"พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นมนุษย์ที่มีทั้งกิเลส
ตัณหา และความสง่างาม ของการเสียสละที่รุ่งโรจน์ คละเคล้าปะปนกัน
ในการกระทำเหมือนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ภาพที่แจ่มชัดขึ้นของพระเจ้ากรุงธนบุรีจากการศึกษาทำให้เกิดปีติ
ที่ได้สัมผัสทิพยวิมานของนักประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ ได้เห็นคนเป็นคน"
นิธิ เอียวศรีวงศ์
ประวัติศาสตร์นั้นคือการเล่าเรื่อง และนักเล่าเรื่องที่เยี่ยมยอดย่อมสร้างจินตภาพให้กับผู้อ่านได้แจ่มชัด
ข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล
การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์คือการตรวจสอบจินตนาการอัีนมีชีวิตชีวา
หาใช่การอ่านสิ่งที่ตายไปแล้ว ดังความรู้สึกของเด็กยามถูกบังคับให้ท่องอ่านตำรา
เพื่อตอบให้ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เขียนไว้
นิธิ เอียวศรีวงศ์เป็นนักคิด
นักเขียนร่วมสมัยที่ผลิตงานเขียนต่อเนื่องออกมาจำนวนมาก และแม้ในขณะนี้เขาก็ยังเป็นแกนหลักสำคัญในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ซึ่งมีคำขวัญว่า "กลางวันมองเห็นด้วยแสงสว่าง กลางคืนเรามองด้วยจินตนาการ"
มหาวิทยาลัยที่มอบปริญญาให้แก่ผู้รู้มิใช่ผู้เรียน เป็นแหล่งทางปัญญาสำคัญอีกแห่งหนึ่งในสยามประเทศ
งานเขียนของเขามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เป็นบทความ และหนังสือที่พิมพ์ออกมาช่วงหลัง
ก็เป็นรวมเล่มบทความของเขาเสียส่วนใหญ่ หาที่เขียนเป็นหนังสือแท้ได้ยาก
หนังสือเล่มนี้จึงนับได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่สุด ในบรรดางานนิพนธ์ของเขา
เมื่อแรกที่สหายสนิทผู้หนึ่งกรุณาซื้อมาฝาก อ่านไปไม่กี่หน้า สหายอีกผู้หนึ่งที่มาเยี่ยมก็ขอยืมไป
โดยเหตุที่ว่าบนชั้นหนังสือยังมีอีกหลายเล่ม เลยสละอ่านเป็นคนที่สอง
ครั้นเมื่อได้คืนมา ยังไม่ทันจะเปิดอ่าน สหายอีกผู้ก็ขอยืมอ่าน โดยไม่สนใจเล่มอื่น
ๆ ที่วางอยู่เคียงกันเลย กว่าจะได้อ่านจบเล่มจริงจัง ก็เรียกได้ว่าหนังสือต้องผ่านการยืมอีกหลายหน
เจ้าของหนังสือได้อ่านเป็นคนที่สี่ และยังนึกสงกาว่า หนังสือเล่มหนาเกือบหกร้อยหน้าเล่มนี้ทำไมถึงได้มีผู้สนใจอยากอ่านนัก
เหตุผลที่คิดไว้มีสามข้อ ข้อแรกน่าจะเป็นว่า ประวัติศาสตร์ในช่วงต่อของกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์นั้นคลุมเครือนัก
เราอาจจะมีเสรีภาพในจินตนาการ แต่การเขียนแสดงความคิดออกมาไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
งานเขียนด้านนี้จึงมีน้อยเกินกว่าจะหาอ่านประดับความรู้ได้ ข้อถัดมาคือชื่อของผู้แต่ง
นิธิ เอียวศรีวงศ์ถือได้ว่าเป็นยี่ห้อรับประกันคุณภาพงานเขียน ว่าคงไม่เพ้อเจ้อเลื่อนลอย
ข้อสุดท้ายหนังสือแบบนี้ผู้ชายชอบอ่าน (ฮ่า) เพราะผู้ที่ยืมไปอ่านล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย
เข้าใจว่า ผู้ชายชอบอ่านเรื่องของวีรบุรุษ เรื่องชีวประวัติบุคคลสำคัญ
ที่ไต่เต้าจากความเป็นคนสามัญธรรมดาไปสู่ความยิ่งใหญ่ ที่มีทั้งความขัดแย้ง
ตื่นเต้น เสี่ยงภัย ทฤษฎีแบบนี้ไ่ม่รู้จะถูกหรือผิด แต่คิดไว้ว่า
วันหลังน่าจะลองเขียนเรื่องรสนิยมการอ่านหนังสือของเพศหญิงและชายดู
นิธิเขียนไว้ในคำนำครั้งที่สองว่า "หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือขายดีที่ประสบความล้มเหลว"
โดยเหตุที่ว่าแม้จะมีผู้ให้ความสนใจมาก แต่กลับไม่ได้รับการอ้างอิงกล่าวถึงเลยในผลงานวิชาการอื่น
ๆ ยุคถัดมา ตั้งแต่การพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๒๙ เขาเปรียบว่า ปมทางประวัติศาสตร์นั้น
ประกอบด้วยตาข่ายความทรงจำจำนวนมาก การทำลายปมเหล่านั้นย่อมเป็นความเจ็บปวดยิ่ง
คุณูปการของหนังสือเล่มนี้ อาจจะมิใช่เนื้อหา เพราะการพิสูจน์ "ข้อเท็จจริง"
ทางประวัติศาสตร์นั้น เป็นเรื่องของวาทกรรม แต่น่าจะเป็นมรรควิธีในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์
และเป็นเครื่องยืนยันว่า อิสรภาพแห่งความคิดนั้นคือความรุ่มรวยแห่งสติปัญญาของสังคม
นิธิให้ภาพของประวัติศาสตร์การเืมืองไทย ตั้งแต่การล่มสลายของราชอาณาจักรอยุธยา
ไปจนถึงการรัฐประหารอันนำไปสู่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ การให้เหตุผลและคำอธิบายของเขาเป็นไปอย่างรอบคอบรัดกุม
หากหาช่องโหว่มาโต้แย้งเขาได้คงน่าสนใจไม่น้อย
หนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ไม่น่าเบื่อเลย เพราะท่วงทำนองการเ่ล่าเรื่องของนิธินั้นหาใครทาบยาก
ทั้งเขามักคิดคำขึ้นมาใช้ได้ในจังหวะที่เหมาะสม การขึ้นประโยค หรือวลี
มักจะทำให้ตื่นเต้นที่จะได้อ่านต่อเสมอ หากดูจากการตั้งหัวข้อในสารบัญแล้วก็คงพอจะเห็นได้
งานค้นคว้านี้อาจจะล้าสมัยในที่สุด หากมีงานค้นคว้าที่ดีกว่า เกิดจากความคิดที่ลึกซึ้งแหลมคมกว่า
แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน งานชิ้นนี้ยังมีลมหายใจอยู่ และท้่าทายให้ถักทอความทรงจำใหม่ขึ้นมาแทนปมประวัติศาสตร์เดิม
|