อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

๓๖๖. เหวนรกในถ้ำมืด

คุณศิริกันยา ดอกไธสง ปัจจุบันเป็นอาจารย์บรรยายสอนพิเศษ ท่านเข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ โดยนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มาปฏิบัติให้เป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตประจำวัน และยึดหลักปฏิบัติ เพื่อการเข้าถึงวิชชาธรรมกาย โดยสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน นอกจากสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็นแล้ว ปัจจุบัน ยังสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ซึ่งเป็นพระของขวัญ ที่คุณศิริกันยา ได้ร่วมสร้าง พระธรรมกายประจำตัว เพื่อประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ ซึ่งพระของขวัญนี้ เปรียบเสมือนตัวแทนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาสิริราชธาตุนี้ เกิดขึ้น มา เพื่อให้กับผู้มีบุญ ที่จะมาร่วมกันสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์โดยเฉพาะ มีฤทธิ์มีเดช คุ้มครองผู้ที่มีใจเลื่อมใสในองค์ท่าน

เมื่อคุณศิริกันยาได้รับพระของขวัญมาแล้ว ก็หมั่นสวดสรรเสริญอยู่เสมอ จนสามารถจำได้ขึ้นใจ บางเวลา ขณะประกอบภารกิจ ในชีวิต ประจำวัน ก็จะสวดบทสรรเสริญ เพื่อเป็นกุศโลบายให้ใจเกาะเกี่ยวกับบุญ ที่ตนเองได้ทำมา ขณะสวด ก็จะนึกน้อมนำ องค์พระมหาสิริราช ธาตุ มาตั้งไว้ที่กลางตัว ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นการเจริญพุทธานุสสติไปในตัว เมื่อจังหวะผลบุญส่ง คิดปรารถนาสิ่งใด ก็สำเร็จเป็น อัศจรรย์ ถึงภาวะคับขัน ก็สามารถช่วยเหลือ คุ้มครองให้รอดปลอดภัยจาก ภาวะวิฤกติได้

อานุภาพบุญที่คุณสิริกัญญาและหลานสาวได้พบมา น่าตื่นเต้นเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตมาก เพราะว่า ๒ คนป้าหลานไปหลงทาง อยู่ในถ้ำมืด แต่ก็สามารถหลุดพ้นออกมาได้ เป็นอัศจรรย์

คุณศิริกันยา เล่าว่าตนเองและหลานสาว ได้มีโอกาสเดินทางไปทำบุญที่โคราช ขากลับจึงพาหลานสาว แวะชมถ้ำแถวปากช่อง ชื่อถ้ำ พระไตรรัตน์ เพื่อเข้าไปชมหินงอกหินย้อย ถ้ำแห่งนี้ คุณศิริกันยาเองบอกว่า เคยแวะชมอยู่บ่อยเหมือนกัน แต่หลานสาวยังไม่เคยมา จึงพาหลานเข้าไปดู ความสวยงามภายในถ้ำ ถ้ำนี้มีความยาวมาก เพราะมีผู้ที่สำรวจถ้ำบอกว่า สามารถเดินทะลุกันได้ถึง ๓ ถ้ำ ภายในถ้ำ ประกอบไปด้วยถ้ำ ที่มีทางเดินทะลุถึงกันได้ถึง ๓ ถ้ำ คือถ้ำพุทธรังษี ธรรมรังษี สังฆรังษี

ในวันนั้นคุณ ศิริกันยาเลือกเข้าถ้ำพุทธรังษี ซึ่งตลอดแนวภายในถ้ำ ได้ติดไฟฟ้าเปิดให้สว่างไสว จึงเดินเข้าไป ๒ คนป้าหลาน อากาศ ภายในถ้ำ ค่อนข้างเย็นเยือก

คุณศิริกันยาเดินนำหน้าหลาน เพราะทางค่อนข้างแคบและลื่น เพราะจะมีน้ำนมผา ที่หยดลงมาจาก หินงอกหินย้อย ตลอดทาง ความงาม ภายในถ้ำสวยงาม วิจิตรตระการตามาก สมกับที่เสี่ยงภัยเดินเข้ามาชม

หินย้อยบางก้อนสวยราวเนรมิต ขาวประดุจปุยเฆม บ้างเหมือนม่านเทวดา เพราะย้อยลงมาเป็นลู่ทางขาว และมีแสงเลื่อมพราย คล้าย กากเพชร ระยิบระยับทั่วม่านระย้านั้น บางก้อนรูปทรงคล้ายช้างบ้าง ม้าบ้าง เวลาเดินต้องคอยระวังตัว เพราะรายทางโดยรอบ นอกจาก จะมีความงามแล้ว ยังมีเหวลึก ที่เป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวอีกด้วย พอเดินยิ่งลึก อากาศยิ่งเพิ่มความเย็นจับใจยิ่งขึ้น

วันนั้นคุณศิริกันยานึกอยากจะเดินเข้าไปให้สุดถ้ำสุดท้าย จึงชวนหลานสาวให้เดินต่อ ไปที่ถ้ำธรรมรังษี แต่ทางที่เป็นรอยต่อระหว่างถ้ำนั้น แคบมาก มีความกว้างของทางเดิน ประมาณ ๒ ศอก สองข้างทางคือเหว เขานำผ้าเหลืองจีวร มาเขียนป้ายบอกว่า เหวนรกห้ามเข้าใกล้ อันตราย! คุณศิริกันยา คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว จึงตัดสินใจจะเข้าไป จึงบอกหลานว่า วันนี้เราจะลองเข้าไปดูกัน

คุณศิริกันยา เดินนำหน้าให้หลานเดินตามหลัง พอเดินเข้าไปได้ถึงกลางทางแคบ ๆ นั้น สิ่งที่สองคนป้าหลานไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้น ไฟฟ้าดับ พรึบ! ภายในถ้ำมืดสนิททันที คุณศิริกันยาตั้งสติ ทำใจไปจรดที่ศูนย์กลางกายทันที และตัดสินใจกลับทางเดิม ที่เดินเข้ามา โดยนั่งลงใช้มือ คลำๆ หาทางเดินออกมา ซึ่งตอนนั้น ตนเองไม่สามารถ มองเห็นอะไรเลย แม้กระทั้งหน้าของหลานสาว

ซึ่งพอกลับหลังหัน ก็เปลี่ยนเป็นหลานสาวนำหน้าแทน คลำหาทางออกไป ใจก็จรดศูนย์กลางกาย นึกถึงบารมีครูบาอาจารย์ บารมี พระธรรมกาย และพระมหาสิริราชธาตุ ช่วยคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย และออกจากถ้ำได้ด้วยเถิด

พอคลำๆ ออกมาถึงปากเหวพอดี ตรงที่เขาเขียนว่าเหวนรก หลานสาวซึ่งนำหน้าป้าอยู่ก็บอกว่า คุณป้าคะ หนูปลอดภัยแล้ว หนูถึงแล้ว แต่เนื่องจากมืด มองไม่เห็นหลาน หลานบอกเช่นนั้น เธอจึงบอกว่า ดีแล้วลูก

แต่ทันใดนั้น ดวงตาของคุณศิริกันยากลับมองเห็นแสงสว่าง เต็มบริเวณไปหมด สว่างขึ้นมาเอง ทั่วบริเวณ เป็นความสว่าง ที่ไม่ใช่แสงของ หลอดไฟ เธอตกใจมาก เพราะภาพที่เห็นขณะนั้นคือ หลานกำลังจะหัวทิ่มลงเหวพอดี เธอรีบตระโกนบอกว่า อย่าขยับ ให้ตั้งกายไว้ แล้วทำ ตามป้าบอกนะลูก ขยับมาทางซ้ายหน่อย

หลานมองไม่เห็น แต่ก็ทำตามที่ป้าตะโกนบอก จนหลานลงมาอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ซึ่งตอนนั้น หลานก็แปลกใจว่า ป้ามองเห็นได้อย่างไร แต่ไม่กล้าพูดอะไร ในเวลาที่วิกฤติเช่นนี้ ได้แต่งง และในบริเวณนั้น เป็นลานหิน คุณศิริกันยาจึงบอกว่า เรานั่งสมาธิรอไฟมาก่อนดีกว่า หลานก็เลยบอกว่า งั้นคุณป้านั่งสมาธิรอไปก่อน หนูจะลองไปคลำหาทางออก ถ้าเจอแล้ว หนูจะมาบอก

คุณศิริกันยา ก็นั่งสมาธิที่ลานหิน อธิษฐานจิตขอพระมหาสิริราชธาตุช่วย นึกถึงบุญ ช่วยให้หาทางออกจากถ้ำให้ได้ ส่วนหลานสาว ก็มา บอกว่า คุณป้าหนูเจอทางออกแล้ว หนูได้ยินเสียงคนมาบอกทางหนู เขาพูดซ้ำถึง ๒ ครั้ง คุณศิริกันยารู้สึกแปลกใจ เพราะมีกันอยู่ ๒ คน แล้วใครมาบอกทาง หลานก็มาฉุดมือไป

ทันใดความสว่างก็มาเยือนคุณสิริกัญญาอีกครั้ง จึงมองเห็นว่าไม่ใช่ทางออกแน่นอน เพราะมีก้อนหินใหญ่ๆ แล้วเป็นอุโมงค์เล็ก ต้องมุดเข้าไป แบบต้องค่อยเลื้อยตัวเข้าไป ซึ่งตอนเข้าถ้ำมา ไม่ได้ผ่านทางนี้แน่นอน จึงแน่ใจว่า ไม่ใช่ และจู่ๆ หลานสาว ก็มองเห็นบันไดดิน จึงรีบบอก คุณป้า ซึ่งเธอก็มองไปตามที่หลานบอก และเธอรู้สึกแปลกใจอีก เพราะตอนมา ไม่ได้ขึ้นบันไดนี่ พอมองลึกไปอีก ก็เห็นศาลพระภูมิ จึงจำได้ว่า เคยผ่านตอนเดินเข้าถ้ำ ก็เลยตัดสินใจลงทางนี้แหละ

จึงค่อยๆ คลำลงบันไดดินทีละขั้น พอลงมาได้ประมาณ ๓-๔ ขั้นเท่านั้นเอง เธอได้เห็นสิ่งที่ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่เคยได้เห็น ด้วยตาเนื้อคือ เห็น องค์พระลอยอยู่ องค์พระนั้น สีออกน้ำตาล เกตุดอกบัวตูม เธอมีความรู้สึกว่า เคยเห็นที่ไหนนะ พระองค์นี้ อ๋อ! ก็องค์ที่เราแขวนอยู่ที่คอนี่เอง แต่องค์ที่ลอยอยู่ ท่านองค์ใหญ่มาก รัศมีสว่างสวยงาม ซึ่งอยู่ในท่ามกลางความมืด เธอมีความมั่นใจว่า ท่านมาช่วยเราแล้ว เราออกได้แน่ เราเห็นองค์พระ เราจะเดินไปตามแสงที่เห็นนั่นนะ สบายใจได้ และเธอจึงพาหลาน เดินตามแสงนั้นออกมา จนถึงปากถ้ำ ซึ่งทั้งสองป้าหลาน เป็นอันงงมากว่า ถึงปากถ้ำได้อย่างไร

และพอไฟฟ้าสว่างขึ้น คุณศิริกันยาจึงกลับเข้าไปเดินดูอีกครั้ง เพื่ออยากจะพิสูจน์ว่า บันไดดินนั้น มาได้อย่างไร แต่เมื่อเดินเข้าไปสำรวจดู ตามเส้นทางที่เดินออกมา กลับไม่เห็นบันไดดินเลย มีแต่เหว ซึ่งเธอรู้สึกอัศจรรย์ใจ ในอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของ พระมหาสิริราชธาตุ เป็นอย่างมาก ที่ทำให้เธอรอดจากอันตรายได้ อย่างอัศจรรย์

ใครที่ทราบเรื่องนี้ คงเกิดความรู้สึกใจหายใจคว่ำ ตามเจ้าของเรื่องไปด้วยกัน แต่เป็นบทเรียนที่ทุกคน ควรได้ข้อคิด ถ้าเดินทางไกล ควร เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เช่นขับรถเอง ต้องตรวจสภาพรถให้เรียบร้อย น้ำมันรถเต็มถัง ยางอะไหล่ เครื่องมือ ไฟฉาย กระทั่งอาหารและน้ำ ฯลฯ เดินทางด้วยเรือ ควรมีเครื่องชูชีพ จะเข้าเที่ยวในถ้ำ อย่างป้าหลานคู่นี้ แม้จะมีไฟฟ้า ก็ไม่ควรประมาท ควรมีไฟฉาย หรืออย่างน้อย ก็เทียนไข และไม้ขีดไฟ ติดตัวเข้าไปด้วย ใครจะรู้ อุบัติเหตุเกิดได้เสมอ

ยังโชคดีที่คุณศิริกันยา มีพระมหาสิริราชธาตุติดตัว มีศรัทธาในคุณพระรัตนตรัย และมีสติ เมื่อหมดที่พึ่ง อยู่ในความมืด ยังได้ยึดถือ เป็น สรณะ รวมทั้งเกิดกุศลจิต ต้องการทำสมาธิภาวนา แทนที่จะหวาดกลัว ตีโพยตีพาย เมื่อมีสติ มีศรัทธา และตรึกระลึกภาวนาถึง พระมหาสิริราชธาตุ อันเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย

ความตกใจหวาดกลัวต่างๆ ย่อมหายไป จิตรวมตัว หยุดสนิท สู่ศูนย์กลางกาย ทำให้ใจ ของกายมนุษย์หยาบ และใจของกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ตรงที่เดียวกัน ตาของกายมนุษย์หยาบ จึงมองเห็นสิ่งต่างๆ ในภพของมิติละเอียดไปด้วย ทำให้เทพยดา สามารถให้ความช่วยเหลือ ได้สะดวก บันดาลให้เห็นสิ่งต่างๆ ดังที่เล่าไว้ ทำให้พากันออกจากถ้ำมาได้

ส่วนการที่กลับเข้าไปดูใหม่อีกครั้ง ไม่พบเห็นสิ่งเหล่านั้น เพราะเป็นภาพคนละภพ และจิตของผู้ดู ไม่อยู่ในสภาวะเดิมเสียแล้ว

ในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะ ป่า ภูเขา ทะเล ถ้ำ ฯลฯ มักจะมีอมนุษย์อยู่ดูแลรักษา หากเป็นเทวดา เช่นที่เราเรียกกันว่า เจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าเรารู้จักอ่อนน้อม ทำความเคารพ ท่านก็ย่อมมีเมตตา ให้ความช่วยเหลือ ตามสมควร ถ้าแสดงอาการ หรือคำพูดดูถูกดูหมิ่น ก็อาจถูก ลงโทษ เพราะเทวดาก็ยังมีกิเลส โดยเฉพาะหากเป็นอมนุษย์ร้าย เช่น ยักษ์ อสุรกาย เปรต อาจหลอกหลอน หรือให้โทษต่างๆ ได้

อย่างรายนี้ที่ผู้เป็นหลานมอง เห็นเป็นทางเดินในครั้งแรก แต่ป้าห้ามไว้ทัน เพราะป้าเห็นว่า หลานกำลังจะเอาศีรษะทิ่มลงเหว หรือเห็น ทางเดิน เป็นซอกคดเคี้ยว ที่ไม่เคยเห็น เมื่อเดินเข้ามา อาจเป็นภาพลวงตา ที่อมนุษย์บางตน สร้างขึ้น เพราะถ้ามีมนุษย์คนใด ตายแทน พวกเขาจะได้พ้นจากหน้าที่

ด้วยเหตุนี้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์อันตรายต่างๆ สติจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง การระลึกถึงบุญกุศล ที่กระทำผ่านมาในชีวิต เป็นอันดับสอง เหมือนเรียกบุญกุศล ที่ทำให้มาทำหน้าที่คุ้มครองดูแล และประการสุดท้าย คือสร้างกุศลกรรมในเวลานั้นทันที อาจทำทานไม่ได้ รักษาศีล ไม่ได้ เพราะไม่ใช่โอกาส แต่ภาวนามัยกุศล ทำได้ทุกโอกาส ทุกสถานการณ์ ต้องไม่ลืม จิตที่เป็นกุศล สร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ หรือหากมีอกุศล วิบากหนักเกินไป จะต้องถึงกับเสียชีวิต จิตนั้นก็ไม่เศร้าหมอง พาเจ้าของไปสู่สุคติอยู่ดี


[สารบัญ] [๓๖๒] [๓๖๓] [๓๖๔] [๓๖๕] [๓๖๖] [๓๖๗]