คุณอนุชา ขจีวัฒนา อยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ที่บ้านทำการค้าเปิดร้านรับซื้อ-ขายของเก่า มีโอกาสได้เดินทางมา ทำบุญที่ วัดพระธรรมกาย ครั้งแรก เมื่องานมาฆบูชา ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ในวันนั้น ทางวัดมีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คือเป็นวันที่มีพิธีหล่อ พระบรมพุทธเจ้า ด้วยเงินยวง หนักถึง ๑๔ ตัน (๑๔,๐๐๐ กก.)
คุณอนุชาเล่าถึงความประทับใจในงานวันนั้นว่า ผมไม่เคยมา ครั้งแรกพอรถวิ่งเข้ามาถึงบริเวณวัด ก็ร้องโอ้โฮทันที รู้สึกปลื้มใจมาก คนมาก มายเหลือเกิน ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน มีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กถึงผู้ใหญ่ คนสูงอายุ บางท่านเดินไม่ค่อยไหว ลูกหลานก็ให้ท่านนั่งรถเข็น มากันทั้งครอบครัว ทุกคนล้วนมีแววตาที่เบิกบาน สดใส มุ่งมั่นที่จะเตรียมกาย วาจา ให้ใสสะอาด พร้อมที่ร่วมพิธีประกอบบุญใหญ่ ในวันนั้น
ผมเชื่อว่า ถ้าชาวพุทธทุกคนได้มาเห็นภาพในวันนั้น จะต้องบังเกิดความปิติเหมือนผม เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า พระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย ท่านเหลือไว้ให้เป็นมรดกธรรม สืบทอดมาจนถึงยุคของพวกเรา จะเจริญรุ่งเรืองไปอีกยาวนาน
หลังจากที่มาวัดพระธรรมกายเป็นประจำ ปัจจุบันนี้ครอบครัวของคุณอนุชา ต่างเข้าใจหลักธรรม ในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ประพฤติปฏิบัติ ตน เป็นพุทธมามกะที่ดี ตั้งใจสวดมนต์ นั่งสมาธิกันเป็นประจำ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ในการดำเนินชีวิต โดยให้ความดีงาม ที่เกิด จากการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เป็นพื้นฐาน ให้ชีวิตเกิดความสงบสุข ปลอดภัย จากสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง เมื่อ ครอบครัว เจอสภาวะคับขัน คุณของพระรัตนตรัย ก็ช่วยพลิกผันสถานการณ์ ให้กลับมาดีได้ เป็นอัศจรรย์
ครอบครัวของคุณอนุชา ได้ประสบกับอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ซึ่งเป็นพระของขวัญ อันศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช ช่วยคุ้มครอง แก่ผู้ที่ เป็นเจ้าของ ซึ่งหมั่นสวดสรรเสริญบูชาท่าน อยู่เป็นประจำ ที่บ้านคุณอนุชานั้น ทำการค้า มีทั้งการรับซื้อ-ขายของกันทั้งวัน ฉะนั้นในวันหนึ่ง ๆ จะมีผู้คนแปลกหน้า เข้าออกร้านนี้ทั้งวัน มีทั้งมาเลือกดูของเก่า และนำของมาขาย ดูเป็นเรื่องปกติ ใครจะเข้าจะออก ก็ไม่มีใครสังเกตใคร
ในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ เวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ๑๕ นาที อากาศตอนนั้น ค่อนข้างร้อนอบอ้าว ในร้านก็มีคนนำของมาขาย และคนงาน รวมทั้งหมดประมาณ ๑๐ คน ทุกคนต่างทำงานกันไปตามปกติ คุณอนุชาก็นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี กำลังคุยอยู่กับลูกค้าอีกคนหนึ่ง
จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ ๓ คน เดินเข้ามาในร้าน ดูหน้าตาไม่เป็นมิตรเลย เขาใส่ชุดเสื้อคลุมมา ๒ คน อีกคนแต่งตัวลักษณะ ครึ่งท่อน กางเกงขาสั้น ทั้ง ๓ คน เดินปรี่เข้าไปประกบตัวคุณอนุชา ลูกค้า และภรรยาคุณอนุชา ที่กำลังยืนอยู่ พร้อมทั้งชักปืนออกมาจ่อ
โดยโจรคนที่ประกบภรรยาคุณอนุชา ยิงปืนขู่ ๑ นัดทันที และกระชากสร้อยคอ จากภรรยาคุณอนุชาเต็มแรง สร้อยคอที่หนัก ๓ บาท หลุดขาด ตามมือของคนร้ายนั้น ออกมาทันที และตะโกนบอกว่า ให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ถ้าใครขัดขืน พวกมึงตาย โดยให้คนที่ยืนอยู่นั้น หันหลังและ ให้ยืนอยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ แล้วใช้ปืนล็อคทุกคน มาอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยมารวมกันที่โต๊ะบัญชีที่คุณอนุชานั่งอยู่
คนร้ายใช้ปืนจี้หลังคุณอนุชา แล้วออกคำสั่งบังคับให้คุณอนุชา ถอดสร้อย ซึ่งคุณอนุชาห้อย พระมหาสิริราชธาตุ อยู่ที่คอ คนร้ายขู่ว่า อย่า ขัดขืนนะ ถ้าขัดขืนตาย คุณอนุชาก็จำใจถอดสร้อยให้ ในใจไม่นึกเสียดายสร้อยคอเลย แต่เสียดายองค์พระมหาสิริราชธาตุมาก เพราะตั้งแต่ได้ อาราธนาท่านมาบูชา รู้สึกผูกพันกับท่านมาก
ขณะถอดออกก็พนมมือและนึกอธิษฐานจิตกับองค์พระในใจว่า ขอให้ได้องค์พระคืนกลับมา และขอให้จับคนร้ายได้
ส่วนคนร้ายอีกคน ก็ให้ลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้าน ถอดสร้อยทองพร้อมเงินสดในกระเป๋าอีก ประมาณ ๓,๐๐๐ บาท แล้วสั่งให้คุณอนุชาเปิดลิ้นชัก เพื่อเอาเงินสดซึ่งตอนนั้น มีเงินในเก๊ะอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจรก็บอกว่า ทำไมเงินมีน้อยนัก น่าจะมีมากกว่านี้ พอคนร้ายเห็นโทรศัพท์ มือถือของคุณอนุชาวางอยู่ จึงได้คว้าเอาโทรศัพท์มือถือของคุณอนุชาไปด้วย
ส่วนคนร้ายอีกคน ก็เข้าไปในห้องของลูกชายคุณอนุชา ซึ่งจะเข้าไปค้น เพื่อจะเอาเงินที่อยู่ในห้อง พอเข้าไปก็เห็นลูกชายของคุณอนุชา กำลัง ยกโทรศัพท์ เพื่อที่จะโทรหาตำรวจ โจรก็ปรี่เข้าไปผลักลูกชายคุณอนุชา กระเด็นไปทันที และได้กระชากสายโทรศัพท์ออกจนขาด
ลูกชายก็ตกใจ เมื่อมีคนร้ายถือปืน เข้าไปกระชากสายโทรศัพท์ จึงรีบวิ่งออกไปหาพ่อ ไปยืนใกล้ๆ คุณอนุชา ส่วนโจรอีกคนที่อยู่ข้างนอก เห็น คนงานที่อยู่ในร้าน หลุดหนีออกไปได้ จึงได้ตะโกนบอกคนร้ายที่ค้นของอยู่ในห้องว่า เฮ้ย เร็วๆ โว้ย หนีไปได้คนหนึ่งแล้ว
คนร้ายก็รีบวิ่งออกมาจากห้องแล้วทั้ง ๓ คนก็วิ่งออกไปจากร้าน แต่ขณะที่กำลังจะออกจากร้าน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ คนร้าย คนหนึ่ง หยิบปืนขึ้นมา และหันกระบอกปืน จ่อมาทางลูกชายของคุณอนุชา และยิงทันที แต่อัศจรรย์ในระยะยิงเผาขนขนาดนั้น ปรากฏว่า วิถีกระสุน กลับวิ่งเฉียดร่างลูกชายคุณอนุชา ห่างจากตัวไปประมาณ ๑ ฝ่ามือ ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุก ๆ คน แต่ไม่มีใคร ได้รับบาดเจ็บ รวมทรัพย์สินที่คนร้าย ได้ไป ประมาณเกือบแสนบาท
พอคนร้ายออกไป คุณอนุชาก็รีบใช้โทรศัพท์ไร้สาย ที่ยังเหลืออีกตัว โทร แจ้ง ๑๙๑ บอกตำรวจว่า มีคนร้ายมาปล้น ๓ คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ขอตำรวจช่วยสกัดจับให้ด้วย
หลังจากที่ทุกคนหายตกใจแล้ว ลูกชายก็เล่าให้ฟังว่า ขณะที่หนูวิ่งออกมาเห็นคนร้ายถือปืน หนูก็เลยนำพระมหาสิริราชธาตุ รุ่นพิชิตมาร แขวนอยู่ออกมานอกเสื้อ ขณะที่ถูกคนร้ายยิง จึงรอดจากวิถีกระสุน อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
เวลาผ่านไปยังไม่ถึงชั่วโมง คุณอนุชาก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ว่า จับคนร้ายได้แล้ว ให้มาชี้ตัวคนร้าย และมาดูทรัพย์สิน ที่คนร้ายปล้น ไปด้วย คุณอนุชาได้ฟังแทบไม่เชื่อว่า คำอธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลได้เร็ว อย่างเป็นอัศจรรย์ ซึ่งทุกคนในบ้านเมื่อทราบข่าว ก็ดีใจมาก
พอไปถึงจุดที่จับคนร้ายได้ยิ่งเพิ่มความอัศจรรย์ยิ่งขึ้น เพราะคนร้ายขับรถไปไกลได้แค่ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเอง ตรงจุดที่คนร้ายยอมจำนน เป็นดงข้าวโพด คนร้ายตกใจทิ้งรถมอเตอร์ไซค์ วิ่งหนีเข้าดงป่าข้าวโพด เพราะเห็นวงล้อมของตำรวจ โอบไว้ทุกด้าน ซึ่งระดมพลมาจับกว่า ร้อยนาย ทีเดียว
พอคุณอนุชาไปถึง นายตำรวจถึงกับมาขอจับมือ แสดงความดีใจด้วย ตำรวจบอกว่าโชคดี มากที่สามารถจับคนร้ายได้ และได้ของกลาง อยู่ครบ เขาบอกว่า ส่วนมากจะจับไม่ได้หรือจับได ้ก็ของกลางไม่ครบ คุณอนุชามั่นใจว่า ที่ตนเองและครอบครัว รอดทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ในการถูกปล้นครั้งนี้ เพราะพระท่านช่วยเอาไว้ คุณอนุชากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตันว่า ขอให้ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้ว ตั้งใจทำบุญไปเถอะ เมื่อถึงยามคับขัน พระคุ้มครองเราได้จริงๆ
ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศ มีปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น คนมีปัญญาย่อมไม่ท้อแท้ พยายามดิ้นรน แสวงหาหนทาง ทำมาหากิน ที่เป็นสัมมาชีพ จนสุดความสามารถของตน แต่คนขาดปัญญาจะคิดตื้น ๆ เฉพาะหน้า ทำอาชีพทุกจริต มิจฉาชีพ เบียดเบียนผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้เราทุกคน จึงควรพยายามป้องกันตัวทุกรูปแบบ เช่น ไม่ควรแต่งกายด้วยเครื่องประดับมีค่ามาก ไม่ควรเก็บเงินไว้ในบ้าน ให้มีอยู่ เท่าที่จำเป็น ที่เหลือนำไปฝากธนาคารเสีย ทรัพย์สินที่มีค่าอื่น ๆ แม้จะเก็บไว้มิดชิดแล้ว ควรแบ่งเก็บให้หลาย ๆ แห่ง หากถูกปล้นอย่างราย บ้านคุณอนุชาที่เล่านี้ เมื่อคนร้ายขู่ให้บอกที่ซ่อนทรัพย์ จะได้บอกเป็นบางแห่ง ทรัพย์จะได้มีเหลือ
รายคุณอนุชานี้ ตามที่เล่ามา แสดงว่า เป็นอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ คุณของพระรัตนตรัย ซึ่งมีพระมหาสิริราชธาตุ เป็นตัวแทน ทำให้คนร้าย ยิงลูกชายไม่ถูก แม้เป็นระยะเผาขน รวมทั้งตำรวจติดตามได้ทันท่วงที ได้สมบัติทรัพย์สินคืนมาครบ ชนิดตำรวจอัศจรรย์ใจไปตาม ๆ กัน
คนเรา เพราะความไม่รู้ ทำให้หลงทำบาปกรรมต่างๆ โมหะคือตัว ไม่รู้นั้น ทำอันตรายได้ยิ่งใหญ่มากมาย เสียหายทั้งในชาติปัจจุบัน และ ภพชาติเบื้องหน้า พวกมิจฉาชีพ ทำบาปกรรมลงไป เพราะมีโมหะ ตัวไม่รู้นี้เองว่า อาชีพใดก็ตาม ที่ประกอบด้วย กายทุจริต ๓ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน การเมสุมิจฉาจาร และวจีทุจริต ๔ คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูด คำหยาบ แล้ว เป็นมิจฉาอาชีวะทั้งสิ้น พวกเขาจึงลงมือกระทำ
หากสังเกตให้ดี พวกคนร้ายทั้งหลาย มักจะเป็นคนวัยรุ่น แสดงว่า พวกเหล่านี้ไม่ได้รับการอบรม เรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรเว้น ผู้ใหญ่ในครอบครัว ไม่มีเวลาดูแลเอาใจ ใส่ปล่อยให้ลูกหลานวัยรุ่นของตน คบเพื่อนเลว ๆ เที่ยวเตร่ เสพยาเสพติด เล่นการพนัน ฯลฯ คนที่มั่วสุมในอบายมุข ย่อมไม่ยอมเสียเวลาทำมาหากินสุจริต เพราะได้รายได้น้อย ไม่พอใช้จ่าย จึงชอบประกอบมิจฉาชีพ
การอบรมลูกหลานด้วยหลักของพระพุทธศาสนา จะเป็นเกราะป้องกันชีวิตพวกเขาได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งผู้ปกครองควรสนับสนุน เพื่อเขาเหล่านั้น จะได้มีศีลธรรมแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต