ฟู้ดสเตท™
(Food State™)
สปอร์ตทรอน
อินเตอร์เนชั่นแนล
ขอแนะนำ
โภชนาหารในสภาวะอาหาร
(FOOD-STATE Nutrients)
"..ทำงานร่วมกัน ดุจความมุ่งมั่นแห่งธรรมชาติ
"
เทคโนโลยีใหม่สำหรับสหัสวรรษใหม่
สปอร์ตทรอน ผู้นำด้านโภชนาการและความอยู่ดีกินดี
ได้สร้างโภชนาหารในสภาวะอาหาร (FOOD-STATE Nutrients) ขึ้นมา
ซึ่งผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์สรุปว่า
มีความใกล้เคียงกับอาหารมากที่สุด
เราทุกคนทราบดีว่าแนวทางที่เหมาะสมที่สุดคือการได้รับโภชนาหารที่ต้องการจากอาหารที่เราบริโภค
อย่างไรก็ตาม ในโลกสมัยใหม่แนวทางดังกล่าวปฏิบัติได้ยาก
และอาจเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย !
ร่างกายของมนุษย์เรา
ถูกสร้างมาเพื่อใช้ประโยชน์จากโภชนาหารในพืช
ยิ่งบริโภคอาหารในลำดับต้นของห่วงโซ่อาหารที่ใกล้กับพืชมากขึ้นเท่าใด
ก็ยิ่งจะได้ประโยชน์ทางโภชนาการมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเราบริโภคพืชหรือส่วนต่างๆของพืชเป็นอาหาร
โภชนาหารซึ่งประกอบด้วยวิตามินและเกลือแร่ ก็จะผูกติดไปกับโปรตีน
คาร์โบไฮเดรต และไขมันไลปิด ในรูปธาตุอาหารพื้นฐานเชิงซ้อน(complex food
matrix) และเนื่องจากโภชนาหารดังกล่าวดำรงอยู่ใน สภาวะอาหาร(FOOD-STATE)
จึงมีปริมาณการดูดซึมสู่เนื้อเยื่อในร่างกายสูงและทำให้อัตราการใช้ประโยชน์มีสูงกว่า
โภชนาหารในสภาวะอาหารคืออะไร ?
ศาสตราจารย์ วินสัน แห่งมหาวิทยาลัย สแครนตัน รัฐเพนซิลวาเนีย
ระบุว่าโภชนาหารในสภาวะอาหาร คือ
ความก้าวหน้าที่สำคัญที่สุดทางด้านโภชนาการในยุคปัจจุบัน สิ่งนี้
มิได้เป็นเพียงผลิตภัณฑ์วิตามินและเกลือแร่อนินทรีย์อีกยี่ห้อหนึ่ง
แท้ที่จริงโภชนาหารในสภาพอาหารจะมีลักษณะเฉพาะ
โดยที่วิตามินและเกลือแร่แบบใหม่จะเกาะเกี่ยวกันโดยทางโมเลกุลกับองค์ประกอบพื้นฐานแห่งชีวิต
นั่นคือ โปรตีน
ผลประโยชน์คืออะไร ?
การศึกษามากมาย แสดงให้เห็นว่า
การเกาะเกี่ยวของวิตามินและเกลือแร่กับโปรตีน -
ดังเช่นที่พบอยู่ในอาหารธรรมชาติ
เอื้ออำนวยให้โภชนาหารดังกล่าวถูกนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่าเหตุใดโภชนาหารในสภาวะอาหารจึงมีประสิทธิภาพกว่าอย่างมากมาย
จากการศึกษาวิจัยต่างๆมีข้อสรุปว่า
การดูดซับสู่ร่างกายมีประสิทธิภาพมากกว่า5 เท่าตัว การคงอยู่(retention)
และการปรากฏปริมาณสารอาหารในเนื้อเยื่อ มีประสิทธิภาพกว่าถึง 16 เท่า
ดังนั้น
จึงทำให้เกิดโภชนาหารสำรองที่มีศักยภาพอย่างสูงที่ร่างกายสามารถให้สอยได้ในยามต้องการ
โภชนาหารในสภาวะอาหาร = ประโยชน์ มหาศาล เพียงบริโภคด้วยปริมาณจำกัด
รับประกันความพึงพอใจ 100%
โภชนาหารในสภาวะอาหาร
.
จากรายงานสถิติที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เผยว่า ผู้ใหญ่ทุกๆ 1 ใน 3 คน
และเยาวชนคนหนุ่มสาวทุกๆ 1 ใน 5 คน (อายุ 15 25 ปี)
รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดเป็นประจำ ดังนั้น
จึงชอบด้วยเหตุผลสำหรับพวกเราที่จะต้องซื้อหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประสิทธิภาพที่สุด(รวมถึงความคุ้มค่าด้านราคา)
ที่เหมาะแก่ความจำเป็นของเรา
เราทุกคนต่างก็ตระหนักว่า
เราควรได้มาซึ่งวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นเหล่านี้ทั้งหมดจากอาหารอินทรีย์
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุแห่งการเสื่อมโทรมของแร่ธาตุในดิน ปัญหาสิ่งแวดล้อม
อาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงมาก และการผลิตพืชอาหารโดยเร่งการเติบโต ฯลฯ
พวกเราส่วนใหญ่จึงต่างยอมรับกันว่า
เราจำเป็นต้องบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะเราต้องการปัจจัยความปลอดภัยเพื่อการคุ้มครองหรือปัองกันเพิ่มเติม
จากความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ในการแยกโมเลกุลของวิตามิน
โมเลกุลของวิตามินบริสุทธิ์จึงถูกแยกออกจากแหล่งที่มาที่เป็นธรรมชาติ
หรือ มิฉะนั้น ก็ถูกสร้างขึ้นจากแหล่งที่พึงหาได้ในเชิงพาณิชย์ เช่น
กลูโคส อย่างไรก็ตาม
วิธีการทั้งสองกรณีจะทำให้ส่วนประกอบที่เกาะติดอยู่กับวิตามินโดยธรรมชาติถูกกำจัดออกไปและทำให้ความสามารถในการซึมซับสู่ร่างกายและอรรถประโยชน์ของวิตามินถูกบั่นทอนลง
โภชนาหารในสภาวะอาหาร(Food State nutrients)
เริ่มต้นด้วยโมเลกุลของวิตามินและเกลือแร่ที่มีในเชิงพาณิชย์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โดยผ่านกระบวนเฉพาะพิเศษ
โภชนาหารจะถูกเชื่อมประสานหรือฝังตัวเข้ากับโปรตีนที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ
จากนั้นวิตามินและเกลือแร่จะถูกผนวกรวมตัวกลางทางโภชนาการ(nutritional
medium) แล้วนำไปเป็นอาหารเลี้ยงยีสต์ที่มีชีวิต ผลลัพท์ที่ได้จากกระบวนการนี้ก็คือโภชนาหารในสภาวะอาหารที่บรรจุไว้ด้วยโปรตีนเชิงซ้อน(complex
protein)
โปรตีน chaperone ที่มีอยู่ในอาหารและโภชนาหารในสภาวะอาหารโดยกำเนิด
เป็นตัวเชื่อมโยงที่สำคัญสำหรับวิธีการที่ร่างกายซึมซับ ส่งผ่าน เก็บกัก
และดูดกลืนโภชนาหาร
การค้นพบที่มีผลชี้ชัดเกี่ยวกับการส่งผ่านโภชนาหารเข้าสู่เซลล์ได้รับการประกาศขึ้นที่มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไรนา
มหาวิทยาลัยจอห์นฮอพกิน และมหาวิทยาลัยมิชิแกน เมื่อปีที่ผ่านมา
ผลการค้นพบของสถาบันเหล่านี้ชี้ว่า โภชนาหาร
ไม่ได้ล่องลอยไปทั่วร่างกายเพื่อค้นหาเซลล์ที่ต้องการ
แต่มันจะถูกขนส่งเข้าไปด้วยโปรตีน chaperone
ผ่านกระบวนการเคมีที่หนุนช่วย
และตรงเข้าสู่ตำแหน่งที่แน่นอนเพื่อการใช้ประโยชน์ภายในเซลล์
ดร.โธมัส วี โอ ฮอลโลแรน ศาสตราจารย์ทางเคมีแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น
ได้กล่าวไว้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ โภชนาหารในสภาวะอาหาร ว่า :
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
มนุษย์ถูกกำหนดให้ได้รับโภชนาหารจากอาหาร
ความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อุบัติขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนข้อบัญญัตินี้
ด้วยการแยกสิ่งที่ทึกทักกันว่าเป็น
ส่วนที่มีค่าที่สุดของอาหารออกมา(เช่นวิตามิน ซี)
แต่ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ส่วนที่ถูกแยกออกมาเหล่านี้ ที่เรียกว่า
โภชนาหารในสภาวะอิสระ(free-state nutrients)ที่ เป็นธรรมชาติ
ได้บรรจุไว้เพียงเศษเสี้ยวของปัจจัยที่เป็นคุณประโยชน์
ที่จะได้รับจากอาหาร และ โภชนาหารในสภาวะอาหาร
จากงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นอิสระกว่า 80 ชิ้น มีข้อสรุปว่า
โภชนาหารในสภาวะอาหาร มีประสิทธิภาพเหนือวิตามินและเกลือแร่อนินทรีย์ที่มีอยู่ในท้องตลาดมากกว่า
5 เท่า และร่างกายสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่า 16 เท่า
เพราะโภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ถูกดูดซึมได้ง่ายเหมือนอาหารและยังคงอยู่ในร่างกายได้นานกว่าวิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ในตลาด
ปริมาณการบริโภคที่ต้องการจึงไม่มาก
คดีความ 3 ล้านเหรียญ
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ที่ศาลเขตแคลิฟอร์เนีย
นักวิทยาศาสตร์ขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ(FDA)ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติและมีความเป็นกลางจำนวน
5 คน
ถูกมอบหมายให้ทำการตรวจสอบโครงสร้างโมเลกุลของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารฟู้ดแมทริกซ์
โดยให้ทำการวิเคราะห์ผลและส่งผลการค้นพบขึ้นสู่ศาล ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์
1993 ผู้พิพากษาศาลเขตแคลิฟอร์เนีย
ได้ใช้พิพากษาให้การกล่าวอ้างสรรพคุณดังต่อไปนี้ สามารถกระทำได้ :
โภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ดีกว่าโภชนาหารแบบ isolated USP
โภชนาการฟู้ดแมทริกซ์ถูกดูดซึม คงอยู่ และใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าโภชนาหาร
USP
โภชนาหารฟู้ดแมทริกซ์ผลิตขึ้นภายใต้กระบวนการที่เป็นกรรมสิทธิ์
|