หนังสือ
The Nothing that is: A Natural History of Zero ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี
ค.ศ. ๑๙๙๙ ได้รับความนิยมและถูกแปลในหลายภาษา ฉบับภาษาเยอรมัน Die
Geschichte der Null ก็ได้รับการตีพิมพ์ในปีถัดมา โรเบิร์ต
แคปแลน ได้พยายามอธิบายความหมายของ 0 สิ่งที่ดูง่ายดายที่สุด
และธรรมดาที่สุดในคณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการเขียนเล่าอย่างเรียบง่าย
เราได้เดินทางผ่านมิติทางประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์
ซึ่งเริ่มจากการนับ และถือได้ว่าเป็นสิ่งพื้นฐานในอารยธรรมเก่าแก่ของมนุษย์
ตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย และอารยธรรมของเผ่ามายา อย่างไรก็ดี แม้ชาวกรีกจะมีความเจริญก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์
แต่ก็ไม่อาจอธิบาย ความว่าง Nothing ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคโรมันและช่วงแรกของคริสต์จักร
ราวกับว่า ความว่าง หรือความไร้ นั้น เป็นสิ่งต้องห้าม ชาวตะวันตกไม่อาจยอมรับได้ว่า
มีสิ่งที่เรียกว่าความว่างอยู่ เพราะไม่อาจตอบคำถามว่าด้วยจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดได้
ด้วยเหตุนี้ ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในฝั่งตะวันตกจึงได้หยุดชะงักอยู่หลายศตวรรษ
เพราะปราศจากความรู้เกี่ยวกับศูนย์
ตรงข้ามกับฝั่งตะวันออก
คุรุทางอินเดียใช้เลขศูนย์และจำนวนลบอยู่นานแล้ว เพราะทัศนะทางตะวันออก
ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในความเชื่อทางศาสนาฮินดู เลขศูนย์ปรากฎตนอยู่ในรูปของศิวนาฏราช
บุคลาธิษฐานของทัศนะความเชื่อเรื่องความต่อเนื่องไม่ขาดสาย ปราศจากจุดเริ่มต้นและจุดจบ
และการปรากฎตนในรูปของความว่าง ที่มิได้หมายถึง ความไร้ ชาวตะวันออกตีความหมายเรื่องความว่าง
แตกต่างไปจากชาวตะวันตกอย่างสิ้นเชิง การตั้งคำถามว่าด้วยจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจึงปราศจากความหมาย
ศูนย์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งจุดสิ้นสุดและจุดเริ่มต้น และเป็นความต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ ชาวอินเดียจึงได้พัฒนาความคิดเรื่องจำนวนลบ และมีความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์เหนือทางตะวันตก
เมื่ออารยธรรมโลกขยายตัว
พ่อค้าชาวอาหรับก็ทำหน้าที่เป็นทูตสื่อสารทางวัฒนธรรมร่วมด้วย ในช่วงคริสตศตวรรษที่
๑๕ ความรู้เกี่ยวกับเลขศูนย์ จำนวนลบ และอินฟินิตี-คู่แฝดของศูนย์
จากฝั่งตะวันออก ก็ได้ถ่ายทอดไปยังฝั่งตะวันตก ตั้งแต่นั้นคณิตศาสตร์ทางฝั่งตะวันตกก็เบ่งบาน
และเป็นฐานรากอันมั่นคงของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science)
ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านด้วยความตั้งใจ
โดยอ่านขนานกันไปพร้อมกันกับเล่ม อัตชีวประวัติอันตรายของศูนย์
โดย ชาร์ลส์ ไซฟ์ เพราะช่วงนั้นกำลังสงสัยทฤษฎีบิ๊กแบงอย่างยิ่งยวด
จักรวาลจะเกิดจากความไร้ได้อย่างไร และจะจบสิ้นด้วยความไร้ได้อย่างไร
ก็ในเมื่อฝรั่งเองไม่เชื่อเรื่องความไร้ ตำแหน่งแห่งหนของพระเจ้าจะไปอยู่ที่ตรงไหน
เรื่องบิ๊กแบงออกจะยั่วล้อตรรกวิทยาแบบวิทยาศาสตร์อยู่ในที แล้วทำไมจักรวาลวิทยาของตะวันออกและตะวันตกจึงได้แตกต่างกัน
บางทีความเหมือนหรือต่างของสิ่งที่ปรากฏอยู่ อาจจะเป็นเพียงการตีความสัญลักษณ์
เราอาจจะต้องขบหาความหมายที่ซ่อนอยู่ เพียงเพื่อจะพบว่า ความเหมือนและความแตกต่างแท้จริงแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน
ถ้อยคำของแคปแลนที่ข้าพเจ้าประทับใจนัก
เห็นจะเป็นประโยคที่ว่า เมื่อมองที่เลขศูนย์ คุณจะไม่เห็นสิ่งใด
แต่เมื่อมองอย่างลึกซึ้ง คุณจักมองเห็นโลก แคปแลนได้นำเรามาสู่ความเข้าใจในความหมายของตัวเลขธรรมดา
การตีความหมายของจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ที่แนบแน่นกับปรัชญาความคิดในระดับฐานราก
เมื่อเข้าใจเลขศูนย์ เข้าใจความคิดเบื้องหลัง ศรัทธาที่แตกต่างกันทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก
ยิ่งมองเห็นประวัติศาสตร์ ก็จะยิ่งมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งมากหลาย
จากตัวเลขแสนธรรมดานี้
สารบาญ
๐
เลนส์
๑
จิตวิญญาณประทับตรารูป
๒
ชาวกรีกไร้คำอธิบาย
๓
นิทานการเดินทาง
๔
ฝั่งตะวันออก
๕
ฝุ่นธุลี
๖
ในความแปลกหน้า
๗
เปลี่ยนโลกทัศน์
๘
เพลงมายา: ด้านมืดของการนับ
๙
มีแต่เสียงอึกทึก
๑๐
เทวทูตเป็นแขก
๑๑
เกือบจะไม่
๑๒
อยู่ข้างนอกหรือ?
๑๓
โรงอาบน้ำกับแมงมุม
๑๔
ดินแดนที่มีแต่เวลาบ่าย
๑๕
กษัตรย์เลียร์ถูกล่ะหรือ?
๑๖
คิดไม่ถึง
เกี่ยวกับผู้เขียน
โรเบิร์ต
แคปแลน Robert Kaplan ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ประจำฮาร์วาร์ด
เขาร่วมกันกับภรรยาตั้ง Math Circle กลุ่มของผู้รักคณิตศาสตร์
|