Main Page

Mae Hong Son Big Trip

ประมวลภาพงาน Jazz Concert

Pimai & Panom Rung Historic Park

Chiang Rai trip

Pitsanulok & Pichit trip

Mini Siam trip

Rayong's orchard trip

Phuket trip

Thailand Map & Our Travel routes

About Me

โปรดสละเวลาลงนามในสมุดเยี่ยมชมหน่อยครับ

Email Me

Counter
Since July 12, 2003

Date : November |22| |23| |24| |25| |26| |27| |28| |29| |30|, 2003


November 25, 2003 ... Part |1| |2| |3| |4|
Fourth day ... Go to Wat Phra Non before leaving Mae Hong Son City ,Thampla & Phasue National Park ,Pra Tamnuk Pang Tong and Ruam Thai Village(Pang Ung).
วันที่สี่...แวะวัดพระนอนก่อนออกจากตัวเมือง ,เที่ยวอุทยานถ้ำปลา ,น้ำตกผาเสื่อ ,พระตำหนักปางตอง และเข้าหมู่บ้านรวมไทย(ปางอุ๋ง)

 

   

วันนี้เราตื่นนอนค่อนข้างสายเนื่องจากอากาศที่นี่เย็นสบายดีจนไม่อยากที่ตื่นเลย ตื่นประมาณแปดโมงครึ่ง ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ไปคืนกุญแจเพื่อเช็คเอาท์ เจ้าของถามว่าเราไปไปไหนต่อ เราบอกว่าขับไปยังเส้นทางปายเนื่องจากเรามาจากเส้นแม่เสรียงแล้ว จากนั้นจึงไปหาข้าวกินกัน โดยไปร้านเดิมเมื่อวานที่เคยไปกินก่อนจะไปรับใบประกาศ จำชื่อร้านไม่ได้แล้วแต่อยู่ติดถนนใหญ่ ผมสั่งข้าวมันไก่กับกาแฟร้อน ส่วนน้องซีก็สั่งก๋วยเตี๋ยวตามเคย

ท้องอิ่มแล้วก็เริ่มเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนจะจากตัวเมืองไป เราเริ่มด้วยวัดพระนอนที่ตั้งอยู่ก่อนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยกองมู

     
           
       

เดินขึ้นไปหน่อยก็จะเจอกับสิงห์ 2 ตัว ตัวผู้และตัวเมียสูง 3 เมตรยืนจังก้าอยู่พร้อมกับข้อความยินดีต้อนรับทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาพม่า

 
       
           
   
 

ทางเดินนาคราชขึ้นไปยังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ศิลปะพม่า

   
           
       
เดินตามทางนาคราชขึ้นไปทางด้านซ้ายจะมีห้องบรรจุพระพุทธรูปอยู่ภายใน มีกรงเหล็กดัดป้องกันอยู่ ฝาผนังด้านในประดับประดาลวดลายซะสวยงาม ข้างในคงมีอะไรสักอย่างที่สำคัญและมีค่าจึงไม่เปิดให้เข้าไปแถมป้องกันไว้อย่างดี
 
       
           
       
   
ุพระพุทธรูปออกแนวศิลปะพม่าประดิษฐานอยู่อย่างโล่งๆ ตากแดดตากฝน
       
           
       
ผมชอบแนวหลังคาของบรรดาวัดที่จังหวัดนี้ครับ เขาจะทำเป็นขั้นๆสูงขึ้นไปโดยรอบๆแต่ละชั้นก็มีลายฉลุ สวยงามดีครับ
 
       
           
   
 
พระพุทธรูปอีกวิวหนึ่งครับ สังเกตจะมีสิงห์ยืนเฝ้าอยู่ตลอด
   
           
       
หลังจากนั้นเราก็เข้าไปภายในวิหารวัดพระนอน มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์นอนอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นพระประธานของที่นี่ ความยาว 12 เมตร
 
       
   
   
 

อีกวิวหนึ่งเมื่อถ่ายจากระยะไกลเพื่อจะเก็บภาพความยาวของพระนอนองค์นี้ให้หมด

ประวัติคร่าวๆของวัดคือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ โดยพระนางเมียะ ชายาของพญาสิหนาทราชาและเป็นเจ้าครองเมืองแม่ฮ่องสอนองค์ที่ ๒ วัดนี้จัดได้ว่าเป็นวัดประจำตระกูลของเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองและชายาของทุกพระองค์

   
           
       
เดินเข้าไปในห้องพิพิทธภัณฑ์ของเก่าจะเจอกับสิ่งของเก่าๆมากมาย ไม่ว่่าจะเป็นเครื่องใช้ พระพุทธรูปจากพม่า ฯลฯ ผมเหลือบไปเห็นภาพใส่กรอบวิทยาศาสตร์อันหนึ่งซึ่งอ่านแล้วก็สะท้อนความเป็นไปของชีวิตได้ดีเลยครับ เขาเขียนว่า "อายุ 10 ปีอาบน้ำบ่หนาว 20 ปีเกี้ยวสาวบ่เบื่อ 30 เสือสู้ทุกท่า 40 ลาเมื่อก่อนไก่ 50 ไปนากลับมาทอดขลุ่ย 60 เป่าขลุ่ยบ่ดัง 70 เดินทางบ่ตรง 80 ลงดินบ่ได้ 90 ขี้ไหลบ่ฮู้ 100 ไข้ก็ตาย บ่ไข้ก็ตาย"
 
       
           
     
 

อีกภาพหนึ่ง อยากเอามาฝากกัน "กระต่าย เจ้ามันสัตว์น้อย เอ็งก็ด้อยกว่าข้า เจ้าก็ทรามต่ำช้า ข้านี่สิคน แกคน ก็คนป่า ชาวนาก็ต่ำตน แกมันสามัญชน แต่ไม่พ้นความตาย"

ทั้งสองรูปขอฝากไว้เตือนสติพวกเรานะครับ

     
           
       
เดินมารอบๆก็จะเจอกับสิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ พระพุทธรูป 5 องค์ เรียกว่า พระบัวเข็ม มี 5 องค์ ทำจากวัดพระบัวเข็มในทะเลสาปในเมืองไตประเทศพม่า รุ่น 2500 เท่าองค์จริง ที่มี 5 องค์นั้นหมายถึงพระเจ้า 5 พระองค์ องค์กลมๆอยู่ตรงกลางนั้น หมายถึง พระศรีอริยเมตตรัย ยังไม่ตรัสรู้ เนื่องจากมีคนปิดทองมาก หน้าตาขึงไม่ชัดเจน คนไทยใหญ่ถือว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์สามารถอำนวยโชคลาภ ความสุขความเจริญ คุ้มครอง และป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายแก่ผู้กราบไหว้บูชา ประดิษฐานเมื่อวันศุกร์ 10 สิงหาคม 2534
 
       
 
หลังจากนั้น 10.41 น. เราก็ได้ล่ำลาตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแห่งนี้ แต่ไม่ได้จะลาไปเลย เพราะยังไงซะเมืองนี้ก็ยังมีเสน่ห์ในตัวของมันอยู่ แตกต่างไปจากตัวเมืองใหญ่ๆอื่นๆมากมายนัก ผู้คนเป็นกันเอง ใจดี พูดภาษาไทยสำเนียงไทยใหญ่ ได้อรรถรสในการฟังไปอีกแบบ เราจึงเริ่มเดินทางอีกครั้ง แต่เป็นอีกเส้นหนึ่ง คนละเส้นที่เรามา ทางหลวงเส้นนี้ออกจากตัวเมืองไปทางเหนือเพื่อผ่านไปยังอ.ปางมะผ้า-ปาย-ห้วยน้ำดัง จนเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ในที่สุด ทางหลวงเส้นนี้หมายเลข 1095 ขับผ่านซุ้มขนาดใหญ่ศิลปะแบบชาวเหนือ+พม่า ได้รับข้อความ"ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ" ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นพร้อมๆกับการขับรถอย่างระมัดระวัง
 
   

เราขับออกจากตัวเมืองมาเรื่อยๆก็เริ่มเจอกับทางโค้งลงเขาบ้างขึ้นเขาบ้างแต่ยังไม่ชันเท่าไร ขับมาครึ่งชั่วโมงได้ก็มาถึงถ้ำปลา ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อขับออกจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมา ป้ายบอกทางชัดเจนไม่มีหลงครับ เราปรับเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการไปนั่งจิบกาแฟสดที่ร้านด้านหน้าทางเข้าโดยจะอยู่ติดกับที่จอดรถ กาแฟสดที่นี่ไม่แพงแก้วละ 30 บาท พอร่างกายได้รับคาเฟอีน สมองก็สั่งงานให้เราเดินเข้าไปต่อ ที่นี่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมครับ ขอแค่ลงชื่อในสมุดลงนามว่าเราเป็นใครมาจากไหนกันก็เพียงพอ แต่เราก็เสียเงินอยู่ดีเพราะตั้งใจจะซื้ออาหารปลาไปให้ปลาพลวงนะสิครับ ถุงละ 20 บาท ดอกไม้ธูปเทียนอีกคนละ 10 บาท เพื่อไปไหว้พระฤาษีด้านใน

   
         
             
           
     
ก่อนเข้าไปก็จะต้องข้ามสะพานแขวนซึ่งเขียนไว้ว่า "สะพานสลิงชำรุด กรุณาค่อยๆเดิน" ภายในลำธารก็จะมีปลาพลวงอยู่บ้างประปราย เราให้อาหารบ้างเล็กน้อย จนสุดท้ายมาถึงถ้ำปลาที่มีพระฤาษีนั่งเฝ้าอยู่ เราเข้าไปกราบไหว้ ซึ่งตอนนั้นก็มีคนบ้างแต่ไม่เยอะ
 
           
Continue to Part 2