่ยม
แต่ในขณะที่หญิงชาวอเมริกันบริโภคอาหารเสริมแคลเซียมมากกว่าผู้หญิงในภูมิภาคอื่นๆ
ทั่วโลก สหรัฐฯกลับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภาวะโรคกระดูกพรุน (osteoperosis)
สูงสุด สภาวะที่เป็นอันตรายนี้รู้จักกันในชื่อของ Brittle Bone Disease
หรือ โรคกระดูกเปราะ
ที่ทำให้เกิดช่องว่างในกระดูกซึ่งสามารถนำสู่การแตกหักร้าวถึงทุพพลภาพและมักอันตรายถึงชีวิต
ในรูปภาพต่อไปนี้คุณจะได้เห็นการแตกร้าวจากการกดดันของกระดูกสันหลังซึ่งมีสาเหตุมาจากการอ่อนตัวของกระดูก
อย่างไรตาม
การบริโภคยาเม็ดแคลเซียมส่วนใหญ่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้เพียงเล็กน้อย
และอาจนำมาซึ่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
หากปราศจากซึ่งการส่งผ่านโปรตีนเพื่อเป็นตัวนำพาแคลเซี่ยมให้ตรงเข้าสู่เนื้อเยื่อเป้าหมายที่แท้จริงแล้ว
แคลเซี่ยมคาร์บอเนต (ซึ่งก็คือหิดปูนบดละเอียดธรรมดา)
ก็จะเข้าไปเกาะตามเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งส่งผลที่เป็นอันตรายยิ่ง
แคลเซียมเหล่านี้อาจหาทางเข้าสู่บริเวณทรวงอกและไต
หรืออาจเป็นอันตรายยิ่งขึ้นในกรณีที่ไปเกาะติดผนังเส้นเลือดแดง
ทำให้ผนังเส้นเลือดแข็งและหนาขึ้น ผลึก(plaque)แคลเซียมนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญของโรคหัวใจหรือหัวใจล้มเหลว
ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่างเส้นเลือดหัวใจ (coronary artery)
ที่เป็นปกติกับเส้นที่อุดตันด้วยหินปูนดังภาพ
นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้โดยง่ายว่า
ทำไมคนอเมริกันจำนวนมากจึงต้องเข้าคิวรอคอยการตรวจร่างกายด้วยเครื่องสแกนเนอร์เทคโนโลยีสูง
ที่สามารถตรวจสอบการก่อตัวของหินปูนอันตรายที่เส้นเลือดหัวใจของพวกเขา