ข้อเท็จจริง
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลน่าที่ชาเปลฮิลล์ พบ่วา "
โรคเบาหวานแบบที่ 2
กำลังจะกลายเป็นโรคระบาดระดับชาติ "
มีการคาดประมาณว่า ประชากรอเมริกัน 16
ล้านคน เป็นโรคเบาหวาน โดย 11
ล้านคนคือผู้ที่ผ่านการยืนยันจากการวินิจฉัยแล้ว ขณะที่อีก
5 ล้านคนยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้
แต่ละวันมีประชากรประมาณ 2,200 คน
ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน และในปีนี้คาดว่าประชากร
798,000 คน
จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้
เบาหวาน เป็นสาเหตุแห่งการตายด้วยโรคที่สูงเป็นอันดับหกในสหรัฐ
ข้อมูลจากใบมรณะบัตรแสดงว่าเบาหวานนำมาซึ่งความตายของประชาชนจำนวน
198,140 คนในปี
1996 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจริงจะสูงขึ้นมาก เนื่องจาก มีอีกนับพัน ๆ
คนที่เสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวพันกับเบาหวาน เช่น โรคไต
โรคหัวใจหรือโรคลมปัจจุบัน (stroke)
เบาหวาน เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงสุดในสหรัฐ
ค่าดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวพันโดยตรงกับเบาหวาน
มีมูลค่าประมาณ 98 พันล้านเหรียญในแต่ละปี
หรือคิดเป็นประมาณ 268 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
ผู้ป่วยเป็นเบาหวานแบบ 2
มีการผลิตอินซูลินขึ้นมาแต่เซลล์ในร่างกายของพวกเขามีการ ต่อต้านอินซูลิน
การสนองตอบของเซลล์อย่างไม่ถูกต้องต่อฮอร์โมนชนิดนี้
ทำให้มีกลูโคสสะสมอยู่ในกระแสโลหิต ผู้ที่เป็นเบาหวานแบบที่
2 บางคน ต้องฉีดอินซูลิน
แต่ส่วนใหญ่สามารถควบคุมโรคนี้โดยผ่านวิธีการผสมผสานด้วยการลดน้ำหนัก
ออกกำลังกาย การให้ยารักษาอาการเบาหวาน การปรับปรุงโภชนาการ
และการเสริมโภชนาการ
ความหมาย
เบาหวาน คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้ อินซูลิน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแป้ง น้ำตาล และอาหารอื่น ๆ
ให้เป็นพลังงานที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
เบาหวานแบบที่
1
เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันโรคภายในตัวเอง (autoimmune
disease) อันเกิดจากการที่ร่างกายไม่ทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินเลย
เบาหวานแบบ 1 เคยมีชื่อเรียกว่า เบาหวานที่เกิดกับคนวันเยาว์
(juvenileonset diabetes)
แต่ชื่อนี้ยกเลิกไปเพราะเบาหวานแบบ 1
สามารถเกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เหมือนๆกัน ผู้ที่เป็นเบาหวานแบบ 1
ต้องได้รับการฉีดสารอินซูลินทุกวัน
เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติและมีชีวิตอยู่ได้
คนที่เป็นเบาหวานประเภทนี้มีสัดส่วน 5 10 %
ของผู้ที่เป็นเบาหวานทั้งหมด
เบาหวานแบบที่
2
เบาหวานแบบที่ 2
เกิดจากการผิดปกติของระบบเผาผลาญพลังงาน
อันเป็นผลจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งนับเป็นรูปแบบสามัญที่สุดของโรค และมีสัดส่วนผู้ที่เป็นแบบนี้ประมาณ
90 95 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด
ผู้ป่วยเป็นเบาหวานแบบ 2
มีการผลิตอินซูลินขึ้นมาแต่เซลล์ในร่างกายของพวกเขามีการ ต่อต้านอินซูลิน
การสนองตอบของเซลล์อย่างไม่ถูกต้องต่อฮอร์โมนชนิดนี้
ทำให้มีกลูโคสสะสมอยู่ในกระแสโลหิต ผู้ที่เป็นเบาหวานแบบที่
2 บางคน ต้องฉีดอินซูลิน
แต่ส่วนใหญ่สามารถควบคุมโรคนี้โดยผ่านวิธีการผสมผสานด้วยการลดน้ำหนัก
ออกกำลังกาย การให้ยารักษาอาการเบาหวาน การปรับปรุงโภชนาการ
และการเสริมโภชนาการ
สัญญาณเตือนภัย
ของเบาหวานแบบที่ 2
น่าเสียดายที่คนเป็นเบาหวานแบบที่ 2
มักจะไม่ปรากฎอาการจนกระทั่งโรคร้ายได้พัฒนาตัวเองไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม
เราอาจสังเกตได้จากสัญญาณเตือนภัย ดังรายการต่อไปนี้
ปัสสาวะบ่อย
กระหายน้ำอย่างผิดปกติ
หิวง่าย
อ่อนเพลียจัด
ฉุนเฉียวง่าย
ปวดเสียว /ชาที่มือและเท้า
แผล /รอยฟกช้ำหายยาก
เกิดอาการติดเชื้อบ่อยๆ
ตาพร่ามัวลง
การติดเชื้อที่ผิวหนัง เหงือก หรือกระเพาะปัสสาวะ เกิดขึ้นซ้ำซาก
โรคแทรกซ้อน
ตาบอด อันเนื่องจากโรคของเรติน่าที่เกิดจากเบาหวาน
(diabetic retinopathy)
ซึ่งในแต่ละปีประชากร 13,000 23,000
คนต้องสูญเสียการมองเห็นเพราะเบาหวาน
และโรคนี้ก็กำลังเป็นสาเหตุนำของการตาบอดในคนอายุ
20 74 ปี
โรคไต อันเกิดจากเบาหวาน (diabetic nephropathy)
โดยจำนวนผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประมาณ 10 21 %
จะพัฒนากลายเป็นโรคไต ทั้งนี้ diabetic
nephropathy นับเป็นสาเหตุสามัญของอาการไตวายขั้นสุดท้ายส่วนใหญ่
อันเป็นสภาวะที่ผู้ป่วยต้องไตหรือเปลี่ยนไตเพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดได้
โรคหัวใจและสมองขาดเลือดหล่อเลี้ยง
(Heart Desease and stroke)
คนที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหัวใจหรือโรคสมองขาดเลือดเพิ่มขึ้น
2 4 เท่าตัว (มีคนตายด้วยโรคหัวใจกว่า
80 , 000 คนในแต่ละปี)
โรคเกี่ยวกับเส้นประสาทและการสูญเสียแขนขา
(amputation) ประมาณ
60% 70 %
ของคนที่เป็นเบาหวานจะเกิดปัญหาเซลล์ประสาทถูกทำลายตั้งแต่ระดับเบาบางจนถึงรุนแรง
ซึ่งในแบบที่รุนแรง สามารถนำสู่ความจำเป็นที่จะต้องตัดขาทิ้ง
โดยความเสี่ยงของการสูญเสียขาของคนที่เป็นเบาหวานจะมีสูงกว่าถึง
20 40 เท่า แต่ละปีมีประชากร
56,200
คนต้องสูญเสียเท้าหรือขาเนื่องจากเบาหวาน การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
อันเนื่องจากอาการทางเซลล์ประสาทอันเนื่องจากเบาหวาน(diabetic
neuropathy) หรือจากการอุดตันของหลอดเลือด
จากผู้ชายที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานแบบที่ 2 จะปรากฎอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศประมาณ
10% นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า
ชายผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานที่มีอายุเกิน 50
ปี จะมีอัตราการเป็นโรคนี้สูงถึง 50 60%
การตั้งครรภ์
สตรีมีครรภ์
ต้องการอินซูลินเพิ่มกว่าปกติ
เพราะร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนชนิดที่มีผลต่อต้านอินซูลินเพิ่มขึ้น
สำหรับสตรีที่เป็นเบาหวาน
การควบคุมกลูโคสในเลือดให้ดีที่สุดก่อนการปฏิสนธิและตลอดระยะตั้งครรภ์
นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อสุขภาพทารกและมารดา
น้ำหนักเกินขนาด ประมาณ 40%
ของสตรีที่มีน้ำหนักเกินขนาดก่อนตั้งครรภ์จะพัฒนาเป็นโรคเบาหวานแบบ
2 ภายใน 4
ปี
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเชื่อว่า
เบาหวานจะกลายเป็นโรคอันเกี่ยวพันกับแบบแผนการใช้ชีวิตที่สำคัญมากในอนาคต
ที่จะแพร่ระบาดสร้างปัญหาแก่สหรัฐฯ
ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งโดยแพทย์จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
(CDC) เมื่อเร็วๆนี้
ได้ทำให้ประชาชนตื่นตะลึงจากการค้นพบว่ากรณีการเจ็บป่วยด้วยเบาหวานที่มีผลการวินิจฉัยยืนยันแล้ว
ได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 8 ปีก่อนถึง
33% เรื่องนี้ ดร. แฟร้งค์ วินิคอร์
ผู้อำนวยการหน่วยเบาหวานของ CDC กล่าวว่า
เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้มาก
เนื่องจากยังมีกรณีที่ไม่เคยผ่านการวินิจฉัยซี่งสะสมเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
ตัวเลขสถิติที่แสดงสัญญาณอันตรายที่สุดจากการศึกษาของ
CDC
มีการแยกย่อยตัวเลขการป่วยออกตามช่วงอายุ ซึ่งในช่วงเวลา
8 ปี คนที่มีอายุ
40 ปีขึ้นไปอัตราการเกิดเบาหวานได้เพิ่มขึ้นถึง
40% และสำหรับคนที่อายุ
30 40 ปี การเกิดเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็น
70%
ความอ้วนเกินไป (Obesity)
แทบจะเป็นสาเหตุสำคัญสุดหนึ่งเดียวของเบาหวานแบบ ที่
2 เนื่องจาก เกือบ
80% ของคนที่เป็นเบาหวานแบบ 2
มีน้ำหนักเกินขนาด การมีไขมันส่วนเกินในร่างกายมากเกินไป
ก่อให้เกิดการต่อต้านอินซูลินด้วยเหตุผลบางประการ อย่างไรก็ตาม
การสะสมของน้ำหนักส่วนเกินบนร่างกายในบริเวณใด
มีความสำคัญพอๆกับขนาดของส่วนเกินว่ามีมากเพียงใด ทั้งนี้
ผู้ที่สะสมไขมันบนส่วนของร่ายกายที่อยู่เหนือสะโพกขึ้นไป (รูปแอ้ปเปิ้ล)
จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานแบบ 2
มากกว่าผู้ที่สะสมไขมันที่บริเวณตั้งแต่สะโพกลงมา (รูปลูกแพร)
นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้บัญญัติใหม่เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า
Syndrome X
ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยประการหนึ่งของโรคเบาหวาน
พันธุกรรม โรคเบาหวานมักเกิดกับคนในครอบครัวเดียวกัน
ปัจจัยด้านน้ำตาล
กินอาหารไขมันต่ำ ทำไมยังป่วย ?
การบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น 50% ในรอบ
10 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉลี่ยแต่ละคนบริโภคน้ำตาลประมาณ 170
ปอนด์ (300,000 แคลอรี่) ในแต่ละปี
ในปี 1997 แต่ละคนจะบริโภคน้ำอัดลมขนาด
12 ออนซ์ จำนวน
580 กระป๋อง
เพียงเดินผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต หรือสำรวจเมนูอาหารในร้านฟ้าสฟู้ด
คุณจะพบน้ำตาลอยู่ทุกหนแห่ง นับจาก ซอฟท์ดริ้งขนาดใหญ่
ไปจนถึงธัญพืชอาหารเช้า
การหันเข้าหาอาหารไขมันต่ำยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
เพราะเมื่อผู้ผลิตลดไขมันลง
พวกเขาก็กลับเพิ่มประมาณน้ำตาลเพื่อช่วยปรับปรุงรสชาติ
จะแก้ไขอย่างไร ?
ปัจจุบัน
คนอเมริกันส่วนใหญ่สามารถปกป้องตนเองได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของพวกเขา
แม้แพทย์จะระบุว่าไม่มียารักษาโรคเบาหวานก็ตาม
โดยข้อปฏิบัติต่อไปนี้คือข้อแนะนำที่สำคัญ :
ออกกำลังกาย
ปรับปรุงโภชนาการ
ลดปริมาณการบริโภคน้ำตาล
การเสริมโภชนาหาร
คาร์โบโทน™
สนับสนุนการกอบกู้วิกฤตการณ์ของวันนี้!
วิกฤตการณ์ด้านสุขภาพที่สำคัญ 2
ประการที่ชาวอเมริกันกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ ความอ้วน
และโรคเบาหวาน สปอร์ตทรอน
ซึ่งได้รับการยอมรับในความเป็นผู้นำของโลกด้านโภชนาหาร
ได้สรรค์สร้างความก้าวหน้าอย่างสำคัญยิ่งด้วยการหนุนเสริมทางโภชนาการเพื่อต่อต้านปัญหาความกดดันด้านสุขภาวะเหล่านี้
นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียงของโลก ดร.อลัน ทอมสินสัน
ได้กล่าวไว้เมื่อเร็วๆนี้ที่ Wellness Symposium
ว่า คาร์โบโทน™ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารล้ำสมัยที่พัฒนาขึ้นด้วยหลักการทางวทิยาศาสตร์
เพื่อแทรกแซงและช่วยเหลือในกรณีความผิดปกติต่างๆของกระบวนการการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย
ดร. เอริค เลเวลิน
แพทย์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูง กล่าวว่า
ช่วง 30 ปี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
ผมไม่เคยเห็นผลิตภัณฑ์ใดที่จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานแบบ
2 อย่างมากมายมาก่อน ดังนั้นคาร์โบโทน™
จะมอบความหวังแก่ผู้คนทั่วโลกจำนวนนับล้านๆ คน
วิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง คาร์โบโทน
คาร์โบโทน ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของโลกสองประการ นั่นคือ ฟู้ดแมทริกซ์
(FOOD Matrix™) และ ไซโตโคโลย ี(Phytocology™)
กลูโคซอล™(Glucosol)
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในคาร์โบโทน คือ กลูโคซอล (Glucosol™)
ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาพื้นบ้านในเอเซียที่ผ่านการทดสอบด้วยระยะเวลาอันยาวนานนับศตวรรษ
โดยใช้ช่วยการควบคุมอาหารเพื่อรักษาทรวดทรง ใช้ควบคุมความดันโลหิตสูง
แก้โรคแผลในปาก และแก้อาการเจ็บปวดในช่องท้อง สารออกฤทธิ์ของกลูโคโซลที่รู้จักกัน
คือ กรดโคโรโซลิค (corosolic acid)
ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่ามีผลในการช่วยส่งผ่านกลูโคส โดยกรดโคโรโซอิคจะกระตุ้นให้เกิดกระสวยที่ช่วยจับโมเลกุลของกลูโคสแล้วส่งผ่านสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน
จึงทำให้ระดับกลูโคสในเลือดมีความเหมาะสม
ผลการศึกษากับคนไข้ที่ Institute of Biomedical
Research ใน Fradenton
รัฐฟลอริดามีผลสรุปว่า หลังผ่านไป 30 วัน
ระดับกลูโคสในเลือดโดยเฉลี่ยลดลง 31.9%
เมื่อคนไข้ได้รับกลูโคซอล ขนาด 48 มก.
ทุกวัน
จากการศึกษาในผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน บ่งชี้ว่า
ระดับกลูโคสในเลือดไม่ได้รับผลกระทบจากการเสริมกลูโคซอล ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
กลูโคซอลมีความปลอดภัย โดยปราศจากผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ประโยชน์ของกลูโคซอล™
จากผลการทดลองกับผู้ป่วย
ลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานแบบที่ 2
การทำงานของกลไกความจำดีขึ้น
ทำให้ภาวะสมดุลของน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานแบบ
2 กลับคืนมา
ลดน้ำหนัก โดยผู้เข้ารับการทดลอง น้ำหนักลดลงเฉลี่ย
4.8 ปอนด์ใน 30
วัน
ฟู้ดแมทริกซ์™โครเมียม
สารออกฤทธิ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งในคาร์โบโทน คือ ฟู้ดแมทริกซ์โครเมี่ยม
โดยโครเมียม จะได้จากยีสต์โดยใช้เทคโนโลยีฟู้ดแมทริกซ์ของสปอร์ตทรอน
นับเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดของโครเมี่ยม เพราะจะเป็นการบรรจุโครเมี่ยมไว้ในสถานะที่เป็น
Glocose Tolerance Factor (GTF) โดย GTF
มีประสิทธิภาพกว่าโครเมี่ยมในรูปแบบอื่นๆ ถึง
50 เท่า และดูดซึมได้ง่ายกว่า
20 เท่า
การศึกษาบ่งชี้ว่า GTF
กระตุ้นการทำงานของอินซูลินโดยตรง
ด้วยการผูกโยงเข้ากับตัวอินซูลินเองและกับตัวรับอินซูลินโดยเฉพาะ
(specific insulin receptor) เมื่อโครเมี่ยมถูกนำไปเสริมอาหารในรูป
GTF และเข้าไปทำปฏิกิริยาในร่างกาย
มันจะนำมาซึ่งผลต่อไปนี้
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยส่งเสริมให้เกิดการนำไปใช้ในกล้ามเนื้อและอวัยวะ
กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน
ลดระดับไขมันในเลือด
ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
เพิ่มไขมัน HDL
ลดอาการการแข็งตัวของเส้นเลือดแดงใหญ่ (arteriosclerosis)
กระตุ้นการผลิตสารที่จำเป็นต่อเซลล์ประสาท
เพิ่มความต้านทานการติดเชื้อ
กระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีน
ระงับอาการหิวผ่าน ศูนย์ความต้องการ (satiety
center) ของสมอง
การทำงานขององค์ประกอบอื่นๆ
ฟาซิโอลามิน(Phaseolamin) : ช่วยสกัด
ยับยั้ง และป้องกันไม่ให้คาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นไขมัน
วานาเดียมและโมลิบเดนัม : ช่วยการเผาผลาญน้ำตาล โดยวานาเดียมจะเลียนแบบการทำงานของอินซูลินในการออกซิไดซ์กลูโคส