หมวด ๘
ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
มาตรา ๕๘
ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ
การเงิน และทรัพย์-สิน
ทั้งจากรัฐองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น บุคคล
ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชนเอกชน
องค์กร เอกชน
องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา
สถานประกอบการ
สถาบันสังคมอื่น
และต่างประเทศมา
ใช้จัดการศึกษาดังนี้
(๑)
ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา
โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษา
ได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
(๒) ให้บุคคล
ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชน
องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา
สถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่น
ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา
โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วม
ในการจัดการศึกษา
บริจาคทรัพย์สิน
และทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษาและมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่าย
ทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น
ทั้งนี้
ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ส่งเสริมและให้แรงจูงใจในการระดมทรัพยากรดังกล่าว
โดยการสนับสนุน
การอุดหนุนและใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี
ตามความเหมาะสมและความจำเป็น
ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๕๙ ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
มีอำนาจในการปกครอง
ดูแล บำรุงรักษา
ใช้และจัดหาผลประโยชน์
จากทรัพย์สินของสถานศึกษา
ทั้งที่เป็นที่ราชพัสดุ
ตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ
และที่เป็นทรัพย์สินอื่นรวมทั้งจัดหารายได้
จากบริการของสถานศึกษา
และเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ไม่ขัดหรือแย้งกับนโยบาย
วัตถุประสงค์และภารกิจหลักของ
สถานศึกษา
บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลได้มาโดยมีผู้อุทิศให้
หรือโดยการซื้อหรือแลกเปลี่ยนจากรายได้
ของสถานศึกษา
ไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ
และให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถานศึกษา
บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
รวมทั้งผลประโยชน์เกิดจากที่ราชพัสดุ
เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา
และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อทรัพย์สินหรือจ้างทำของที่ดำเนินการ
โดยใช้เงินงบประมาณไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการ
งบประมาณ
บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่ไม่เป็นนิติบุคคล
รวมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ราชพัสดุ
เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา
และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อทรัพย์สินหรือจ้างทำของที่ดำเนินการ
โดยใช้งบประมาณให้สถานศึกษาสามารถจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้นๆ
ได้ตามระเบียบ
ที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา ๖๐ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความสำคัญสูง-สุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ของประเทศ
โดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา
ดังนี้
(๑)
จัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมแก่ผู้เรียนการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่จัดโดยรัฐและเอกชนให้เท่าเทียมกัน
(๒)
จัดสรรทุนการศึกษาในรูปของกองทุนกู้ยืมให้แก่ผู้เรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยตามความเหมาะสม
และความจำเป็น
(๓)
จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษให้เหมาะสม
และสอดคล้องกับความจำเป็นในการจัดการศึกษา
สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการเป็นพิเศษแต่ละกลุ่มตามมาตรา
๑๐ วรรคสอง วรรคสาม
และวรรคสี่
โดยคำนึงถึงความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและความเป็นธรรมทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ในกฎกระทรวง
(๔)
จัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการ
และงบลงทุนให้สถานศึกษาของรัฐตามนโยบายแผนพัฒนาการศึกษา
แห่งชาติ
และภารกิจของสถานศึกษา
โดยให้มีอิสระในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษา
ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงคุณภาพและความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษา
(๕)
จัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
และเป็นสถานศึกษาในกำกับของรัฐหรือองค์การมหาชน
(๖)
จัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำให้สถานศึกษาเอกชน
เพื่อให้พึ่งตนเองได้
(๗)
จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของรัฐและเอกชน
มาตรา ๖๑
ให้รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่โดยบุคคล
ครอบครัว องค์กรชุมชน
องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา
สถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่น
ตามความเหมาะสมและความจำเป็น
มาตรา ๖๒
ให้มีระบบการตรวจสอบ
ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผล
การใช้จ่ายงบประมาณ
การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการศึกษา
แนวการจัดการศึกษาและคุณภาพมาตรฐานการศึกษา
โดยหน่วยงาน
ภายในและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบภายนอกหลักเกณฑ์
และวิธีการในการตรวจสอบ
ติดตามและการประเมิน
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
[หมวด ที่ 1] [หมวด ที่ 2] [หมวด ที่ 3] [หมวด ที่ 4]
[หมวด ที่ 5] [หมวด ที่ 6] [หมวด ที่ 7] [หมวด ที่ 8] [หมวด ที่ 9] [บทเฉพาะกาล]