บทเฉพาะกาล
มาตรา ๗๐
บรรดาบทกฎหมาย กฎ
ข้อบังคับ ระเบียบ
ประกาศ
และคำสั่งเกี่ยวกับ
การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
บังคงใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าจะได้มีการดำเนินการ
ปรับปรุงแก้ไขตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๗๑
ให้กระทรวง ทบวง กรม
หน่วยงานการศึกษา
และสถานศึกษาที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับยังคงมีฐานะและอำนาจหน้าที่เช่นเดิม
จนกว่าจะได้มีการจัดระบบการบริหารและการจัดการ
ศึกษาตามบทบัญญัติ แห่งพระราชบัญญัตินี้ซึ่งต้องไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๗๒
ในวาระเริ่มแรก
มิให้นำบทบัญญัติ มาตรา
๑๐ วรรคหนึ่ง และมาตรา
๑๗ มาใช้บังคับจนกว่าจะมีการ
ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว
ซึ่งต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยใช้บังคับ
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการออกกฎกระทรวงตามมาตรา
๑๖ วรรคสอง และวรรคสี่ให้แล้วเสร็จภายในหกปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้กระทรวงจัดให้มีการประเมินผลภายนอกครั้งแรกของสถานศึกษาทุกแห่ง
มาตรา ๗๓
ในวาระเริ่มแรก
มิให้นำบทบัญญัติในหมวด
๕
การบริหารและการจัดการศึกษา
และหมวด ๗ ครู คณาจารย์
และบุคลากรทางการศึกษา
มาใช้บังคับจนกว่าจะได้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติในหมวดดังกล่าว
รวมทั้งการ
แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติครู
พุทธศักราช ๒๔๘๘
และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู
พ.ศ. ๒๕๒๓
ซึ่งต้องไม่เกิน
สามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๗๔
ในวาระเริ่มแรกที่การจัดตั้งกระทรวงยังไม่แล้วเสร็จ
ให้นายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง
ระเบียบ และประกาศ
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของตน
เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ต้องดำเนินการก่อนที่การจัดระบบบริหาร
การศึกษาตามหมวด ๕
ของพระราชบัญญัตินี้จะแล้วเสร็จ
ให้กระทรวงศึกษาธิการ
ทบวงมหาวิทยาลัย
และคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ทำหน้าที่กระทรวงการศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรมตามพระราชบัญญัตินี้
โดยให้ทำหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี
มาตรา ๗๕
ให้จัดตั้งสำนักงานปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นองค์การมหาชนเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
ที่ออกตามความในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนเพื่อทำหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑)
เสนอการจัดโครงสร้าง
องค์กร
การแบ่งส่วนงานตามที่บัญญัติไว้ในหมวด
๕ ของ พระราชบัญญัตินี้
(๒)
เสนอการจัดระบบครู
คณาจารย์
และบุคลากรทางการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด
๗ ของพระราชบัญญัตินี้
(๓)
เสนอการจัดระบบทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด
๘ ของพระราชบัญญัตินี้
(๔)
เสนอแนะเกี่ยวกับการร่างกฎหมายเพื่อรองรับการดำเนินการตาม
(๑) (๒) และ (๓) ต่อคณะรัฐมนตรี
(๕)
เสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ
และคำสั่งที่บังคับใช้อยู่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กับการดำเนินการตาม (๑) (๒)
และ (๓)
เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัตินี้ต่อคณะรัฐมนตรี
(๖)
อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนทั้งนี้
ให้คำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน
ประกอบด้วย
มาตรา ๗๖
ให้มีคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษาจำนวนเก้าคน
ประกอบด้วยประธานกรรมการและ
กรรมการ
ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความสามารถ
มีประสบการณ์
และมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา
การบริหารรัฐกิจ
การบริหารงานบุคคล
การงบประมาณ การเงินและการคลัง
กฎหมายมหาชน และกฎหมายการศึกษา
ทั้งนี้
จะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ
ซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐรวมอยู่ด้วย
ไม่น้อยกว่าสามคน
ให้คณะกรรมการบริหารมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาและแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการตามที่คณะ
กรรมการบริหารมอบหมายได้
ให้เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปการศึกษา
เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการบริหาร
และบริหารกิจการ ของสำนักงานปฏิรูปการศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหาร
คณะกรรมการบริหารและเลขาธิการมีวาระการดำรงตำแหน่งวาระเดียวเป็นเวลาสามปี
เมื่อครบวาระแล้วให้ยุบ
เลิกตำแหน่งและสำนักงาน
ปฏิรูปการศึกษา
มาตรา ๗๗
ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษาคณะหนึ่งจำนวนสิบห้าคน
ทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการบริหารจำนวนสองเท่าของจำนวนประธานและกรรมการบริหาร
เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้ง
ประกอบด้วย
(๑)
ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนห้าคน
ได้แก่
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
(๒)
อธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนที่เป็นนิติบุคคล
ซึ่งคัดเลือกกันเองจำนวนสองคน
และคณบดีคณะครุศาสตร์
ศึกษาศาสตร์
หรือการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนที่มีการสอนระดับปริญญาในสาขาวิชาครุศาสตร์
ศึกษาศาสตร์
หรือการศึกษา
ซึ่งคัดเลือกกันเองจำนวนสามคน
ในจำนวนนี้จะต้องเป็นคณบดีคณะครุศาสตร์
ศึกษาศาสตร์
หรือการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐ
ไม่น้อยกว่าหนึ่งคน
(๓)
ผู้แทนสมาคมวิชาการ
หรือวิชาชีพด้านการศึกษาที่เป็นนิติบุคคล
ซึ่งคัดเลือกกันเองจำนวนห้าคนให้คณะกรรมการสรรหาเลือกกรรมการสรรหาคนหนึ่ง
เป็นประธานกรรมการ และเลือกกรรมการสรรหาอีกคนหนึ่ง
เป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหา
มาตรา ๗๘
ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานปฏิรูปการศึกษา
และมีอำนาจ
กำกับดูแลกิจการของสำนักงานตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน
นอกจากที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานปฏิรูปการศึกษา
อย่างน้อยต้อง
มีสาระสำคัญ
ดังต่อไปนี้
(๑) องค์ประกอบ
อำนาจหน้าที่
และวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารตามมาตรา
๗๕ และมาตรา ๗๖
(๒) องค์ประกอบ
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา
หลักเกณฑ์
วิธีการสรรหาและการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร
ตามมาตรา ๗๗
(๓)
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามรวมทั้งการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารเลขาธิการ
และเจ้าหน้าที่
(๔) ทุน รายได้
งบประมาณ และทรัพย์สิน
(๕)
การบริหารงานบุคคล
สวัสดิการ
และสิทธิประโยชน์อื่น
(๖) การกำกับดูแล
การตรวจสอบ
และการประเมินผลงาน
(๗) การยุบเลิก
(๘) ข้อกำหนดอื่น ๆ
อันจำเป็นเพื่อให้กิจการดำเนินไปได้โดยเรียบร้อย
และมีประสิทธิภาพ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้รัฐ ต้องจัดการศึกษาอบรม และสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับ การศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริมความรู้และ ปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่างๆ เร่งรัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งในการจัดการศึกษาของรัฐให้คำนึงถึง การมีส่วนร่วมขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน ตามที่กฎหมายบัญญัติและให้ความคุ้มครอง การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐดังนั้นจึงสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการ ศึกษาแห่งชาติ เพื่อเป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและจัดการการศึกษาอบรมให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[หมวด ที่ 1] [หมวด ที่ 2] [หมวด ที่ 3] [หมวด ที่ 4]
[หมวด ที่ 5] [หมวด ที่ 6] [หมวด ที่ 7] [หมวด ที่ 8] [หมวด ที่ 9] [บทเฉพาะกาล]
mail to kenkap@chaiyomail.com