ปีถัดมา
เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ป๋วยตัดสินใจเข้ารับราชการ ถึงแม้จะมีบริษัทเอกชน
ห้างร้านต่าง ๆ มาติดต่อทาบทามจำนวนมาก พร้อมกับเสนอเงื่อนไขเงินเดือนสูง
เพราะเขาถือว่า เกิดเมืองไทย กินข้าวไทย รับทุนรัฐบาลจากชาวนาไทยไปเมืองนอก
จึงควรที่จะรับราชการเป็นเครื่องสนองคุณ
ตำแหน่งแรกที่ได้รับคือเศรษฐกร
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จากนั้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นตามลำดับ
มีตำแหน่งสำคัญในธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ยืนยันที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติมากกว่าของผู้มีอำนาจในขณะนั้น
ไม่ว่าจะเป็นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์ หรือพลเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังขณะนั้นจึงได้ย้ายเขา
ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษ
เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ในช่วงนี้ไทยสามารถขายดีบุกเป็นสินค้าออกสำคัญได้มากขึ้น
เมื่อจอมพลสฤษดิ์ก่อรัฐประหาร
ได้เชิญเขา มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งป๋วยได้ปฏิเสธ
โดยอ้างคำสาบานครั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นเสรีไทยว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดเลย
จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในการเป็นเสรีไทยโดยไม่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองใด
จอมพลสฤษดิ์จึงได้ตั้งให้ดร. ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชื่อว่าปลอดจากการเมืองมาแทรกแซง
เพราะนักการเมืองต่างให้ความเชื่อถือในฝีมือการบริหาร ความรู้ด้านเศรษฐกิจการเงิน
และความซื่อสัตย์ของเขา มหาวิทยาธรรมศาตร์ก็เชิญให้รับตำแหน่งคณบดี
และในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ เขายังได้รับรางวัลแมกไซไซ ในสาขาบริการสาธารณะ
อีกด้วย
เมื่อปีพ.ศ.
๒๕๑๐ เขาได้ร่วมกับกลุ่มกัลยาณมิตรตั้งมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย
ซึ่งถือว่าเป็นองค์การพัฒนาชนบทองค์กรแรก เพราะเขามีความเห็นว่า
การพัฒนาชนบท และคุณภาพชีวิตของคนยากไร้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ
เมื่อดำรงตำแหน่งมาได้ ๑๒ ปี ป๋วยจึงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
และลาไปสอนพิเศษและทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ เพื่อเตรียมตัวกลับมาทำงานในตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์
ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างเต็มที่
แต่ในปีพ.ศ. ๒๕๑๔ ปีเดียวกันนั้นเอง จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร
ยึดอำนาจตัวเอง ป๋วยจึงเขียนจดหมายจากอังกฤษ เรียกร้องให้จอมพลถนอมคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว
จดหมายฉบับนี้สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น
เขาจึงต้องลาออกจากตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในขณะที่อยู่อังกฤษนั้นเอง
เมื่อเขากลับมาในปีพ.ศ.
๒๕๑๖ และแม้ประชาคมธรรมศาสตร์จะลงมติเลือกให้เขารับตำแหน่งอธิการบดี
แต่ผู้มีอำนาจในยุคนั้นไม่แสดงตัวว่าเห็นด้วย จึงต้องรอไปอีกสองปี
เมื่อรัฐบาลทหารถูกขับไล่ เขาจึงได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความขัดแย้งทางการเมืองสูงขึ้นตามลำดับ
ป๋วยไม่เป็นที่นิยมทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เพราะเขามุ่งมั่นแต่หนทางของสันติประชาธรรม
เขาไม่เชื่อในวิถีทางแห่งความรุนแรง
ป๋วยได้แสดงความเสียใจ
ภายหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และได้ประกาศลาออก สภามหาวิทยาลัยได้ลงมติให้เขาเดินทางออกนอกประเทศ
เพื่อความปลอดภัย เพราะฝ่ายขวากำลังต้องการตัวเขา
จุดหมายปลายทางของเขาคราวนี้คือยุโรป
เขาได้เดินทางไปประเทศต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องให้เกิดสันติภาพและประชาธิปไตยในเมืองไ่ทย
และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เขาต้องล้มป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก
ป๋วยได้กลับเมืองไทยอีกสี่ครั้ง
ในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ พ.ศ. ๒๕๓๖ พ.ศ. ๒๕๓๘ และครั้งสุดท้าย พ.ศ. ๒๕๔๐ จนกระทั่งวันที่
๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงได้ถึงแก่อสัญกรรมที่บ้าน ณ กรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ ทางครอบครัวได้ทำการเผาศพ และนำอัฐิกลับมาลอยอังคารที่ประเทศไทย
|